วันวิสาผละมานั่งข้างๆ ดวงตากลมโตทอดมองไปยังบ้านพักของเมธัสอีกครั้งพลางถอนหายใจ
“หลายวันมานี้ พวกคนงานก็พากันกลุ้มอกกลุ้มใจ ถ้าหากไม่มีพ่อเลี้ยงเมฆายื่นมือเข้ามาดูแลปางไม้ เราทุกคนก็คงแย่ไปกันหมด”
“แล้วต่อไป พ่อเลี้ยงเมธจะเป็นอย่างไรหรือจ๊ะยาย”
“ถ้ายังไม่ดีขึ้น พ่อเลี้ยงเมฆาคงหาทางแก้ไขเองนั่นแหละ อาจจะให้ไปอยู่ที่อื่นสักพักจนกว่าอาการจะดีขึ้นกระมัง”
“พ่อเลี้ยงเมธจะไปอยู่ในที่ไกลๆ หรือจ๊ะยาย”
“ถ้ายังอาการหนักอยู่แบบนี้ คงต้องเป็นเช่นนั้นแหละ”
ยายอบไม่รู้เลยสักนิด ว่าคำพูดของตัวเองในช่วงหัวค่ำ จะทำให้คนเป็นหลานสาวต้องกระวนกระวายจนนอนไม่หลับแค่ไหน เพียงคิดว่าเมธัสจะไม่อยู่ให้เธอเห็นอีก หัวใจของหญิงสาววัยยี่สิบสามปีก็พลันร้อนเป็นไฟ จนได้แต่นอนตะแคงซ้ายตะแคงขวา นานๆ เข้าจึงลุกขึ้นแล้วมองไปยังบ้านใหญ่ด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
ตั้งแต่อายุสิบห้าสิบหก ในสายตาของเธอก็มองหาเพียงพ่อเลี้ยงเมธคนเดียวเท่านั้น ไม่ว่าจะมีใครแวะเวียนมาขายขนมจีบเธอก็ปฏิเสธพวกเขาไปจนหมด นั่นเป็นเพราะ หัวใจของเธอไม่เคยเต้นแรงเพื่อพวกเขา แต่กลับเต้นแรงกับเมธัสตั้งแต่วันแรกที่ได้ประสานสบสายตา
เมื่อความเป็นห่วงมีมากขึ้นเรื่อยๆ วันวิสาก็หยิบเอาร่มแล้วเดินฝ่าสายฝนออกจากบ้านไป ห่างจากบ้านเธอไม่ถึงสามร้อยเมตรก็เป็นบ้านไม้หลังใหญ่ที่เมธัสอาศัยอยู่ ข้าวของหลายชิ้นถูกทุ่มลงแตกเกลื่อนหน้าบ้านเต็มไปหมด ส่วนคนทำนั้นนั่งคอพับคออ่อนอยู่บนระเบียงไม้ ปล่อยให้สายฝนเม็ดใหญ่สาดคลุมเรือนกายล่ำสันจนเปียกปอน
ร่างกายสูงใหญ่นอนขดอยู่กับพื้นกระดานด้วยเนื้อตัวซีดสั่น ทำเอาวันวิสาต้องทิ้งร่มแล้วพุ่งเข้ามาประคองด้วยความเป็นกังวล ปากอิ่มที่เริ่มเปียกปอนนั้นกระซิบเรียกสติอีกฝ่ายอยู่ไม่หยุด
“พ่อเลี้ยงจ๊ะ พ่อเลี้ยงเป็นอะไรหรือเปล่า พ่อเลี้ยงลุกขึ้นเถอะจ้ะ เดี๋ยวจะไม่สบายเอาได้”
“หือ...” เมธัสปรือเปลือกตาหนักอึ้งขึ้นแล้วเหวี่ยงร่างบอบบางของวันวิสาออกห่างอย่างแรงๆ “ออกไป! อย่ามายุ่งกับฉัน...ฉันจะอยู่ตรงนี้ จะกินเหล้า จะกินให้เมาตายไปเลย ฉันจะได้ไม่ปวดใจอีก...” กำปั้นหนาหนักทุบลงบนอกซีกซ้ายอย่างแรง “ฉันเจ็บ...เจ็บโว้ยยย! ทำไมรุ้งต้องทิ้งฉันไปด้วย ฉันไม่ดีตรงไหน...”
“พ่อเลี้ยง...” วันวิสาพึมพำเรียกแล้วลุกขึ้นมาประคองชายหนุ่มอย่างทุลักทุเล “จะร้องไห้ จะโวยวายก็เข้าไปทำในบ้านเถอะจ้ะ ตรงนี้ฝนตกหนัก ร่างกายของพ่อเลี้ยงเปียกหมดแล้ว”
“ปล่อย...ปล่อยกู” เมธัสรีบงัดแงะมือเย็นๆ ที่ทาบอยู่กับแขนทิ้ง เมื่อจ้องมองอีกครั้งก็ได้แต่หรี่ตาลง “เธอเป็นใคร มาแส่อะไรเรื่องของฉัน”
“พ่อเลี้ยง นี่เทียนเอง จำเทียนไม่ได้หรือจ๊ะ”
“เทียนหนาย...ม่ายยยรู้จากกก”
“เทียน หลานยายอบไง คนที่พ่อเลี้ยงชอบให้ข้าวให้ขนมบ่อยๆ”
“ยายขี้มูกย้อย...หรา” เมธัสหัวเราะฮ่าๆ ราวกับเสียสติ “เธอนี่ก็โตแล้วเนอะ โตเร็วจริงๆ”
“ฉันโตแล้ว แต่พ่อเลี้ยงไม่รู้จักโต”
“ใช่ๆ” เมธัสพยักหน้าเห็นด้วย “โตแล้ว ฉันยังเมาเหมือนหมา น่าอายจริงๆ”
“พ่อเลี้ยงเลิกดื่มเหล้า แล้วเข้าไปพักเถอะ เดี๋ยวฉันพาเข้าไป อ้อ! ก่อนนอนอย่าลืมเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยล่ะ เดี๋ยวจะไม่สบายเข้า”
“ทำมายยย เป็นห่วงฉานนนหรืองายยย”
พวงแก้มของวันวิสาจึงค่อยๆ ร้อนขึ้นจนต้องรีบโพล่งออกมาเสียงดัง “ใครๆ ในปางไม้ก็ห่วงพ่อเลี้ยงทั้งนั้นแหละจ้ะ ถ้าจู่ๆ พ่อเลี้ยงเป็นอะไรขึ้นมา ทุกคนในปางก็คงแย่กันไปหมด ฉะนั้น! พ่อเลี้ยงเลิกดื่มเหล้าสักทีเถอะ ไม่อย่างนั้นอาจจะถูกนายใหญ่ส่งไปอยู่ที่อื่นก็เป็นได้”
“ปายยก็ดีสิ” เมธัสสะบัดหัวแรงๆ พยายามประคองสติที่เหลือน้อยนิดของตัวเองเดินไปตามแรงประคองของคนที่สูงเพียงอกของตัวเอง เกือบจะล้มหน้าทิ่มด้วยกันก็บ่อยครั้ง แต่เด็กเทียนคนนี้ก็สามารถพาเขาเข้ามาในบ้านจนได้
“พักนะจ๊ะนาย ฉันไปล่ะ”
“ปายหนายยย...” คิ้วของเมธัสขยับเข้าหากันแล้วเดินขาปัดขาเป๋ไปคว้าเอาเงาร่างบอบบางของวันวิสาไว้ แต่เขาคว้าผิดจนเกือบล้มหัวคะมำ ทำเอาหญิงสาวถึงกับพุ่งมาประคองด้วยท่าทางตื่นตกใจ
“พ่อเลี้ยง...ระวังหน่อยจ้ะ เดี๋ยวล้มหัวทิ่ม”
“เธอจะปายหนายยย” ท่อนแขนกำยำที่โอบรัดร่างแน่งน้อยไว้แน่นนั้น ทำเอาดวงตาของวันวิสาเบิกกว้าง จนต้องรีบงัดแงะออกเป็นพัลวัน
“พะ...พ่อเลี้ยง ปะ...ปล่อยเทียนเถอะจ้ะ เทียนจะกลับบ้านแล้ว”
“กลับหรือ...ฉันไม่ให้กลับ” ปากร้อนๆ ของเมธัสงับเอาใบหูนุ่มของวันวิสาอย่างแรงทำเอาผู้เป็นเจ้าของถึงกับขนกายลุกซู่ ร่างกายที่ควรมีเรี่ยวแรงพลันหยุดชะงักอยู่กับที่แล้วปล่อยให้ชายหนุ่มปาดป้ายปลายลิ้นไปกับหลังหูของเธออย่างยั่วยวน
เสียงครางแผ่วพร่าของเขาที่เล็ดลอดปะปนกับลมหายใจหอบกระชั้น ทำเอาหัวใจบริสุทธิ์ของสาววัยยี่สิบสามถึงกับเต้นถี่รัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ถึงแม้เธอจะพยายามบ่ายเบี่ยงหนีริมฝีปากอุ่นร้อนที่ลากไล้ลูบวนไปตามหลังหูแค่ไหน แต่ในเวลาที่เขาสอดฝ่ามือล่วงล้ำสัมผัสกับหน้าท้องแบนราบก็ทำเอาร่างบอบบางที่เปียกชื้นเพราะถูกคนตัวโตโอบสัมผัสถึงกับสะบัดร้อนสะบัดหนาวราวกับคนเป็นไข้ก็ไม่ปาน