Chapter 1 คืนเข้าหอ

1207 Words
Chapter 1 คืนเข้าหอ ตึก! ตึก! ตึก! ราวกับหัวใจกำลังจะกระโจนออกมานอกทรวงอก มันเต้นแรงจนไม่อาจควบคุมให้สงบลงได้ จนทำให้สติการรับรู้ทั้งหมดถูกปลุกให้ตื่นตัวเกินกว่าเหตุ เรือนกายอ้อนแอ้นอรชรร้อนผ่าวราวกับกำลังถูกเปลวเทียนลามไล้แผดเผา ริมฝีปากแห้งผากจนต้องแลบลิ้นเลียริมฝีปากหลายต่อหลายครั้ง รู้สึกกระหายน้ำคล้ายกำลังรอนแรมอยู่ท่ามกลางทะเลทรายร้อนระอุ ร้อน! เหตุใดจึงได้ร้อนและทรมานเช่นนี้ โดยที่นางไม่รู้ตัวนางเผลอหนีบต้นขาเข้าหากัน รับรู้ได้ว่าจุดซ่อนเร้นของอิสตรีกำลังไวต่อสัมผัสและความรู้สึก แค่เพียงเบียดเสียดเข้าหากันก็เสียวสะท้านจนต้องห่อไหล่ บ้าจริง! นี่ข้าเป็นอะไร! นางกัดริมฝีปากเป็นเส้นตรง พ่นลมหายใจจนผ้าคลุมหน้าสีแดงขยับไหว มือที่ผสานกันก่อนหน้านี้ยิ่งบีบแน่นพยายามควบคุมความหวามไหวที่จู่ๆ ก็แล่นเข้ามาโดยไม่ทันตั้งตัว หญิงสาวในชุดสีแดงมงคลปักด้วยดิ้นทองลายมัจฉาในเกลียวคลื่นมหาสมุทร บ่งชัดว่าผ้าผืนนี้ได้รับการถักทอขึ้นเพื่อสกุล ‘หลิว’ โดยเฉพาะ ตระกูลชาวประมงที่ผันตัวมาเป็นพ่อค้า ส่งออกปลาทะเลแห่งเกาะหมิงหนวนไปยังแคว้นใหญ่ทั้งห้า ได้แก่แคว้นไห่เหอ แคว้นหาน แคว้นฮุ่ยผิง แคว้นหู่เฉียง และแคว้นเซี่ยโจว ตระกูลหลิวมีเรือหาปลากว่าหลายร้อยลำ มีคนงานหาปลากว่าห้าร้อยชีวิต ชาวบ้านในเกาะหมิงหนวนทั้งหมดล้วนทำประมงโดยขึ้นตรงกับตระกูลหลิวแต่เพียงตระกูลเดียว ทำให้ตระกูลหลิวมั่งคั่งเทียบเท่าคหบดีในเมืองหลวงเลยทีเดียว และใช่... นางเป็นเจ้าสาวของตระกูล ‘หลิว’ จำต้องแต่งงานกับบุตรชายคนโตของตระกูลหลิวนามว่า ‘เส้าเหิง’ ชายผิวเข้มที่มีรูปร่างสูงใหญ่เต็มไปด้วยมัดกล้าม กิริยากักขฬะ แตกต่างจากชายหนุ่มในเมืองหลวงราวกับหน้ามือกับหลังเท้าเลยทีเดียว นางเคยเห็นเขา ใช่! นางเคยเห็นเขาแค่เพียงครั้งเดียวเมื่อครั้งที่เรือเทียบท่า เขายืนเปลือยอกแกร่งอยู่ท่ามกลางแสงแดดยามอู่[1] ตะโกนโวยวายเสียงดังสั่งงานชาวประมงจนเส้นเลือดที่ขมับปูดโปน ท่าทางของเขาเกรี้ยวกราดคล้ายกับโจรสลัดหาใช่ชาวประมง ดวงตาไม่เป็นมิตรราวกับสัตว์ร้าย ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเครารกรุงรัง ผมยาวหยิกถูกมัดไว้อย่างลวกๆ คล้ายไม่ยี่หระ นับจากนี้นางต้องเป็น ‘ภรรยา’ ของชายกักขฬะผู้นี้ ชายที่เกิดและเติบโตขึ้นบนเกาะหมิงหนวนที่แสนห่างไกลและกันดาร มารยาท วัฒนธรรม ประเพณีดีงามนั้นอย่าได้ถามหา ทุกคนที่นี่ดำเนินชีวิตเพื่อปากท้องราวกับอยู่ในบ้านป่าเมืองเถื่อนก็ไม่ปาน หากว่า... บิดาของนางไม่ถูกขุนนางกังฉินใส่ร้ายจนต้องระเห็จมาอยู่บนเกาะห่างไกลแห่งนี้ นางคงไม่ต้องมีชีวิตที่อดสู อย่างร้ายที่สุดนางก็คงแต่งงานไปกับคุณชายปลายแถวหรือบัณฑิตใฝ่รู้เคร่งตำรา หาใช่ชาวประมงกักขฬะเช่นนี้ ตึ้ง! เสียงฝีเท้าหนักๆ ที่กำลังก้าวไปทั่วห้องทำให้จูซ่านลี่ตื่นจากภวังค์ความคิด นางนั่งนิ่งราวกับตุ๊กตาไม่มีชีวิต เงี่ยหูฟังเสียงปลายเท้าของคนตัวโตที่กำลังเดินไปมาราวกับหนูติดจั่น ปั้ง! ซ่านลี่สะดุ้งโหยงเมื่อจู่ๆ เส้าเหิงก็ทุบกำปั้นลงบนโต๊ะไม้เสียงดังสนั่น นางได้ยินเสียงเขาสบถในลำคอว่า บัดซบ! เพียงเท่านั้นเองหยาดน้ำตาแห่งความอ่อนแอก็เอ่อขึ้นกลบหน่วยตา ความร้อนผ่าวทวีไปทั่วร่างด้วยความอับอาย ดูเอาเถอะ แม้แต่ชาวประมงป่าเถื่อนก็ยังรังเกียจคุณหนูตกอับอย่างนาง แน่ละ ก็นางเป็นเจ้าสาวที่มาจากการซื้อขาย หาใช่จากการสู่ขอหรือรักใคร่ชอบพอแต่อย่างใด ยามนี้บิดาของนางที่เคยเป็นขุนนางน้ำดีกลายเป็นชายแก่ขี้แพ้สิ้นหวังเอาแต่ดื่มสุราเมามาย อีกทั้งยังปล่อยให้เกาอิ๋งอิ๋งผู้เป็นมารดาเลี้ยงขายนางให้กับตระกูลหลิว เพื่อแลกกับเงินก้อนโตที่จะนำไปใช้จ่ายในตระกูล บุตรสาวของภรรยาเอกที่ตายไปแล้ว ไม่มีใครคอยคุ้มครองปกป้อง ถูกเมิน ถูกทำเหมือนเป็นอากาศธาตุมาถึงสิบแปดหนาว แต่อย่างน้อยร่างกายของนางก็ยังพอจะมีประโยชน์อยู่บ้าง ความน้อยเนื้อต่ำใจทำให้หยาดน้ำตาร่วงเผาะ หยดลงบนหลังมือที่ผสานกันไว้บนหน้าตัก “ว้าย!” จูซ่านลี่ถึงกับหวีดร้องอย่างเสียขวัญเมื่อจู่ๆ หลิวเส้าเหิงก็ย่ำฝีเท้าเข้าประชิดแล้วกระชากผ้าคลุมหน้าสีแดงออกอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นใบหน้างดงามที่เปรอะเปื้อนไปด้วยหยาดน้ำตา ทว่านั่นกลับทำให้นางยิ่งงดงามชวนหลงใหลจนคนตัวโตแทบหยุดหายใจ เงียบไปหลายอึดใจเมื่อต่างฝ่ายต่างตกตะลึง เมื่อสติกลับคืน คนตัวโตก็สะบัดผ้าคลุมหน้าในมือทิ้งลงบนพื้นอย่างไม่ไยดี แล้วใช้นิ้วสากกร้านบีบที่ปลายคางของนางจนใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเก ดันปลายคางแรงจนใบหน้าแหงนเงยแทบจะตั้งฉาก “เจ้ารังเกียจข้า! จนถึงกับต้องหลั่งน้ำตาเลยรึ!” “อื้อ!” ซ่านลี่เบิกตาโพลงด้วยความตกใจ ไม่อาจตอบโต้ได้แม้เพียงครึ่งคำด้วยถูกบีบแรงจนไม่อาจอ้าปากพูด แล้วโดยที่นางยังไม่ทันตั้งตัว เส้าเหิงก็โน้มกายลงมาจนรับรู้ได้ถึงลมหายใจเจือกลิ่นสุรา จังหวะนั้นเองริมฝีปากสากกระด้างกดทับลงมายังริมฝีปากนุ่มสีชาดอย่างไม่ออมแรง หัวใจเจ้าเอยไยจึงไหววูบไปกับจูบไร้อารยะ มันร่วงหล่นลงไปอยู่ที่ปลายเท้า ก่อนจะกระโจนกลับมาเต้นระรัวราวกับเสียงกลองรบ เลือดในกายพลันเหือดหาย คล้ายมีกระแสปราณแล่นปราดไปทั่วร่างจนนางรู้สึกระทวยอ่อนไร้เรี่ยวแรงที่จะขัดขืน จูบรสสุรา ขมปร่าทว่าหวานลึก มอมเมาให้มืดมัวใหลหลงยากจะถอดถอน อีกทั้งบางสิ่งบางอย่างที่อัดแน่นอยู่ในกายนางได้ประทุออกมาราวกับดอกไม้เพลิง ซ่านกระเส็นไปทั้งสรรพางค์กาย ในท้องหมุนมวนราวกับมีฝูงผีเสื้อนับร้อยพันกระพือปีกไปพร้อมๆ กัน ริมฝีปากกระด้างจูบจ้วงดุดัน ปลายลิ้นร้อนบีบบังคับให้นางเปิดริมฝีปากที่ปิดสนิทให้เผยอออก แล้วดุนดันปลายลิ้นเข้าไปควานหาความหอมหวานราวกับน้ำผึ้งหายากแห่งเทือกเขาคุนเหม่ย หวานจับใจ หวานจนแทบละลายหัวใจกระด้างของคนตัวโต ทว่าจู่ๆ เส้าเหิงก็ดึงริมฝีปากออกจากการจูบจ้วงอย่างแรง แล้วกระชากร่างบางให้ยืนขึ้นก่อนจะกระหวัดเข้ามาไว้ในอ้อมกอดแข็งแกร่ง “นับจากนี้ตัวเจ้าเป็นของข้า แต่ใจของเจ้าจะเป็นของใครข้าหาได้ไยดี!” [1] ยามอู่ คือ ช่วงเวลา 11.00-12.59 นาฬิกา
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD