ตอนที่ ๑๘ สอบคัดเลือก

1613 Words
ตอนที่ ๑๘ สอบคัดเลือก สอบคัดเลือกบัณฑิตมีทั้งหมดสองรอบ รอบแรกเป็นการคัดเลือกพื้นฐานโดยแบบทดสอบทั่วไป ส่วนรอบที่สองเป็นการฝึกขี่ม้ายิงธนู ลานกว้างขนาดใหญ่ของสำนักบัณฑิตถูกติดตั้งอุปกรณ์ทดสอบไว้ครบครัน สำนักบัณฑิตไม่เพียงแต่สอนวิชาความรู้ในตำรา แต่วิชาป้องกันตัวก็จำเป็นต้องมี แม้ว่าคุณหนูตระกูลใหญ่ทั้งหลายในตอนแรกจะกล้าๆ กลัวๆ ทว่าเมื่อเข้าสู่สำนักบัณฑิตจะต้องได้รับการฝึกเช่นกัน เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกลำบากใจ พ่อแม่บุญธรรมไม่ต้องการให้นางอยู่กับคมหอกคมดาบ จึงมุ่งหวังให้นางเข้าสำนักบัณฑิต นึกไม่ถึงว่าวันนี้จะต้องมาเหวี่ยงดาบง้างธนู “น้องลู่ เจ้าไม่คิดว่าน่าสนุกหรือ? ทำไมทำหน้าตาแบบนั้น” เมื่อยืนอยู่หน้าลานทดสอบซือไฉก็หน้าตาสดชื่นขึ้นราวกับปลาที่ได้น้ำ ต่างกับลู่เสียนลิบลับ นางหน้าซีดยังไม่พอ แม้แต่ลำคอก็แห้งผาก “ข้า...ข้าเป็นสตรี ไม่เคยจับหอกดาบ คงไม่สามารถ” “น่าเสียดายจริงๆ หากเจ้ามีความสามารถทางด้านนี้ ในวันหน้าจะได้เลื่อนขั้นเร็วขึ้นหากเป็นขุนนาง หรือไม่ก็ถูกส่งตัวไปเป็นองครักษ์หญิงให้กับบรรดาสตรีฝ่ายใน” “เป็นเกราะให้ผู้อื่นดีตรงไหน” ลู่เสียนเบ้หน้า นางไม่ใช่คนดีขนาดนั้น “ท่านทำท่าดีใจราวกับคุ้นเคยมันอย่างดี” “มีชายใดไม่ชื่นชอบสิ่งเหล่านี้บ้าง เป็นบัณฑิตธรรมดาแต่ไม่มีวิชาป้องกันตัว อนาคตไม่แคล้วถูกผู้อื่นรังแก” “ท่านนี่แปลกคนจริงๆ” ลู่เสียนหัวเราะ หวังว่าเขาจะไม่เป็นเหมือนตุ๊กตาดินกับกิ่งท้อ[1]หรอกนะ “คอยดูก็แล้วกัน ที่จริงเจ้าไม่ต้องกังวล คุณหนูตระกูลใหญ่ส่วนมากทำเป็นแค่ขี่ม้า แค่เจ้าควบม้าได้ก็นับว่าผ่านแล้ว” “ควบม้า?” นั่นนับเป็นเรื่องที่แย่ที่สุดในชีวิตนางแล้ว ลู่เสียนอยู่บ้านนอกมาตั้งแต่เด็ก บิดามารดาสอนแต่วิชาตัวเบาเดินกำลังภายใน และวรยุทธ์ พวกนางเดินทางโดยใช้เท้ามาโดยตลอด อย่าว่าแต่ขี่ม้าเลย ขนาดขี่ลายังแทบจะไปไม่รอดเลย ให้ไปยิงธนูยังจะดีซะกว่า “หน้ามุ่ยทำไม นี่ เจ้าคอยดูข้าให้ดีเถอะ” ลู่เสียนไม่พูดอะไร นางกับซือไฉนั่งรอให้นายทะเบียนเรียกตัว สีหน้าผู้คนมากมายล้วนแต่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ไม่มีสักคนที่จะประหม่าเหมือนนาง หลงคิดว่าคุณหนูคุณชายพวกนี้จะเหลาะแหละกว่านางเสียอีก ยิ่งคิดนางยิ่งกลุ้ม คนกลุ่มแรกถูกเรียกตัวออกไป หนึ่งในนั้นมีสตรีที่เข้ามาหาเรื่องนางก่อนหน้านี้รวมอยู่ด้วย ซือไฉสังเกตเห็นสีหน้าเหม่อลอยของลู่เสียนก็รู้ว่านางคิดอะไรอยู่ จึงเอ่ยขึ้นลอยๆ “นางคือท่านหญิงหนิงอัน ธิดาของตู้ฝูจวิ้นอ๋อง” “ข้าไม่แปลกใจเท่าใดนัก” “นางไม่ได้มีดีเพียงเท่านั้น เจ้าคอยดูเถิด” ท่านหญิงหนิงอันและบุตรสาวขุนนางอีกสี่คนเดินออกมายังลานกว้าง แต่ละนางต่างเตรียมพร้อมมากันอย่างเต็มที่ “เวลาหนึ่งก้านธูป ธนูสิบดอก อย่างน้อยต้องยิงถูกป้ายไม้จึงจะผ่านการทดสอบ” ซือไฉอธิบาย “ท่านรู้เยอะจริง” “ในกำหนดการก็อธิบาย เจ้ามัวแต่อ่านตำราหลุนอวี่น่ะสิ” “เป็นผู้ใดกันที่ชวนข้าคุย หึ” “เอ๊ะ เวลาหมดลงแล้ว!” เสียงปรบมือดังลั่น สามในห้าคนยิงธนูเข้าเป้ามากกว่าห้าดอก “ตู้ฝูหนิงอัน ฉู่เลี่ยงหลิง เฉินเหมยเสียน ผ่าน” เสียงปรบมือแสดงความยินดีดังลั่นลานทดสอบ ผู้ที่ไม่ผ่านต้องรอทดสอบในด่านถัดไป ส่วนคนที่ผ่านรอทดสอบเพื่อจัดอันดับ แบบนี้ยิ่งสร้างความกดดันให้ลู่เสียน “หมิงลู่เสียน กู่เหมินซี ฉางอวี้ จงผิง อู๋ชิงจู” สิ้นเสียงนายทะเบียนลู่เสียนก็ถูกซือไฉสะกิด นางจำใจต้องลุกขึ้นและฝากของเอาไว้กับเขา “พี่ซือไฉ ท่านต้องสวดอวยพรให้ข้านะ” ซือไฉหัวเราะ “แน่นอน ข้าจะให้น้องสาวข้าตกรอบได้อย่างไร” “น่าเสียดาย รอบนี้มีแต่หญิงสาวหน้าตาธรรมดา สู้กลุ่มท่านหญิงเมื่อครู่ก็ไม่ได้” เสียงใครคนหนึ่งดังขึ้นระหว่างที่ลู่เสียนเดินผ่าน เรียกเสียงหัวเราะจากผู้คนได้เป็นอย่างดี “ฮ่า...อัปลักษณ์และยังหยิ่งทะนงอีก คงไม่ขายหน้ากลับมาหรอกนะ ฮ่าฮ่า” ลู่เสียนไม่สนใจคนพวกนั้น รีบเดินตามแถวเข้าไปยังกลางลานทดสอบ ธนูขนาดพอเหมาะสำหรับสตรีถูกวางเอาไว้เท่าจำนวนคน หยางจินชางหลิ่วตาให้ลู่เสียน เห็นนางท่าทางประหม่าเขาจึงอดอมยิ้มไม่ได้ จนถูกใต้เท้าโม่ที่นั่งอยู่ด้านข้างทัก “องค์ชายแปด ท่านกำลังมองใคร” “เป็นเด็กคนหนึ่ง น่าสนใจดี” ใต้เท้าโม่รู้สึกแปลกใจ “ท่านสนใจสตรีแล้วหรือ” หยางจินชางสำลักชาที่กำลังดื่ม รีบหันไปแก้ “ท่านอาจารย์ เป็นเด็กแปลกๆ คนหนึ่ง ไม่ได้มีอะไรขอรับ” ใต้เท้าโม่หัวเราะ เบนความสนใจไปยังลานทดสอบ ลู่เสียนมือสั่น นึกหงุดหงิดในใจ ธนูในมือนางขนาดเล็กกว่าที่เคยฝึก เมื่อลองง้างดูพบว่าอ่อนกว่าธนูปกติมาก ธนูสำหรับสตรี นางจะคิดมากทำไม อ่อนเช่นนี้ก็ดี นางไม่ถนัด คงพอตบตาผู้คนได้ นางลองง้างธนูอีกครั้งเพื่อทดสอบ ก่อนที่เสียงกลองจะดังขึ้น ตึง…ตึง…ตึง… “เริ่มได้!” ลู่เสียนเลิ่กลั่ก แอบเหล่มองคนอื่นที่เหลือ ทุกคนต่างมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม แม้ว่าจะมีท่าทางเก้ๆ กังๆ บ้างก็ตาม ฉึก! ธนูดอกแรกของกู่เหมินซีปักลงกลางเป้า ลู่เสียนเบิกตากว้าง ต้องมีสมาธิขนาดไหนกันถึงทำได้รวดเร็วเพียงนี้ นางหลับตา ใช้สามนิ้วรวบรวมสมาธิดังเช่นแต่ก่อน ‘ท่านพ่อ ท่านแม่ ช่วยข้าด้วย’ นางได้ยินเสียงหัวเราะดังขึ้น มุมปากปรากฏรอยยิ้ม เล่นละครนางถนัดนัก ลู่เสียนลืมตาขึ้น ดวงตากลมโตฉายแววมั่นใจ ลูกธนูดอกแรก นางแกล้งง้างไปยังเป้าสุดท้ายของอู๋ชิงจู ฉึก! ธนูปักตรงกลางวงกลมสีแดง เสียงหัวเราะดังขึ้นเรื่อยๆ ดอกที่สอง ธนูปักตรงกลางวงกลมสีแดงของป้ายถัดมา เสียงหัวเราะดังขึ้นอีกครั้ง ธนูไล่ปักไปเรื่อยๆ จนครบทุกเป้าเหลือแต่เป้าของนางเอง ‘หึ…’ นางง้างธนู เล็งตรงขอบสุดของวงกลมสีแดง ฉึก! ไม่พลาด! รอยยิ้มสมใจปรากฏตรงมุมปากของนาง การยิงทั้งสี่เป้าเมื่อครู่เป็นการทดสอบลมและกำลังแขน การจะให้ธนูเข้าตรงกลางเป้าสีแดงง่ายดายกว่าทำให้มันพลาดนักสำหรับคนที่ยิงธนูเป็น ทว่าหากคำนวณทิศทางลมและฟังกระแสลมให้ดีแล้ว… ลู่เสียนง้างธนูดอกที่หก เพิ่มแรงให้มากขึ้น แล้วก็... กรอบ... คันธนูหัก! “แม่นาง เจ้าเป็นอะไรหรือไม่?” ผู้คุมคนหนึ่งรีบวิ่งเข้ามาดู ลู่เสียนส่ายหน้าส่งยิ้มแห้งๆ ให้เขา “ข้าว่าธนูคงชำรุดแล้ว รบกวนท่านด้วยนะเจ้าคะ” นางก้มหน้าก้มตา “น่าแปลก...ก่อนนำมาทดสอบก็ตรวจสอบดีอยู่แล้ว แม่นาง เจ้าผ่านแล้วกลับไปนั่งที่เถอะ” “ขอบคุณพี่ชาย” ลู่เสียนลอบยิ้มรีบก้มหน้าก้มตาเดินกลับไปนั่งประจำที่ ทว่าสายตากลับเหลือบเห็นองค์ชายแปดส่งยิ้มรู้ทันมาให้ ‘คนเจ้าเล่ห์’ ซือไฉหรี่ตาจับผิดลู่เสียน ทว่านางกลับทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ไม่สนใจเสียงพูดคุยของผู้คน แกล้งหลบสายตาลอบอมยิ้มกับตัวเอง “อากาศวันนี้สดชื่นยิ่ง” “คมในฝัก” ซือไฉพูดขึ้นลอยๆ “ท่านบ่นอะไรพี่ซือไฉ” “เปล่า” เขายักไหล่ “ถึงทีข้าแล้ว เจ้าดูให้ดีก็แล้วกัน” ซือไฉโยนของในมือให้นางถือไว้ เดินไปยังกลางลานด้วยท่าทีผ่าเผย รัศมีเจิดจรัสราวกับเทพสวรรค์ “คนผู้นั้นเป็นใครกัน” “ได้ข่าวว่าเขาเพิ่งกลับมาจากหังโจว” หังโจว...ลู่เสียนจิบชา เขาอยู่ที่นั่นนานใช้ชีวิตอิสระจนชินราวกับม้าป่า “นั่นเป้ยเล่อซือไฉ [2] เป็นโอรสบุญธรรมของตู้ฝูจวิ้นอ๋อง” พรวด! “แค่ก!” ซือไฉมีตำแหน่งเป็นถึงเป้ยเล่อ มิน่าล่ะจึงไม่เห็นท่านหญิงหนิงอันอยู่ในสายตา ทั้งยังมาปั่นหัวลู่เสียนเล่นอยู่ตั้งนาน เสียงกลองดังขึ้น ผู้อื่นยิงธนูทีละดอก ทว่าเป้ยเล่อซือไฉกลับยิงทีละห้าดอก ลูกธนูพุ่งออกไปรวดเร็วแม่นยำราวกับจับวาง กระจายเรียงลำดับสูงต่ำจนเรียกเสียงฮือฮา ท่าทางหยิ่งผยองและมั่นใจในตัวเองของเขากลายเป็นจุดเด่นให้ผู้คนสนใจ ธนูอีกห้าดอกปักเรียงเช่นเดิมห่างไปไม่ถึงครึ่งคืบ การจัดวางท่าคล่องแคล่วสง่างาม แตกต่างกับคนธรรมดาอยู่มากโข ว่ากันว่าองค์ชายสิบสามเก่งในการรบ นางชักอยากเห็นเขายิงธนูแบบนี้บ้าง ไม่ได้! ตอนนี้นางยังจะคิดถึงเขาอยู่อีกหรือนี่ [1] ตุ๊กตาดินกับกิ่งท้อ จากบันทึก จ้านกว๋อเช่อ มีความหมายว่า ท่าดีทีเหลว [2] เป้ยเล่อ พระโอรสผู้สืบทอดในจวิ้นอ๋อง
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD