ป้าวรรณามองตามแล้วถอนหายใจขณะนั้นเองบัวคลี่ซึ่งเป็นแม่ครัวสาวใหญ่วัยสี่สิบก็เข้ามาและพูดว่า
“เกนหลงนี่มันไม่เคยทิ้งเลยจริงๆ นะไอ้นิสัยที่ชอบดูถูกชอบเหยียดคนอื่นทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ไม่ได้ดีไม่ได้เหนือไปกว่าใครเลย ที่จริงแล้วหลงเป็นเด็กกำพร้า พ่อแม่ของมันเป็นญาติห่างๆ กับพ่อเลี้ยงก็จริงแต่ตอนที่มาที่นี่น่ะลุงป้าน้าอาก็เป็นคนที่พากันหลงมาฝากฝังเอาไว้”
“ที่พูดไปไม่ได้อยากจะตำหนิหรือว่าให้เด็กมันเจ็บใจเหรอกนะแต่ฉันเองอยากเตือนสติให้เกนหลงมันคิดอะไรได้บ้างเพราะอย่างน้อยที่สุดคนเราก็ต้องมีความเห็นใจกันโดยเฉพาะแม่เลี้ยง เธอเป็นคนดีมาก เราควรที่จะให้เกียรติ แล้วนี่นะพอพูดถึงแม่เลี้ยงก็อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้เพราะยิ่งนับวันก็เห็นว่าอาการจะทรุดลง ฉันก็รู้ว่าพ่อเลี้ยงกำลังจะมีความทุกข์ใจ ก็เธอรักของเธอออกอย่างนั้น”
“ฉันก็เห็นนะป้าว่าพ่อเลี้ยงน่ะรักแม่เลี้ยงมาก หรือว่าที่ให้น้องสาวของแม่เลี้ยงมาอยู่ที่นี่ก็เพื่อจะได้ช่วยดูแลแม่เลี้ยงด้วย”
“ฉันก็คิดอย่างนั้นแหละ คิดเหมือนที่แม่บัวคลี่คิดถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีเหมือนกันนะแม่เลี้ยงจะได้มีกำลังใจ คนเราสุขภาพไม่ดีแต่ถ้ากำลังใจดีก็จะมีชีวิตอยู่ได้อีกนานยังไงล่ะ”
ทั้งป้าวรรณาและบัวคลี่พูดจบแล้วก็หันกลับไปทำงานของตัวเองกันต่อและขณะนั้นที่ซุ้มไม้ภายในสวนสวยใกล้กันกับเรือนไม้สักหลังใหญ่ภายในปางไม้สิงหอัครวัตร โต๊ะภายในซุ้มไม้ถูกจัดสำรับเป็นอาหารมื้อเช้าไว้อย่างดีและที่นั่นก็มีเพียงกมลนั่งอยู่เคียงข้างกับจเด็จ ส่วนนภัทสรีย์ก็นั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะ เพียงกมลยื่นกาน้ำชาให้น้องสาวก่อนจะเอ่ยว่า
“นี่จ้ะนิ่ม...ชามะลิ นี่เป็นชามะลิอย่างดีที่พี่สั่งให้เขาเอามาให้เพิ่งมาถึงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว พี่รู้นะว่านิ่มชอบชามะลิมากพี่ก็เลยสั่งมาเตรียมเอาไว้ ลองดูสิจ๊ะดื่มแล้วจะได้กลิ่นหอมแล้วก็จะรู้สึกเบาโล่งมากๆเลย”
นภัทสรีย์รับกาน้ำชาจากพี่สาวและรินใส่ถ้วยชา เช้านี้หญิงสาวอยู่ในชุดเสื้อแขนยาวและนุ่งผ้าซิ่นแต่งตัวอย่างสาวชาวบ้านและใช้ผ้าพื้นถิ่นอย่างที่เธอเคยแต่งตัวแบบนี้ตอนที่อยู่บ้านซึ่งก็เป็นการแต่งกายที่นภัทสรีย์คุ้นเคยดีอยู่แล้ว
“ขอบคุณมากค่ะพี่เพียง เมื่อคืนนี้นิ่มต้องขอโทษด้วยนะคะที่มาถึงดึกแล้ว แต่พอมาถึงพี่เพียงก็หลับไปแล้วเลยคิดว่าไม่ปลุกจะดีกว่าให้พี่เพียงได้พักผ่อนค่ะ”
“ไม่เป็นไรเหรอกนะ ถึงพี่จะหลับไปแล้วแต่พี่เองก็บอกให้พี่เด็จไปคอยดูแลและก็จัดห้องให้นิ่มเอาไว้ให้เรียบร้อย ส่วนของใช้เสื้อผ้าถ้าขาดเหลืออะไรนิ่มก็บอกป้าวรรณาได้นะเพราะป้าวรรณาเป็นคนที่คอยดูแลเรื่องข้าวของเครื่องใช้ในบ้านแล้วก็ดูแลเกี่ยวกับความเรียบร้อยและความสะอาดหรือถ้านิ่มอยากจะกินอะไรก็บอกป้าวรรณาได้นะจ๊ะ...ใช่ไหมคะพี่เด็จ”
พูดแล้วก็เหลือบสายตาไปทางสามีของเธอที่นั่งอยู่ข้างๆ จเด็จไม่กล่าวว่าอะไร สีหน้าของเขายังคงเรียบเฉยแม้ริมฝีปากจะมีรอยหยัดยิ้มบาง ๆ ถึงตอนนี้เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำสีหน้ายังไง รู้เพียงว่ามันเหมือนการแสดงละครที่ต้องมานั่งปั้นหน้าทำตัวให้ภรรยาพอใจเพราะเขาเองก็รู้อยู่แล้วว่ามีอะไรเกิดขึ้นและขณะนั้น นภัทสรีย์เองก็ได้แต่นั่งจ้องน้ำชาสีอ่อนละมุนในถ้วยที่ส่งกลิ่นหอมเย้ายวน เป็นกลิ่นหอมมะลิอ่อนๆ เธอแทบไม่กล้าสบตาพี่เขย มันช่างเป็นบรรยากาศที่แสนอัดอั้นอะไรอย่างนี้ ทั้งนภัทสรีย์และจเด็จต่างก็ไม่ต้องการมองตากันและกัน ต่างทำเหมือนว่าไม่อยากจะพูดคุยหรือสบตากัน ต่างจากเพียงกมลที่พยายามทำให้บรรยากาศของอาหารมื้อเช้าเกิดความชื่นมื่นชื่นมากที่สุด
หลังอาหารมื้อเช้าผ่านไปที่นภัทสรีย์นั่งกินอย่างสงบเสงี่ยมสำรับมื้อเช้าถูกจัดเป็นอาหารเช้าแบบฝรั่ง ซึ่งป้าวรรณาจัดให้เพียงกมลอย่างที่แม่เลี้ยงของปางไม้ชื่นชอบและดูเหมือนว่าจเด็จก็ชอบกินเหมือนที่ภรรยาของเขากินด้วย ในช่วงเวลาของการกินมื้อเช้า นภัทสรีย์สังเกตว่าจเด็จคอยเอาใจภรรยาของเขา พี่เขยจะคอยตักอาหารให้ รินน้ำชาและนมอุ่น ๆ ให้และจบที่การจัดยาให้ภรรยาแสนสวยแต่บัดนี้หน้าตาซีดเซียวลงไปมาก ในเวลานั้นนภัทสรีย์ยังเก็บงำความคิดไว้กับตัวเองอย่างเงียบ ๆ ว่าจริง ๆ แล้วพี่สาวของเธอเป็นคนที่น่าอิจฉามากแค่ไหน เพียงกมลโชคดีได้พบกับผู้ชายที่รักจริงใจ จเด็จเป็นคนรักเดียวใจเดียว รักเมียของเขาแม้จะรู้ว่าเวลาระหว่างเขากับเพียงกมลจะเหลืออีกไม่นานเท่าไหร่ แต่ทุกวินาทีเขาก็ทำให้มันมีค่าด้วยการทำดีกับเพียงกมล และภาพที่เห็นตรงหน้าก็ทำให้ นภัทสรีย์รู้สึกปลาบปลื้มและตื้นตันแทนพี่สาว แม้ว่าในส่วนลึกเธอจะรู้สึกหวั่นไหวและเจ็บปวดกับคำพูดที่จเด็จว่าเธอไว้เมื่อคืนนี้ เธอรู้ดีว่าพี่เขยเริ่มแสดงความรังเกียจเดียดฉันท์เธอก็เพราะว่าเขาไม่ต้องการรับเธอเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต แต่เพราะขัดเมียรักไม่ได้ก็เลยจำเป็นต้องตามน้ำ ต้องทำให้เพียงกมลมีความสุขและเห็นว่าเขาจะไม่ขัดความประสงค์ของภรรยา