ตอนที่ ๒๓ จัดอันดับ (๑)
สำนักบัณฑิต ยามซื่อ[1]
หลังจากการคัดเลือกหนึ่งอาทิตย์ สำนักศึกษามีธรรมเนียมที่สืบต่อกันมาเพื่อทำการจัดอันดับในหมู่บัณฑิตใหม่ บัณฑิตใหม่ทุกคนจะถูกจับคู่ประลองหมากล้อม
“ข้าว่าปีนี้คนที่มีสิทธิ์ได้อันดับหนึ่ง ถ้าไม่ใช่ท่านหญิงหนิงอันก็เป็นตงฟางซิงเฉิง”
“เจ้าไปเอาความมั่นใจมาจากไหนกัน หลายปีมานี้มีเพียงศิษย์พี่หญิงหม่าซุ่ยเหลียนเท่านั้นที่ชนะการประลองกับบุรุษ บุรุษตระกูลตงฟางล้วนเป็นยอดบัณฑิต ปีนี้ข้าพนันเป็นคุณชายสามตงฟางซิงเฉิง”
“แต่ว่าปีนี้ได้ข่าวว่าเป้ยเล่อซือไฉก็เพิ่งเข้าเมืองหลวงมาเรียนรุ่นเดียวกับเรา คนที่เป็นถึงรองแม่ทัพตั้งแต่ยังหนุ่มฝีมือเขาย่อมไม่ธรรมดา”
“แม้ว่าจะเป็นรองแม่ทัพใช่ว่าจะวางแผนเก่งกันทุกคน ไม่อย่างนั้นจะมีกุนซือเอาไว้ทำไม ข้าว่าตงฟางซิงเฉิง”
เสียงซุบซิบนินทาของบรรดาบัณฑิตใหม่ค่อยๆ เงียบลง เมื่อใต้เท้าโม่ซุนเหวินเดินเข้ามา พร้อมกับอาจารย์อีกหลายท่าน ทุกคนจึงรีบกลับที่นั่งตนเอง ใต้เท้าโม่เป็นชายชราหน้าตาอิ่มเอิบรูปร่างสูงโปร่ง รอบกายมีกลิ่นอายของปัญญาชนเข้มข้น หนวดเคราขาวโพลนชวนให้นึกถึงเทพเซียนบนสวรรค์ เขารอให้ทุกคนนั่งให้เรียบร้อย ขณะเดียวกันก็นั่งที่ของตนเอง
“นั่นอาจารย์กู่เยี่ย เป็นอาจารย์ที่อายุน้อยที่สุดของที่นี่” ลู่เสียนอ่านกระดาษที่ซือไฉโยนมาให้ หางตาเหลือบเห็นซือไฉเท้าค้างส่งยิ้มทะเล้นให้นาง ใบหน้าหวานราวอิสตรีของเขาทำให้ลู่เสียนย่นคิ้ว ใบหน้าแบบนี้ไม่เหมาะกับการเป็นรองแม่ทัพสักนิด
กู่เยี่ย...เป็นญาติกับกู่เหมินซีสินะ
กู่เหมินซีหน้าตาสุภาพเรียบร้อย ถือว่างดงามน่ามอง กู่เยี่ยหน้าตาหล่อเหลา แฝงกลิ่นอายสุขุม ใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มดูน่าเกรงขาม
“บัณทิตใหม่และเก่าทุกคน วันนี้จะเป็นวันแรกในการประลองหมาก ตอนบ่ายจะเริ่มการประลองรอบแรก ทุกคู่มีเวลาสองชั่วยามในการประลอง”
โม่ซุนเหวินยื่นม้วนกระดาษให้อาจารย์อีกคนด้านข้าง เขารับป้ายมาแล้วนำป้ายประกาศไปติดบนกระดาน
โม่ซุนเหวินยกมือให้ทุกคนอยู่ในความเรียบร้อย “การเดินหมากสะท้อนจิตใจของผู้เล่น อย่าได้ถือว่าตนเองเก่งกาจเหนือผู้ใด บางคนไม่รู้จักกันมาก่อน ก็อาศัยช่วงเวลานี้ศึกษานิสัยใจคอกัน ผู้ที่ได้อันดับหนึ่งถึงสามจะได้รับคำชี้แนะจากข้าโดยตรง!”
ยามเซิน[2]
บ่ายคล้อยแล้ว ดวงอาทิตย์แผดแสงร้อนแรง สายลมฤดูร้อนพัดเอากลิ่นดอกจวี๋ฮวาโชยเข้ามาในศาลาขนาดใหญ่ การประลองหมากเสร็จสิ้นไปเกือบทั้งหมด
หมากสีดำตัวสุดท้ายถูกวางลงพร้อมกับเสียงถอนหายใจของลู่เสียน มือของนางเย็นเฉียบด้วยความกดดัน
“ข้ายอมแพ้” จงผิงพูดขึ้น สายตาของนางจับจ้องลู่เสียนไม่วางตา ราวกับกำลังค้นหาอะไรบางอย่าง
“ผู้ชนะ หมิงลู่เสียน”
สิ้นเสียงของกู่เยี่ยลู่เสียนก็ถอนหายใจอีกครั้ง นางหลุบตาลงต่ำพร้อมกับเอ่ยขอบคุณ “ขอบคุณอาจารย์กู่ ขอบคุณจงผิง”
รอบแรกใช้เวลาไม่มาก จงผิงภายนอกดูสุขุม ทว่าในใจกลับร้อนรุ่มถือดี อาศัยที่ตัวเองดูเหนือกว่าลู่เสียนจนประมาทเลินเล่อ
“เจ้ารอมชอมเกินไป” ซือไฉที่เดินตามหลังมาพูดขึ้น ลู่เสียนตึงชะงักฝีเท้าแล้วหันไปมองเขา
“ท่านรวดเร็วดีนี่ ได้ข่าวว่าเพียงสองเค่อ[3]ก็เอาชนะผู้อื่นได้”
ซือไฉเอาพัดในมือเคาะศีรษะของลู่เสียนเบาๆ หนึ่งที “เด็กโง่ อย่าเปลี่ยนเรื่อง เจ้าใจเย็นเกินไป”
ลู่เสียนคลี่ยิ้ม มือบางคลำศีรษะตัวเอง “ท่านชาย อาจารย์โม่บอกให้ศึกษานิสัยใจคอของคู่ต่อสู้ ไม่ได้บอกให้รีบเอาชนะสักหน่อย”
“ตามใจ…ว่าแต่เจ้าน่ะ เลิกประชดข้าด้วยการเรียกแบบนี้ได้แล้ว น้องลู่”
ลู่เสียนจิกตาใส่เขา “ข้าไม่สน ท่านเป็นถึงเป้ยเล่อ มาแกล้งอำข้าเล่นแบบนี้ เอาไว้ท่านติดหนึ่งในสามแล้วค่อยมาขอร้องข้าใหม่เถิดนะ”
ดวงตาของซือไฉเป็นประกาย “ดี ถ้าข้าทำได้เจ้าต้องเรียกข้าว่าพี่ใหญ่ตลอดชีวิต”
“ได้”
ซือไฉยื่นนิ้วก้อยให้นาง
“ท่านจะทำอะไร?”
“เกี่ยวก้อยไง ทำสัญญากัน”
ลู่เสียนอ้าปากค้าง ยื่นนิ้วก้อยไปเกี่ยวกับเขาด้วยความงุนงง ซือไฉฉีกยิ้มสว่างเจิดจ้า โบกมือไปมา
“ดีแล้ว ส่วนข้าก็เรียกเจ้าว่าน้องสาว หึหึ”
“หมิงลู่เสียน!”
จงผิงสาวเท้าเข้ามาหา นางมองนิ้วก้อยที่เกี่ยวกันของทั้งสองแล้วหัวเราะในลำคอ มุมปากปรากฏรอยยิ้มหยัน
“มีอะไร” ลู่เสียนรีบสลัดมือออกจากซือไฉ
“ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า แค่สองคน” จงผิงปรายตามองซือไฉ ชายหนุ่มเลิกคิ้วก่อนจะเดินจากไป
“ลู่เสียน ข้าไปล่ะ”
“เจ้าแกล้งถ่วงเวลาตอนเดินหมากทำไม” จงผิงพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ท่าทีสุภาพเหือดหาย
ลู่เสียนนิ่งอึ้งไปสักพัก มองท่าทีของฝ่ายตรงข้าม นางประเมินสถานการณ์ผิดไปหรือ
คนอย่างจงผิงหากเอาชนะแบบหักหาญน้ำใจนางจะยิ่งเกรี้ยวกราดกว่านี้ ที่ลู่เสียนยืดเวลาให้นานกว่าผู้อื่นก็เพราะว่านางจะได้เสียหน้าน้อยลง
“ข้าเปล่า”
จงผิงผลักไหล่ลู่เสียนจนนางเซไปชนต้นไม้ ลู่เสียนนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ ใบหน้าเกรี้ยวกราดด้วยความโกรธ “โกหก! เจ้าจงใจจะยืดเวลาให้ข้าเสียสมาธิแล้วแพ้ ทั้งๆ ที่ข้ามีความสามารถมากกว่าเจ้า”
ถูกต้อง!
ลู่เสียนยิ้มเย็น “ถูกเพียงครึ่งเดียว เจ้าฉลาดก็เก็บเอาไปคิดเองว่าพลาดอย่างไรไม่ใช่โทษคนอื่น จะลงสนามรบต้องเตรียมให้พร้อม หาไม่แล้วก็เหลือแต่ร่างไร้วิญญาณกลับบ้านเท่านั้น”
ลู่เสียนปัดเศษฝุ่นออกจากร่างกาย ใช้หางตามองท่าทีเกรี้ยวกราดของจงผิง
“เจ้า!” จงผิงชี้หน้าลู่เสียน ปากเดี๋ยวอ้าเดี๋ยวหุบราวกับปลาในบ่อน้ำ ใบหน้าแดงก่ำ “จำเอาไว้ ข้าจะต้องเอาคืนเจ้าแน่นอน!” พูดจบนางก็หันกายจากไปราวกับลมพายุ
“ไม่ส่งนะ” ลู่เสียนหัวเราะส่งท้าย
แปะ แปะ แปะ
ซือไฉปรบมือ เขาเดินออกมาจากหลังพุ่มไม้ “ทำได้ดี”
ลู่เสียนนั่งลงกับพื้น หน้ามุ่ย
“ไม่ทันไรข้าก็สร้างศัตรูเสียแล้ว” ลู่เสียนเบียงศีรษะหลบพัดในมือของซือไฉทัน ดวงตากลมโตถลึงกว้าง “ท่าน! จะมากไปแล้วนะ หัวข้าไม่ใช่กลอง”
ซือไฉอมยิ้ม “ทุกที่มันก็มีเรื่องแบบนี้ทั้งนั้น อีกอย่างเจ้าไม่ผิด อย่าได้สนใจนาง คนที่มีความมั่นใจสูงเช่นนางถูกทำลายความมั่นใจเสียบ้างจะได้รู้สึกตัว”
“ข้ากลัวว่าพูดแรงไป”
“ไม่หรอก ถ้าเป็นข้าอาจจะด่านางหน้าหงายไปแล้ว”
“ร้ายกาจ”
ซือไฉหัวเราะร่า “น้องลู่ ในกองทัพมีแต่ผู้ชายพูดจาขวานผ่าซาก ไม่มีใครคอยพูดจาอ้อมโลกใส่กันหรอก ถ้าทำแบบนั้นคงได้กลายเป็นผีกันหมดแล้ว”
“คนในค่ายทหารเป็นแบบนี้กันทุกคนหรือ”
“ก็ไม่ แต่คนส่วนมากประจำการสักปีสองปีก็จะเป็นแบบนี้นี่แหละ ทำไม? เจ้าอยากได้สามีเป็นทหารเหรอ?”
“จะบ้าหรือ!”
“หึ น้องลู่ คนเรามีนิสัยไม่เหมือนกัน บางคนชอบเดินหมากแบบตรงไปตรงมา บางคนชอบซ่อนเล่ห์กลในหมาก ต่างคนต่างความคิด นอกจากเจ้าต้องคิดหาทางเอาชนะแล้ว เจ้าควรจะหาวิธีการจัดการเฉพาะตัวบุคคล การหาจุดอ่อนมีหลายวิธี ไม่จำเป็นต้องหลอกล่อจนเสียเวลา ในสนามรบอาศัยความรวดเร็วฉับไวในการเอาชนะ ยิ่งชักช้าจะไม่ใช่เฉพาะเจ้าที่อ่านผู้อื่นออก ผู้อื่นก็อ่านเจ้าออกเช่นกัน การประลองยุทธ์อาศัยความรวดเร็ว การเดินหมากในบางครั้งก็ต้องอาศัยวิธีนี้”
[1] ยามซื่อ ๙:๐๐ – ๑๑:๐๐ น.
[2] ยามเซิน ๑๕:๐๐ – ๑๗:๐๐ น.
[3] ๑ เค่อ = ๑๕ นาที