คนจากแดนไกล [3.2]

2112 Words
สาม คนจากแดนไกล ข่าวเรื่องสัญญาทูตแลกเปลี่ยนระหว่างแคว้นลี่กับแคว้นเว่ยแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว นอกจากเป็นที่จับตามองของแคว้นอื่นในละแวกใกล้เคียงแล้ว เหล่าตระกูลพ่อค้าใหญ่น้อยก็เริ่มผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเพื่อขอเข้าเฝ้าองค์ชายสามซึ่งจะไปเป็นทูตอยู่ที่แคว้นลี่ ด้วยปริมาณพ่อค้าที่มากกว่าที่คิด ส่งผลให้กำหนดการเดินทางเดิมถูกเลื่อนออกไปนานกว่าครึ่งเดือนเลยทีเดียว ทว่านอกจากข่าวใหญ่เรื่องทูตแลกเปลี่ยนและเส้นทางการค้าที่ว่านี้แล้ว ข่าวลือที่แพร่หลายไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันคือข่าวการยกเลิกสัญญาหมั้นหมายระหว่างองค์ชายแคว้นลี่กับองค์หญิงกู่หลันอิง แม้ทั้งสองฝ่ายจะไม่มีการออกมาชี้แจงถึงเหตุผลอย่างเป็นทางการ แต่ข่าวลับใต้ดินต่างลือไปทางเดียวกันว่า เป็นเพราะองค์หญิงวัยเจ็ดชันษาไม่สิริโฉมงดงามคู่ควรมากพอ บางแหล่งข่าวที่หยาบคายกว่าหน่อยถึงกับกล่าวว่าองค์หญิงไม่ต่างจากหมูตอนอัปลักษณ์ก็มี แต่กระนั้น ทางต้นเรื่องอย่างกลุ่มคนในราชวงศ์แคว้นเว่ยกลับไม่ออกมาแสดงความสนใจต่อเรื่องนี้ มีเพียงชาวบ้านที่โมโหเป็นฟืนเป็นไฟ อ้างว่าความงามขององค์หญิงย่อมไม่ด้อยไปกว่าพระมเหสีผู้เป็นมารดา หลังจากองค์ชายสามเดินทางไปยังแคว้นลี่ พระราชวังแคว้นเว่ยก็เงียบเหงาอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะเมื่อบิดาและพี่น้องต่างใกล้ชิดแน่นแฟ้น ครั้นคนหายไปคนหนึ่งย่อมรู้สึกถึงความแตกต่างได้ชัดเจนกว่าผู้อื่น “องค์หญิงเพคะ” เสียงเรียกแผ่วเบาจากข้างเตียง ส่งผลให้ร่างเล็กที่เพิ่งรู้สึกตัวใช้มือขยี้ตา “ได้เวลาตื่นแล้วหรือ” หลังจากกู่ฮั่นเดินทางไปแคว้นลี่ เหล่าพี่ชายของนางก็เริ่มงานยุ่ง ไหนจะเรื่องก่อสร้างที่พักถาวรสำหรับทูตแลกเปลี่ยน ไหนจะต้องสรรหาที่พำนักชั่วคราวภายในวังหลวงเพื่อไม่ให้เสียเกียรติ ทั้งยังรวมถึงการอำนวยความสะดวกในการเดินทางและเตรียมข้อมูลเพื่อเอื้อประโยชน์เท่าที่เห็นสมควร ไม่แปลกที่ทุกคนจะวุ่นวาย ในเมื่อนี่เป็นครั้งแรกที่แคว้นเว่ยเปิดรับทูตแลกเปลี่ยน ดังนั้นนอกจากเวลาเข้าเฝ้าเพื่อปรึกษากับบิดา กู่หลันอิงก็แบ่งเวลาช่วงบ่ายที่ต้องอยู่ในตำหนักตามลำพังมานอนกลางวันเงียบๆ เพื่อฆ่าเวลา อี้หลานเตรียมผ้าชุบน้ำให้นายของตนเช็ดหน้า ปากก็พูดไปด้วย “องค์ชายรองฝากให้คนมาแจ้งว่า ชื่อของทูตจากแคว้นเว่ยถูกส่งมาแล้วเพคะ” “จริงหรือ” ดวงตาที่ดูกลมโตขึ้นเพราะขนาดแก้มที่เล็กลงฉายแววสนใจใคร่รู้ “เพคะ” นางกำนัลคนสนิทกล่าวพลางเริ่มช่วยอีกฝ่ายแต่งตัว “พระพาหา[1]ขององค์หญิงเล็กลงอีกแล้ว” เด็กหญิงไล่สายตามองตามเรียวแขนของตน จริงดังที่อี้หลานว่า ยิ่งเปลี่ยนเป็นชุดที่เคยใส่เมื่อหลายเดือนก่อน ความแตกต่างก็ยิ่งสังเกตเห็นได้เด่นชัด กู่หลันอิงมุ่งมั่นลดน้ำหนักมาได้สี่เดือนแล้ว หากไม่ได้ผลที่มองเห็นด้วยตาเปล่าเสียบ้าง กระทั่งนางก็คงรู้สึกท้อแท้สิ้นหวังเหมือนกัน เด็กหญิงคิดอย่างภูมิใจนิดๆ แม้ไม่อยากแสดงออกทางสีหน้า ทว่ามุมปากที่ยกขึ้นเล็กน้อยย่อมมิอาจรอดพ้นจากเจ้าลัทธิบูชาองค์หญิงอย่างอี้หลานไปได้ “เป็นเพราะความมุมานะขององค์หญิงทั้งนั้นเพคะ” ริมฝีปากของคนได้รับคำชมแย้มกว้างขึ้น จนกู่หลันอิงสุดจะกลั้นอีกต่อไป “พอแล้ว...” นางยกมือขึ้นปิดปากที่ยิ้มจนแก้มปริ ใบหูร้อนนิดๆ ด้วยความขัดเขิน อี้หลานมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกอิ่มเอมอย่างที่สุด แม้กู่หลันอิงมักจะวางตัวเป็นผู้ใหญ่เกินวัยอยู่เป็นนิตย์ แต่อย่างไรเสียเนื้อแท้นางก็เป็นแค่เด็กอายุเจ็ดขวบคนหนึ่ง “ข้าจะไปพบพี่รอง” เด็กหญิงเปลี่ยนเรื่องแก้เขิน “เพคะ” การแสร้งมองผ่านความน่ารักของนาย ถือเป็นอีกหนึ่งงานยากที่อี้หลานต้องฝึกฝนและทำให้ได้เพื่อความสบายใจของกู่หลันอิง หากมิใช่ยามที่ต้องต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง กู่หลันอิงมักจะแต่งกายด้วยอาภรณ์สีเรียบไม่ฉูดฉาด ทว่านางกำนัลในตำหนักก็เว้าวอนให้นางแต่งตัวน่ารักสมวัยกว่านี้ สุดท้ายองค์หญิงน้อยจึงยอมถักเปียทัดบุปผาหรือมัดจุกผูกโบตามโอกาส วันนี้เพราะรีบร้อน กู่หลันอิงจึงสั่งให้อี้หลานถักเปียเล็กและผูกโบสีฟ้าอ่อนซึ่งเข้ากับชุดที่สวมใส่ ทว่าเมื่อมาถึงตำหนักของพี่ชาย นางกลับพบเจอสิ่งที่ไม่คาดฝันเข้าเสียก่อน “องค์หญิง ขออภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ องค์ชายทรงมีงานด่วนจึงมิอาจรั้งอยู่ที่ตำหนัก” นายทหารผู้เฝ้าด้านหน้าแสดงสีหน้าเสียใจอย่างสุดซึ้ง “แล้วเสด็จพี่จะกลับมาเมื่อไร” “ทรงไม่ได้แจ้งไว้พ่ะย่ะค่ะ” ทหารหนุ่มกล่าวด้วยความสัตย์จริง เป็นเพราะงานด่วน กู่เลี่ยงจึงรีบร้อนออกไปอย่างกะทันหัน “เช่นนี้ดีไหมพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงเสด็จกลับไปรอฟังข่าวที่ตำหนักก่อน หากองค์ชายเสด็จกลับมาเมื่อไร กระหม่อมจะรีบไปรายงานทันที” กู่หลันอิงพยักหน้าอย่างจำยอม ในเมื่อคนไม่อยู่ก็คงช่วยไม่ได้ หนนี้ถือว่านางมาเสียเที่ยวแล้ว องค์หญิงคิดพลางเดินคู่นางกำนัลคนสนิท มุ่งหน้าออกจากตำหนักองค์ชายรอง อี้หลานเดินเยื้องอยู่ข้างๆ เห็นสีหน้าผิดหวังของนายผู้เป็นที่รักก็มิอาจอยู่เฉย “ถ้าองค์หญิงต้องการทราบ ข้าน้อยจะรีบไปพบองค์ชายรองให้เองเพคะ” “ข้าไม่อยากให้อี้หลานต้องลำบาก” “ไม่ลำบากหรอกเพคะ” หญิงสาวมีสีหน้ากระตือรือร้น “ข้างหน้ามีอุทยาน องค์หญิงทรงรอที่นั่นก่อน ประเดี๋ยวข้าน้อยจะรีบกลับมา” “อี้หลาน!” กู่หลันอิงหวังจะรั้งอีกฝ่ายก็ไม่ทันเสียแล้ว ร่างของนางกำนัลสาววิ่งไปเร็วเกินกว่าที่จะได้ยินเสียงของนาง เด็กหญิงเหม่อมองท้องฟ้ายามเย็น นานแล้วที่นางไม่มีโอกาสออกมาเดินเล่นในอุทยาน น่าจะตั้งแต่หลังจากถูกองค์ชายต่างแดนดูถูกเมื่อครานั้น แม้นางจะไม่เคยพูด แต่นางกำนัลในตำหนักก็เหมือนจะรู้จึงไม่มีผู้ใดกล้าเสนอให้นางเดินเล่นในอุทยานอีก ทั้งที่ก่อนหน้านี้มันเป็นสถานที่ที่นางโปรดปรานมากแท้ๆ อาจเป็นเพราะกำลังเร่งรีบ อี้หลานผู้ทำงานอย่างสมบูรณ์แบบอยู่เสมอจึงเผลอลืมเรื่องนี้ไป กู่หลันอิงถอนหายใจเล็กน้อย สุดท้ายนางก็ยังเป็นเด็กที่ไม่อาจแยกแยะเหตุผลกับอารมณ์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ อุทยานแห่งนี้ไม่ผิดอะไรเสียหน่อย ไยนางจึงต้องพาลไม่เยี่ยมเยียนเหล่าดอกไม้ที่ได้รับการเอาใจใส่เหล่านั้นด้วย ร่างอวบที่มีน้ำมีนวลตัดสินใจได้ดังนั้นก็ย่างกรายเข้าไปในอุทยานตามลำพัง เนื่องจากหลายปีที่ผ่านมาพระราชวังแห่งนี้ไม่เคยมีผู้บุกรุกให้ต้องระมัดระวังเรื่องความปลอดภัย ย่างเข้าปลายฤดูร้อน ดอกไม้บางชนิดโรยรา ทว่าบึงใหญ่กลับได้รับการแต่งแต้มด้วยสีสัน ดอกบัวสีชมพูและขาวเบ่งบานไปทั่วผืนน้ำจนมองไม่เห็นมัจฉาที่แหวกว่ายอยู่ด้านล่าง สายลมเอื่อยๆ คลอด้วยเสียงร้องของแมลงแสดงถึงความมีชีวิตชีวา แสงตะวันที่อาบท้องฟ้ากลายเป็นสีแสดเต็มไปด้วยเสน่ห์ของธรรมชาติ ป่านนี้กู่ฮั่นยังไม่ส่งจดหมายกลับมา ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะพบเจอปัญหาการปรับตัวที่ต่างแคว้นบ้างหรือไม่ กู่หลันอิงเดินชมรอบบึงอย่างเหม่อลอย กระทั่งเห็นเงาดำๆ ตรงพุ่มไม้ที่ขยับไหวอยู่ด้านหน้า ขาป้อมๆ ที่กำลังก้าวเดินหยุดชะงัก ดวงตาหรี่มองอย่างหวาดระแวง นางขยับเข้าไปใกล้ขึ้นอีกนิด เห็นชัดว่าสิ่งแปลกปลอมคงเป็นผู้บุกรุกแน่นอนแล้วก็ไม่รอช้า รีบหมุนกายหันหลังเพื่อถอยออกไปให้ห่างที่สุดเท่าที่จะทำได้ เอาตนเองปลอดภัยไว้ก่อน หลังจากนั้นค่อยแจ้งทหารด้านนอกให้เข้ามาจับตัวคนร้าย! กู่หลันอิงตั้งใจไว้แบบนั้น หากไม่ติดว่ามีของแข็งเล็กๆ ถูกโยนใส่แผ่นหลังของนางเข้าเสียก่อน เด็กหญิงยืนนิ่ง นางถูกพบตัวเข้าแล้ว! “นี่เจ้า! มานี่เร็ว” เสียงเล็กของเด็กที่ดังไล่หลังส่งผลให้ความกลัวในทีแรกลดหายลงไปกว่าครึ่ง กู่หลันอิงสูดหายใจเข้าพลางหันหลังไปมองด้วยสีหน้าสงบ นางจะให้อีกฝ่ายรู้ว่าตนกลัวไม่ได้เป็นอันขาด เด็กหญิงสาวเท้าเข้าไปใกล้ขึ้นอีกหน่อย ร่างเล็กกลมชะโงกมองเงาดำในพุ่มไม้ “เจ้าแอบเข้ามาได้อย่างไร” หมับ! กู่หลันอิงสะดุ้งโหยงเมื่อเจ้าของร่างนั้นคว้าแขนนางพร้อมกับดึงเข้าไปใกล้ นางอ้าปากหวังร้องให้คนช่วย แต่อีกฝ่ายกลับตอบสนองได้รวดเร็วกว่า “ชู่!” เด็กชายที่ยังจับแขนนางเอาไว้ยกมืออีกข้างหนึ่งขึ้นทาบริมฝีปาก นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มจนเกือบดำดูสวยงามราวกับผืนฟ้ายามรัตติกาล “ขอร้อง อย่าเพิ่งส่งเสียง ข้าไม่ได้จะทำร้ายเจ้า” กู่หลันอิงมองมือทั้งสองข้างของอีกฝ่ายเป็นอันดับแรก ครั้นเห็นว่าเขาไม่ได้พกอาวุธ สีหน้าเคร่งเครียดของนางก็ผ่อนคลายลง นางย่อกายคุยกับคนที่โผล่ศีรษะออกมาจากพุ่มไม้ “เจ้าเป็นใคร เข้ามาทำอะไรที่นี่” หากเทียบกับสถานที่ที่เก็บของล้ำค่าอื่นๆ ในวังหลวง อุทยานแห่งนี้ถือเป็นจุดที่คนร้ายจะมาก็ต่อเมื่อพวกเขาต้องการซ่อนตัวมากกว่าขโมยของ เด็กชายผู้นั้นไม่รีบร้อนตอบ เขามองซ้ายแลขวาเพื่อดูลาดเลาว่ามีใครผ่านมาหรือไม่ เมื่อไม่เห็นใครจึงยอมออกมาจากที่ซ่อน “ข้ามาที่นี่เพื่อมาหาองค์หญิงของพวกเจ้า” กู่หลันอิงเลิกคิ้วก่อนจะพิจารณาอีกฝ่ายอย่างละเอียดอีกครั้ง เขาเป็นเด็กชายดูแล้วอายุน่าจะประมาณสิบขวบ ใบหน้าสะอาดเกลี้ยงเกลา ผิวพรรณดีเกินกว่าจะเป็นบุตรชายข้ารับใช้ในวัง ชุดที่สวมใส่ไม่อาจจัดได้ว่าฉูดฉาดบอกตำแหน่ง แต่เนื้อผ้ากลับนุ่มและละเอียดดูราคาแพง โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้น... กู่หลันอิงค่อนข้างมั่นใจว่าไม่มีใครในแคว้นเว่ยที่มีดวงตาสีประหลาดเยี่ยงนี้ “เจ้าเป็นใคร” นางเป็นฝ่ายถามเขาก่อน ตราบใดที่ยังไม่ทราบฐานะและจุดประสงค์อันแน่ชัด นางจะไม่บอกฐานะที่แท้จริงของตนเช่นกัน ...ไม่แน่ว่าเขาอาจเป็นหนึ่งในคนที่อยากรู้ว่านางอัปลักษณ์สมคำล่ำลือหรือไม่ก็ได้ “เฮ้อ! เด็กอย่างเจ้าจะไปรู้อะไร” อีกฝ่ายถอนหายใจเฮือก พลางมองนางด้วยสายตาราวกับผู้ใหญ่กำลังมองเด็กคนหนึ่ง กู่หลันอิงมองกลับ ต่อให้เด็กชายคนนี้จะโตกว่า แต่อย่างไรเสียก็คงไม่เกินสี่ปี หรือเขาจะเป็นสหายของพี่สี่? นางคาดเดาอยู่ในใจ สุดท้ายก็ไม่ยอมบอกฐานะตนเองก่อนอยู่ดี “อย่างน้อยเด็กอย่างข้าก็รู้ว่าการแจ้งนามตนเองแก่ผู้ถามถือเป็นมารยาทขั้นพื้นฐาน” คำพูดที่ดูฉลาดเกินวัย ประกอบกับแก้มยุ้ยๆ ที่ขยับไปมาพร้อมกับริมฝีปากสีชมพูตามจังหวะการพูด ส่งผลให้คนมองนัยน์ตาแวววาว เกิดอาการมันเขี้ยวขึ้นมากะทันหัน จึก! กู่หลันอิงเบิกตากว้าง ตั้งแต่จำความได้นางไม่เคยถูกผู้ใดหยิกแก้มมาก่อน! ขะ...เขาบังอาจหยิกแก้มนาง! “เจ้า!” ร่างเล็กนุ่มนิ่มปัดมือเขาออก ถอยกรูดไปด้านหลัง “เจ้าหยิกแก้มข้าทำไม!” กู่หลันอิงไม่เคยแสดงอาการตกใจลนลานเช่นนี้ต่อหน้าใคร เป็นความผิดของเด็กชายที่มาแตะเนื้อต้องตัวนางโดยไม่ได้รับอนุญาต ทว่าผู้ไร้มารยาทกลับไม่สนใจมองสีหน้าของคนตัวเล็ก ดวงตาสีน้ำเงินเข้มเอาแต่ก้มมองปลายนิ้วที่หยิกแก้มนางเมื่อครู่ แก้มของนางนุ่มมาก... นุ่มแบบที่เขาไม่เคยสัมผัสอะไรที่นุ่มเท่านี้มาก่อน [1] พระพาหา หมายถึง แขน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD