‘ชีวิตไม่เดินทางตอนนี้ แล้วจะไปเดินทางเอาตอนไหน’ นี่อาจเป็นประโยคที่กระตุ้นต่อมคนที่มีหัวใจรักการเดินทางต้องสั่นระริกๆ ประโยคง่ายๆ ที่จะช่วยเปิดมุมมองความคิดของคุณให้กว้างขึ้น ด้วยสองเท้าที่จะนำพาตัวคุณออกไปเผชิญโลกกว้าง เพราะการเดินทางให้อะไรมากกว่าที่คุณคิด ได้เห็นมุมมองในการมองโลกที่กว้างขึ้น ได้รู้จักมิตรภาพใหม่ๆ ได้ใช้ชีวิตนอกกรอบ…
“แล้วอยากใช้ชีวิตนอกกองมรดกบ้างไหม” น้ำเสียงกราดเกรี้ยวดังลั่นสนั่นคฤหาสน์หลังงามบนเนินเขา ณ ไร่จันทรัช หลังจากฟังลูกคนรองสาธยายข้อดีของการท่องเที่ยวมาสักพัก
“โห่ปะป๊า ปะป๊า!! ปะป๊า!!!” ธารา เฌอวินท์ ร้องเรียกคนเป็นพ่อที่เดินหนีไป เสียงเรียกนั้นดังขึ้นเรื่อยๆ ตามความห่างไกล
“เออ รู้แล้วว่าเป็นปะป๊า” เดลตะโกนตอบโต้โดยไม่หยุดฝีเท้าที่ก้าวพ้นประตูบ้าน หรือแม้แต่จะหันกลับไปมองเจ้าลูกชายที่มักหนีเที่ยวเป็นประจำตั้งแต่อายุเพียง 15 ปี พอใช้คำนำหน้าว่านายปุ๊บก็เริ่มริอาจหนีเที่ยวปั๊บ เรียกได้ว่าเผลอไม่ได้ เผลอเป็นหนีเที่ยว แม้จะรู้ดีว่าสถานที่ท่องเที่ยวที่ลูกไปไม่ใช่ที่อโคจร แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้
เด็กหนุ่มในวัย 17 ปี พร้อมกระเป๋าเป้สะพายหลัง แต่งกายด้วยชุดทะมัดทะแมง ในมือมีรองเท้าผ้าใบสีขาวสะอาด เปิดแง้มประตูห้องนอนของตัวเอง เหลือบมองซ้ายทีขวาทีอย่างระแวดระวังผ่านความมืดสลัว เมื่อเห็นว่าหนทางปลอดโปร่งจึงก้าวออกจากห้องนอน แล้วปิดประตูอย่างเบามือที่สุด ร่างสูงกว่า 180 เซนติเมตร ก้าวเท้าอย่างช้าๆ ไปตามพื้นจนถึงบันไดขั้นแรก ค่อยๆ ก้าวลงบันไดราวกับเด็กน้อยหัดเดิน และพ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งใจเมื่อพาตัวเองมาสู่พื้นล่างได้อย่างเงียบกริบ แล้วย่องไปทางห้องครัว เพื่อจะไปยังทางออกหลังบ้าน
“ปะป๊า เฮียธาราหนีเที่ยวอีกแล้ว อื้อ…” ร่างสูงสะดุ้งเฮือกกับเสียงของน้องสาวฝาแฝด ธาราใช้มือปิดปากนีราไว้ แล้วพามาหลบที่หลังเคาน์เตอร์ครัว
“เฮียจะช่วยพูดให้นีราไปเรียนกรุงเทพฯ” ธาราเริ่มต่อรองทันที เมื่อข้อเสนอน่าสนใจ นาราจึงค่อยๆ ยกมือขึ้นมาทำสัญลักษณ์ OK
“พูดแล้วห้ามคืนคำด้วย ถ้าไม่ช่วยพูดนะ…” นีราเหลือบตามองหยั่งเชิงพี่ชายฝาแฝด ก่อนทำเป็นอ้าปากจะตะโกนเรียกผู้เป็นพ่อ
“คำไหนคำนั้น แล้วนี่แหกตาตื่นมาทำไมแต่มืด” นีรายิ้มกริ่มอย่างผู้ชนะ ธาราแปลกใจที่น้องสาวออกจากห้องนอนเวลานี้
“หิว” นีราชูผลสตรอว์เบอร์รี่ให้ธาราดู
“ยัยหมูอ้วน”
“หุ่นดีขนาดนี้มาเรียกหมูอ้วน เดี๋ยวก็…” นีราแกล้งคนเป็นพี่อีกครั้ง
“เลิกขู่ได้แล้ว แล้วก็ขึ้นไปนอน”
“ตาสว่างแล้ว กินเสร็จว่าจะอ่านหนังสือสอบ จริงๆ แล้วเฮียก็ควรอ่านหนังสือเตรียมสอบนะ”
“ก็จะไปหาที่อ่านหนังสืออยู่นี่ไง”
“ข้ออ้าง…”
“นั่นใคร” เสียงที่ธารากับนีราจำได้แม่น เสียงประมุขของบ้าน
“เดี๋ยวนีรายืน แล้วเฮียรีบออกไปเลยนะ” นีราบอกแผนการ ธาราพยักหน้าเข้าใจ
“ฉันถามว่าใคร” น้ำเสียงนั้นห้วนแข็งขึ้น พร้อมเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามา
“นีราเองค่ะ” นีราส่งเสียงบอกคนเป็นพ่อ พร้อมทั้งค่อยๆ ยืนขึ้น ธาราอาศัยจังหวะนี้หมอบตัวให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วรีบวิ่งไปยังทางออก
“แล้วทำไมไม่เปิดไฟล่ะนีรา เดี๋ยวก็เดินชนอะไรเข้าหรอกลูก” น้ำเสียงนั้นอ่อนโยนขึ้นมาทันที ห้องที่มืดสลัวก็สว่างไสว ร่างสูงของเดลเดินเข้ามาหาลูกสาวสุดที่รัก สายตาพลันเห็นเงาตะคุ่มๆ ผ่านหลังนีราไป
“ปะป๊ามองหาอะไรเหรอคะ”
“ป๊าเห็น…” เดลเดินผ่านลูกสาวหมายจะไปดูให้แน่ใจ
“อย่าบอกนะคะว่าปะป๊าเห็น…” นีราแสร้งทำเป็นหวาดกลัวผีสาง กอดแขนคนเป็นพ่อแน่น
“คงไม่มีอะไรหรอก ป๊าน่าจะเมาขี้ตา แล้วนีราลงมาทำอะไรตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางลูก”
“ว่าจะอ่านหนังสือสอบค่ะ เลยลงมาหาอะไรกิน ตาจะได้สว่าง” นีราให้คนเป็นพ่อดูผลสตรอว์เบอร์รี่ในมือ
“ขยันจริงๆ ลูกสาวป๊า” เดลลูบหัวลูกสาวด้วยความอ่อนโยนรักใคร่
“แล้วทำไมวันนี้ปะป๊าตื่นเร็วจังคะ”
“ลุกเข้าห้องน้ำ ได้ยินเสียงก๊อกแก๊กก็เลยออกมาดู”
“ถ้างั้นปะป๊าก็กลับห้องไปนอนกอดหม่าม้าต่อเถอะค่ะ นีราก็จะขึ้นห้องแล้วเหมือนกัน” สองพ่อลูกพากันกลับขึ้นชั้นสอง บ้านเข้าสู่ความมืดอีกครั้ง
ธาราได้จังหวะขับรถกระบะออฟโรดสี่ประตูออกไป โดยไม่เปิดไฟหน้ารถจนพ้นอาณาเขตบ้าน และเมื่อตะวันโผล่พ้นขอบฟ้า เหล่านกกาออกมาโบยบิน คนทั้งบ้านถึงจะรู้ว่านายน้อยคนที่สองของไร่ได้หนีเที่ยวไปแล้ว และประมุขของไร่ก็คงจะประกาศตัดลูกชายคนนี้ออกจากกองมรดกอีกเช่นเคย ส่วนจะเป็นครั้งที่เท่าไรนั้นก็ไม่เคยมีใครนับได้