ตอนที่ 2

2056 Words
หลังจากที่คุยกันเรียบร้อยแล้ว บ้านอวี๋ จึงได้ดำเนินการเรื่องการแต่งงานของชางเหวิน หลานชายคนโตบ้านอวี๋ หลังจากนั้นเพียงไม่นาน ด้านปู่อวี๋เองก็ได้ฤกษ์ งานแต่งของชางเหยียนแล้วด้วยเหมือนกัน ท่านได้ส่งข่าวให้กับสหายจางได้รับรู้ล่วงหน้า เพราะฤกษ์แต่งจะมาถึงในอีก 1 เดือน หลังจาก แต่งหลานสะใภ้ใหญ่เข้าบ้านนั่นเอง เพื่อให้บ้านจางได้เตรียมตัวก่อน ชางเหนียนปรึกษากับปู่เรื่องห้องนอน ท่านจึงแนะนำให้ชางเหยียน ขยายห้องให้กว้างจากเดิม และให้ทำห้องน้ำแยกออกมาต่างหากจะได้สะดวกมากขึ้น ถึงจ้าวลู่จะไม่เห็นด้วยเพราะคิดว่าไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองขนาดนั้น ถึงอย่างนั้นก็ขัดไม่ได้เพราะปู่อวี้ ออกหน้าเป็นคนจัดการเองทุกอย่าง เธอจึงได้แต่เก็บความไม่พอใจเอาไว้ในใจ และมีบ้างที่จะนำความไม่พอใจไปลงกับบุตรชาย อย่างชางเหยียนบ้าง แต่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร ยิ่งเขาไม่ตอบโต้จ้าวลู่ ยิ่งโมโหและไม่พอใจมากขึ้น เธอเก็บความไม่พอใจนี้ไว้และยกให้เป็นความผิดของสะใภ้สามที่กำลังจะแต่งเข้ามาแบบไม่มีเหตุผล เพราะถ้าไม่แต่งหญิงสาวบ้านจาง ก็คงไม่ต้องมาเปลืองเงินต่อเติมห้องใหม่ให้ลูกชายอย่างนี้ ทั้งที่ค่าใช้จ่ายทั้งหมดเป็นเงินส่วนตัวของปู่อวี๋ แต่ใครจะสนใจกันเธอคิดเสมอว่าเงินของพ่อสามี สักวันก็ต้องตกมาเป็นของสามีกับของเธอดังนั้น หากหมดไปก่อนจะมาถึงเธอก็แย่เช่นกัน. ด้านบ้านจางนั้นไม่ได้จัดการอะไรมากมาย เพราะไม่ได้มีญาติที่สนิทมากนัก มีเพียงแค่ตระกูลจางสายรองที่อยู่ต่างเมือง ปู่จางแจ้งข่าวไปบอกพอเป็นพิธีเท่านั้น เพราะไม่ค่อยได้ติดต่อกันมากนัก ด้วยเพราะเป็นพี่น้องต่างมารดากัน น้องชายปู่จางนั่นเกิดจากแม่เล็ก ที่เป็นเพียงสาวใช้หลังจากที่แม่ของปู่จางจากไป บิดาไม่ได้แต่งงานใหม่เว้นตำแหน่งภรรยาหลวงไว้ แต่มีสาวใช้คอยดูแลท่านอยู่แล้ว และหลังจากที่แม่เล็กให้กำเนิดน้องชายกับน้องสาว ออกมาพ่อของปู่จางจึงให้ทั้งสามย้ายไปอยู่บ้านที่ต่างเมืองเพราะกลัวว่าปู่จาง จะน้อยใจ ส่วนท่านก็อยู่บ้านใหญ่เป็นหลักและไปเยี่ยมแม่เล็กกับน้องๆ ของเขาบ้างเป็นครั้งคราว จนวันที่ท่านจากไป ส่วนตัวปู่จางนั้นไม่ค่อยสนิทกับน้องๆ นักเพราะอยู่คนละบ้าน หลังจากพ่อของท่านจากไปแล้ว ท่านจึงเป็นผู้นำบ้านจางต่อจากบิดา ในวันจัดการฝังศพ จึงได้พบกับน้องชาย จาง จงเฮ่อ และน้องสาว จาง จงหลิน ท่านได้มอบทรัพย์สมบัติบางส่วนให้น้องชายน้องสาวไป เพราะถึงอย่างไรก็เป็นน้องๆ ร่วมบิดา และแต่งตั้งน้องชายเป็นผู้นำตระกูลจางสายรองด้วย แม้จาง จงเฮ่อ จะไม่ได้ว่าอะไรเพราะเป็นคนเจียมตัวอยู่ก่อนแล้ว แม่เขาบอกเสมอว่า นายท่านจางหรือพ่อของเขา นั้นเป็นผู้มีพระคุณกับครอบครัวของแม่ของเขามาก แม่รักพ่อมากและรู้ว่าท่านพ่อนั้นรักแม่ใหญ่มากจึงไม่คิดจะเข้าไปแทนที่เพียงอยากรับใช้คอยปรนนิบัติท่านเท่านั้น และอีกอย่างท่านก็ไม่เคยทิ้งขว้างให้แม่และพวกเขาลำบาก เพียงแต่อาจมีที่จะน้อยใจ ท่านพ่อของเขาบ้างเท่านั้น ส่วนจงหลิน ตอนนั้นยังไม่โตมากเพราะเป็นลูกคนเล็ก แต่เพราะแม่และพี่ชายดูแลเธอมาอย่างดีไม่ได้รู้สึกขาดอะไร เธอไม่ได้สนิทกับพ่อและไม่ได้รู้เรื่องราวอะไรมากนัก เพียงแต่รู้ว่าพ่อของเธอไม่ค่อยแข็งแรงจึงไม่ได้กลับมาอยู่ที่บ้านกับเธอและพี่ชายเท่าไหร่ และรู้ว่า เธอมีพี่ชายต่างมารดาด้วยอีกคน แม่ให้เธอเรียกว่าพี่ชายใหญ่ แต่ให้ถือว่าเป็นเจ้านายเพราะพี่ชายใหญ่ของเธอเป็นลูกของเจ้านายแม่นั่นเอง ตอนนั้นเธอยังเด็กเคยเจอพี่ชายใหญ่เพียงครั้งสองครั้ง พี่ชายใหญ่เป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยพูดแต่ไม่เคยดุเธอกับพี่ชายสักครั้ง และเจอกันอีกครั้งในงานศพบิดา พี่ชายใหญ่เพียงแต่บอกให้ดูแลตัวเองดีๆ เชื่อฟังแม่และพี่รองเฮ่อ เท่านั้น. บ้านจางสายรองจะมาไหว้หลุมศพบิดาปีละครั้ง ส่วนน้องสาวก็แต่งงานไปกับตระกูลกง ที่อยู่อีกเมือง ปู่จางไม่ได้ติดต่อนัก ครั้งนี้ก็ฝากบอกไปกับน้องชายและหลานๆ บ้านรองจางเท่านั้น ท่านไม่ได้จัดงานที่บ้านเพียงแต่มีพิธีส่งเจ้าสาวไปที่บ้านอวี๋เพียงเล็กน้อย เพราะทางนั้นบอกจะมารับไปทำพิธีที่นั่นทั้งหมด อีกอย่างตอนนี้เป็นช่วงที่ขาดแคลนอาหาร ทางการค่อนข้างเคร่งครัดจึงไม่อยากจัดงานให้เอิกเกริก ปู่จางไม่ได้เคร่งเรื่องพิธีการมากนักและอีกอย่างเพราะหลานสาวเป็นเด็กกำพร้าไร้พ่อแม่คอยส่งตัว จึงไม่อยากให้จัดงานใหญ่โตอะไร เสียวม่าย เตรียมเพียงชุดแต่งงานง่ายๆ โดยมีป้าเหลียงพาไปซื้อที่ร้านในห้าง ส่วนเรื่องสินเดิมเธอไม่ได้นำติดตัวไปมากนัก มีเพียงของกินของใช้จำเป็นที่ปู่จางกับป้าเหลียงจัดเตรียมเอาไว้ให้ ปู่จาง ได้มอบเงินให้หลานสาวไว้ใช้จ่ายส่วนตัวจำนวนหนึ่ง เสียวม่าย คิดว่าอยู่ที่หมู่บ้านคงไม่ได้ใช้อะไรมากมาย แต่ก็อยากให้ปู่สบายใจจึงรับไว้ เธอมีเงินเก็บส่วนตัวอยู่หลายร้อยหยวน ปู่ให้มาอีก 2,000 หยวน เธอจึงแยกเอาไว้ต่างหาก ในส่วนนี้เธอไม่ได้คิดมากอะไร เสื้อผ้าเธอก็ยังใช้ชุดเก่าที่มีอยู่แล้ว ไม่ได้ตัดใหม่เพราะคิดว่าไม่จำเป็น ปู่จาง เตรียมสินเดิมเป็นจักรเย็บผ้า 1 คัน ผ้าฝ้าย 2 พับ และมีข้าวสาร ของใช้ที่จำเป็นบางส่วนให้หลานสาว ส่วนเงินท่านให้หลานเก็บไว้ต่างหากรวมทั้งโฉนดบ้านและร้านค้าที่ท่านได้ทำการโอนให้หลานสาวไว้หมดแล้ว ที่แจ้งในรายการสินเดิมมีเพียง 500 หยวน เท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่นับว่าน้อย เพราะตอนแต่งสะใภ้ใหญ่ชุน นั้นมีเพียงเงิน 300 หยวนกับผ้าฝ้าย 2 พับและเนื้อหมู 4 ชั่ง เช่นกัน แต่บ้านอวี๋ มอบสินสอดเป็นเงิน 500 หยวน นาฬิกา 1 เรือน วิทยุ 1 เครื่อง ให้บ้านชุนทำให้ได้หน้ามากทีเดียว ถึงวันแต่งงาน ปู่อวี๋และชางเหยียน มารับเจ้าสาวที่บ้านจาง แต่เช้าได้ไหว้ป้ายวิญญาณบรรพบุรุษบ้านจาง ยกน้ำชาให้ปู่จาง เรียบร้อย ปู่จางได้ฝากหลานสาวให้ สหายและหลานชายช่วยดูแลต่อ ก่อนจะออกเดินทางมาที่หมู่บ้าน โดยมีปู่จางและป้าเหลียงเดินทางมาด้วย เสียวม่าย ค่อนข้างตื่นกลัวพอสมควร เมื่อได้เห็นหน้าว่าที่สามี ครั้งแรกแม้เขาจะหน้าตาหล่อเหลาแต่เธอที่ไม่ค่อยจะได้คลุกคลีกับคนอื่นมากนักก็ตื่นเต้นมากอยู่ดี ชางเหนียนนั้นแอบมองหน้าเด็กสาว ยอมรับว่าเธอสะดุดตาเขาแต่แรก ใบหน้าเล็กๆ ดวงตาโตๆ ที่ก้มหน้าต่ำอยู่ตลอดเวลา ปากเล็กๆ เม้มอยู่ตลอดจนเขากลัวว่า ริมฝีปากบางๆ นั่นคงจะช้ำไม่น้อย เขาจึงไม่ได้มองเธอตรงๆ มากนักเพราะกลัวเธอจะตกใจมากกว่านี้ พิธีแต่งงานที่จัดขึ้นเป็นเพียงการยกน้ำชา และลงชื่อของ เสียวม่าย เป็นคนตระกูลอวี๋ มีผู้นำหมู่บ้านและ ผู้เฒ่าอาวุโสในหมู่บ้านเป็นพยาน ปู่อวี๋ เตรียมสินสอดให้หลานสะใภ้เป็น เงิน 500 หยวน ปิ่นทอง 1 อัน ผ้าไหม 1 พับ นาฬิกา 1 เรือน ซึ่งก็ถือว่าสมน้ำสมเนื้อแล้ว ส่วนจ้าวลู่ แม่สามีนั้นอ้างเพียงว่าเงินกองกลางเหลือน้อยไม่มีให้เป็นสินสอดแล้ว ก่อนที่ทั้งคู่จะไปจดทะเบียนสมรสกันที่สำนักงานพลเรือน จ้าวลู่ คอยสังเกต ลูกสะใภ้คนใหม่ตลอดเวลาเมื่อเห็นว่าเป็นเพียงเด็กสาวที่ดูทึ่มๆ คนหนึ่งเท่านั้นดูเธอไม่สนใจสินสอดด้วยซ้ำ ส่วนย่าหลาน สะใภ้ใหญ่ เมื่อเห็นว่าน้องสะใภ้สามนั้น หน้าตางดงามก็ไม่ค่อยพอใจนักอีกทั้งสินสอดยังไม่น้อยกว่าเธอเลยสักนิด เธอเห็นสามีของเธอแอบมองน้องสะใภ้ อยู่บ่อยครั้ง เช่นกัน ชางเหวิน เมื่อเห็นหน้าน้องสะใภ้ครั้งแรกก็ถึงกับหายใจสะดุด ในใจคิดว่านี่เขาพลาดอะไรไป เขาไม่คิดว่าหญิงสาวที่เขาไม่รับในครั้งแรกจะหน้าตาหมดจดถึงเพียงนี้ ขนาดเธอไม่ได้แต่งหน้าตาเหมือนภรรยาของเขาแต่ก็เห็นถึงความสวยงามขนาดนี้ เขาแอบมองหน้าเล็กๆ ที่ก้มต่ำนั่นอย่างเสียดายตามนิสัยผู้ชายอย่างเขา แต่ในเมื่อเป็นภรรยาน้องชายแล้วเขาก็คงทำได้เพียงมองเท่านั้น ถึงอย่างไรเขาก็ยังไม่เลวถึงขนาดแย่งภรรยาน้องชายได้อย่างแน่นอน ชางเหยียน สังเกตดูกิริยาทุกคนอย่างเงียบๆ ยังคงวางหน้านิ่งๆ มีคอยประคองภรรยาเวลาลุก-นั่งบ้างเท่านั้นเพราะกลัวเธอจะประหม่าจนเสียหลัก สายตาคนภายนอกจึงเห็นเพียงคู่สามีภรรยาที่รักใคร่ปรองดองกันดี ปู่จางเองก็ค่อนข้างจะพอใจหลานเขยคนนี้ไม่น้อย ต่อไปท่านก็คงวางใจได้แล้ว พิธีการเสร็จก็มีกินเลี้ยงกันต่อเล็กน้อย ปู่จางอยู่คุยกับสหายอวี๋ จนเสร็จทุกขั้นตอนก่อนจะฝากหลานสาวไว้กับสหายและหลานเขยอีกครั้งก่อนจะเดินทางกลับบ้าน " อาฟู่ ขอบใจมากที่รักษาสัญญา ฉันต้องฝากม่ายม่ายให้นายดูแลให้ด้วยต่อไปฉันจะได้หมดห่วงเสียที ยังไงฝากดูแลหลานด้วยนะ ม่ายม่าย กำพร้าพ่อแม่ ตั้งแต่เด็กบางอย่างเธอยังไม่ค่อยจะรู้มากนัก แต่เธอเป็นเด็กบอกสอนง่ายค่อยๆ บอก ค่อยๆ สอน เอานะ อาเหยียน ฝากดูแลน้องด้วยนะ " ปู่จางบอก " นายไม่ต้องห่วงหรอก อาชวน หลานชายฉันคนนี้ฉันเลี้ยงมากับมือ เขาจะดูแลยัยหนูอย่างดีแน่นอน" ปู่อวี๋ " ผมสัญญาครับว่าจะดูแลเธออย่างดีที่สุด คุณปู่จางไม่ต้องกังวลครับ" " ดี ดี ได้ยินอย่างนี้ปู่ก็สบายใจแล้ว ต่อไปฉันจะไปถือศีลอารามบนเขา ใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบ" " อืม นั่นก็ดี ก็ดีแล้ว" ปู่อวี๋ ปู่จางกับป้าเหลียงได้เข้ามาบอกลาหลานสาวก่อนกลับอีกครั้ง และอวยพรให้เธอในวันมงคลของเธอ เสียวม่ายก็บอกให้ปู่รักษาสุขภาพและจะเยี่ยมบ่อยๆ พิธีการส่งตัวเสร็จเรียบร้อย วันนี้เสียวม่ายเธอรู้สึกเพลียและเหนื่อยมากกว่าปกติจึงอาบน้ำเข้านอนเธอไม่ได้รอสามี เพราะเขาออกไปดื่มเหล้ามงคลกับเพื่อนๆ อยู่ด้านนอกไม่รู้จะเลิกกี่โมง ตั้งแต่พบหน้าจนพิธีการเสร็จไปหมดแล้วเธอยังไม่ได้พูดคุยกับสามีหมาดๆ สักครั้งจะมีเพียงกล่าวขอบคุณเขาเพียงเล็กน้อยเวลาที่คอยหยิบจับให้ความช่วยเหลือและช่วยประคองในบางครั้งเท่านั้น. ชางเหยียน เข้ามาในห้องหอเห็นภรรยานอนหลับไปแล้วด้วยสีหน้าดูอิดโรยเขาจึงไม่ได้รบกวนการนอนของเธอ เขาไม่ได้คิดจะใช้สิทธิของสามี เพราะอยากทำความคุ้นเคยกับเธอเสียก่อน ไม่อยากให้เธอตื่นกลัวเขาไปมากกว่านี้จากที่สังเกตเธอวันนี้ เขาเห็นว่าเธอสะดุ้งทุกครั้งที่เขาแตะโดนตัวเธอ ดังนั้นจึงอยากให้เวลาเธอได้ทำความรู้จักและคุ้นเคยกันเสียก่อน เขานำผ้ามาปูนอนที่พื้นแทนเพราะไม่อยากให้เธอตื่นกลางดึก.
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD