“เสี่ยวลี่ ข้าตกใจหมดเลย”
“ตู้ชินอ้าย รีบลุกขึ้นมาแต่งกายเสีย เรื่องจะแต่งหรือไม่แต่ง...เจ้าต้องไปถามเขาให้รู้แล้วรู้รอด ชื่อเสียงของสตรีสำคัญมาก หากเจ้าอยู่รอที่นี่ต่อไปแล้วเขาไม่แต่งงานกับเจ้าขึ้นมา หลังจากนี้จะมีบุรุษหน้าใดมาสู่ขอเจ้ากันอีกเล่า” ม่อลี่ไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบฉุดร่างเล็กขึ้นจากน้ำก่อนจะเริ่มจับนางแต่งตัว
ชุดลำลองที่สาวใช้ตระเตรียมมาให้พวกนางมีสีแดงอ่อนซึ่งไม่ต่างจากชุดที่พวกนางผลัดเปลี่ยนมาก่อนหน้าที่เท่าไรนัก คาดว่าบนเกาะดอกเหมยจะให้ผู้มาเยือนสวมใส่สีแดงเพื่อแบ่งแยกให้รู้ว่าเป็นคนนอก
ชินอ้ายสวมใส่เสื้อผ้าอย่างเคอะเขิน แม้นางจะเคยอาบน้ำกับม่อลี่มาตั้งแต่เด็ก ทว่าพอเริ่มโตเป็นสาว...พวกนางก็ไม่เคยอาบน้ำด้วยกันอีก นึกไม่ถึงว่าม่อลี่จะหลุดคำพูดน่าอายออกมา
“จะว่าไปแล้ว...ข้ารู้สึกว่าหน้าอกของเจ้าใหญ่ขึ้นนะ”
ผู้ฟังถลึงตาแต่ก็ไม่อยากต่อความ ด้วยเหตุนี้พอใส่เสื้อผ้าเสร็จแล้วก็รีบออกมาจากห้อง ทิ้งให้เสียงหัวเราะของคนแกล้งดังไล่หลังมากับสายลมหนาว นึกไม่ถึงว่าจะปะเข้ากับบุรุษในชุดสีขาวเข้าพอดิบพอดี
“มะ...แม่นางตู้” ซางฉือที่ปกติมักจะดูสุขุมกลับเอ่ยวาจาติดขัดยิ่ง ใบหน้าแดงก่ำ ชินอ้ายเห็นดังนั้นก็เบิกตากว้างขึ้นอย่างตกใจ
“ทะ...ท่านซางคงไม่ได้ยินที่...” นางพูดมาถึงตรงนี้ก็นิ่งไป แทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนีหากขากลับก้าวไม่ออก ใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาขณะที่เบนสายตาหนีไปอีกทาง ต่อว่าสหายอยู่ในใจ
‘เสี่ยวลี่เอ๋ยเสี่ยวลี่ งามหน้าแล้วไหมล่ะ! ’
ข้ารับใช้หนุ่มเห็นสีหน้าอับอายของนางก็รีบกล่าวเปลี่ยนเรื่องเพื่อลดความอึดอัด “แม่นางตู้จะไปที่ใดหรือขอรับ”
ดรุณีน้อยหันหน้ามามองหน้าเขาในที่สุด “ข้าอยากพบท่านเจ้าเกาะเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นให้ข้านำทางท่านไปดีหรือไม่” ชายหนุ่มอาสา
“คงต้องขอรบกวนท่านซางแล้วเจ้าค่ะ” การพบเจอกับซางฉือช่างประจวบเหมาะยิ่งนัก เพราะนางไม่รู้เลยว่าเผิงซือเยียนพำนักอยู่ส่วนใดของจวนริมผาแห่งนี้
ทว่าสิ่งที่ชินอ้ายไม่รู้ คือชายหนุ่มตั้งใจมาดักรอนางที่เรือนแห่งนี้ตั้งแต่แรกเพื่อสอบถามเรื่องบางอย่างซึ่งค้างคาใจมาตั้งแต่เมื่อยามบ่ายที่ผ่านมา...
เส้นทางเชื่อมต่อระหว่างเรือนต่างๆ มีระเบียงทางเดินเชื่อมต่อกันเป็นระเบียบ มีหลังคาคอยกันแดดและฝน สองข้างทางปกคลุมด้วยสีขาวโพลน ความเย็นที่ปลายนิ้วส่งผลให้ร่างเล็กประสานมือไว้เบื้องหน้า ใช้ชายแขนเสื้อซึ่งด้านในซึ่งบุด้วยขนสัตว์มอบความอบอุ่นให้กับตน เมื่อผ่านพ้นไปได้ระยะหนึ่ง เสียงทุ้มสุภาพของซางฉือก็เอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมา
“แม่นางตู้ เรื่องกำไลดอกเหมย...”
ดวงหน้ารูปหัวใจเบือนกลับมายังผู้ถามซึ่งเดินอยู่เคียงข้าง หรือเขาจะอยากตำหนินางที่หนีไปหากำไลที่หล่นหายโดยมิได้บอกกล่าว “ข้าต้องขอโทษท่านซางด้วยนะเจ้าคะ เป็นเพราะข้ากระวนกระวายเรื่องกำไลมากเกินไปจึงมิได้คิดหน้าคิดหลัง ปล่อยให้ท่านกับเสี่ยวลี่ต้องตามหา”
“แม่นางตู้อย่าได้เกรงใจ เป็นเพราะข้าน้อยไม่ดีจึงไม่ทันได้สังเกต หากต่อไปภาคหน้าท่านมีเรื่องกังวลหรือไม่สบายใจ ก็ขอให้ท่านบอกข้าน้อยได้ทันที” เขาเว้นจังหวะไปครู่หนึ่งเพื่อผายมือให้ร่างเล็กก้าวเท้าไปยังฝั่งขวาของทางแยก “แล้วกำไลนั่น ท่านได้มานานแล้วหรือขอรับ”
“ประมาณเกือบห้าปีได้เจ้าค่ะ”
“ข้าน้อยขอถามได้ไหมว่าท่านได้มาจากผู้ใด”
ชินอ้ายมีสีหน้าประหลาดใจ คำถามของซางฉือเหมือนกับสิ่งที่ท่านเจ้าเกาะถามนางมิผิดเพี้ยน กำไลที่พี่สาวมอบให้นางมีความพิเศษอย่างไรกับคนบนเกาะแห่งนี้อย่างนั้นหรือ?
ความสงสัยเพิ่มมากขึ้น พี่สาวอยากให้นางแต่งงานกับเผิงซือเยียน ไม่แน่ว่าอีกฝ่ายอาจจะมีความสัมพันธ์บางอย่างกับเกาะดอกเหมย แม้นางไม่คิดจะขุดคุ้ยความเป็นมาของผู้มีพระคุณ ทว่าก็มิอาจข่มกลั้นความสนใจใคร่รู้ตามธรรมชาติของมนุษย์ไปได้
“ท่านซาง คำถามนี้ข้าตอบท่านเจ้าเกาะไปแล้ว กำไลนั้นเป็นของขวัญจากผู้มีพระคุณของข้าเจ้าค่ะ” นางตอบเสร็จก็ถามต่ออย่างไม่ขาดช่วง “มันมีอะไรพิเศษหรือเจ้าคะ”
“เรื่องนี้...” ซางฉือเผยสีหน้าลำบากใจออกมาเล็กน้อย “ไว้แม่นางตู้ถามท่านเจ้าเกาะด้วยตนเองจะดีกว่าขอรับ”
เขากล่าวจบก็ก้าวนำไปด้านหน้า ทิ้งให้เด็กสาวมองตามด้วยความสงสัย ไม่อาจเข้าใจว่าเหตุใดเรื่องนี้จำเป็นต้องให้เผิงซือเยียนเป็นผู้ตอบ
บนเกาะดอกเหมยมีจวนริมผาตั้งอยู่ศูนย์กลาง เรือนใหญ่เล็กแผ่กิ่งก้านโอบล้อมคล้ายต้นไม้เติบใหญ่ แลดูน่าตื่นใจและพิศวงไปในคราเดียว
แม้เกาะดอกเหมยจะเป็นเพียงเกาะเล็กๆ ในแถบทะเลฝั่งทิศตะวันตกแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดัง แม้ไม่ใหญ่ถึงขั้นสถาปนาป๋าอ๋องอย่างเกาะเทียนซิงทางทะเลตะวันออก ทว่าก็มีจ้าวเกาะเป็นผู้ปกครองมาหลายชั่วอายุคน
เรือนหนิงจิ้ง[1]โอ่อ่ากว้างขวาง กึ่งกลางโถงมีเตาผิงไฟขนาดใหญ่แผ่ไอร้อนต่อสู้กับอันอากาศหนาวเย็น
ผู้เป็นเจ้าเรือนถอดเสื้อคลุมสีดำทะมึนพาดไว้กับเก้าอี้ใหญ่ ร่างสูงโปร่งมุ่งหน้าไปยังส่วนของห้องนอนที่อยู่ลึกเข้าไปด้านใน ทว่าที่นี่ยังไม่ใช่จุดหมายของเขา...
เผิงซือเยียนหยุดฝีเท้าลงที่หน้าชั้นหนังสือก่อนจะเขย่งปลายเท้า เอื้อมมือขึ้นไปลูบไล้ตรงชั้นบนสุด ทันทีที่สัมผัสถึงแท่นที่นูนขึ้นมาก็กดฝ่ามือลงไป เปิดกลไกให้ชั้นหนังสือเคลื่อนไปด้านข้าง เผยให้เห็นห้องลับที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน ชายหนุ่มก้าวไปหยุดยืนอยู่เบื้องหน้ากล่องไม้ขนาดเล็กซึ่งวางโดดเดี่ยวอยู่ด้านในสุด
กำไลดอกเหมยเป็นสิ่งที่บุรุษบนเกาะดอกเหมยจะมอบให้ผู้ที่ตนพึงใจ ตามธรรมเนียมคือยามที่ครอบครัวใดให้กำเนิดบุตรชายก็จะสั่งทำกำไลเช่นนี้ให้หนึ่งวงต่อคน บนเกาะนี้ไม่นิยมมีมากภรรยา เพราะฉะนั้นความสำคัญของมันจึงเทียบเท่ากับความสุขทั้งชีวิตของบุรุษบนเกาะทุกคน ส่วนใหญ่แล้วจึงมักจะมอบให้สตรีที่จะแต่งงานด้วยหลังจากผ่านพ้นคืนวิวาห์ไปแล้วยี่สิบสองวัน
ชายหนุ่มครุ่นคิดพลางเอื้อมมือหมายจะเปิดมันเพื่อสำรวจสิ่งที่ ‘ควร’ จะถูกเก็บอยู่ภายใน หากก็ชะงักเมื่อโสตประสาทรับรู้ถึงผู้มาเยือนเรือนตน ด้วยเหตุนี้จึงดึงสายตากลับออกมาพร้อมกับมุ่งหน้าออกจากห้องลับ แม้จะสงสัยแต่ก็ไม่อยากปล่อยให้แขกต้องรอนาน
กลางโถงใหญ่มีหนึ่งบุรุษหนึ่งสตริยืนอยู่สงบเสงี่ยม ชุดสีขาวตัดกับสีแดงโดดเด่นนัก
“คารวะท่านเจ้าเกาะ” ซางฉือเห็นผู้เป็นนายเดินออกมาก็รีบทำความเคารพ ชินอ้ายเองก็รีบทำตาม ยามพบกันที่ท่าเรือนางก็เสียมารยาทกับอีกฝ่ายไปหนหนึ่งแล้ว นางไม่อาจทำพลาดซ้ำสอง โดยเฉพาะการทำเช่นนี้ยังสามารถช่วยให้นางหลบหลีกสายตาของผู้ที่สวมหน้ากากได้อย่างไม่น่าเกลียด มือเย็นที่ซ่อนอยู่ในชายเสื้อพลันร้อนขึ้นเมื่อนึกถึงคราที่เขากุมมือของตน
เผิงซือเยียนมองนางเล็กน้อย ก่อนจะเบือนสายตาไปยังบ่าวรับใช้ “ซางฉือ เจ้าไปได้”
ชายหนุ่มพยักหน้าก่อนจะออกจากห้องไปอย่างเงียบเชียบ ฝ่ายเด็กสาวก็ยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น การตกแต่งภายในห้องดูเรียบง่ายกว่าที่วาดไว้ในจิตนาการมากนัก เครื่องเรือนเครื่องใช้ล้วนทำจากไม้ประดู่สีเข้ม
เป็นครั้งแรกที่นางมีโอกาสได้มาที่เรือนท่านเจ้าเกาะจึงประหม่าไม่น้อย จนกระทั่งร่างสูงโปร่งเคลื่อนไปยังโต๊ะกลม เมื่อน้ำชาถูกรินออกจากกานางจึงได้สติ รีบเดินไปนั่งบนเก้าอี้อย่างรีบร้อน
เดิมทีอยากถามเขาเรื่องการแต่งงาน ทว่าในใจก็อยากรู้เรื่องความสัมพันธ์ของพี่สาวกับเกาะดอกเหมย ไหนจะเรื่องความพิเศษของกำไลที่ชายหนุ่มยึดไป ทั้งนี้เป็นเพราะชินอ้ายเรียบเรียงความสำคัญของพวกมันไม่ถูก ภายในหัวพัวพันกันยุ่งเหยิง จึงไม่รู้ว่าควรจะถามเรื่องใดก่อนดี
“น้ำชา” เสียงนุ่มทุ้มของเขาดึงสติของชินอ้ายให้เงยหน้าขึ้นสบตาเขา
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” มือเล็กๆ เตรียมจะเอื้อมออกไปรับถ้วยชา ทว่าอีกฝ่ายกลับดึงมือหนีพร้อมกับกล่าวเสริมขึ้นมาอีก
“ระวังร้อน”
ผู้ฟังถึงกับกะพริบตาปริบๆ ถึงนางจะยังดูเป็นดรุณีอายุน้อยซึ่งยังไม่ถึงวัยปักปิ่น[2] หากก็คลุกคลีกับร้านน้ำชามาตั้งแต่เด็ก นางเข้าใจว่าท่านเจ้าเกาะหวังดีกับนาง แต่เรื่องนี้คงจะเป็นการดูถูกมากจนเกินไปกระมัง
“ท่านเจ้าเกาะอย่าได้กังวลเจ้าค่ะ ข้าเติบโตขึ้นมาในโรงน้ำชา”
เสียงของเด็กสาวส่งผลให้ท่านเจ้าเกาะยื่นถ้วยชาส่งให้กับนาง เสียงพึมพำแผ่วเบายิ่งนัก “ข้าลืมไป...”
กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาเหมยฮวาลอยขึ้นมาแตะจมูก นางรู้จักชาชนิดนี้แต่ก็ไม่เคยมีโอกาสได้ดื่มมาก่อน ชาเหมยฮวาเป็นการผสมผสานระหว่างชาอู่หลงอบผสมกับเกสรของดอกเหมย ความร้อนที่ส่งผ่านจากถ้วยชาสู่ปลายนิ้วช่วยให้จิตใจที่กังวลของนางสงบลง เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่ายังมิทันแนะนำตัวกับเผิงซือเยียนอย่างเป็นทางการ
“ท่านเจ้าเกาะเจ้าคะ ต้องขออภัยที่ก่อนหน้านี้ข้ามิได้แนะนำตัวกับท่าน ข้ามีนามว่าตู้ชินอ้ายเจ้าค่ะ”
“ตู้ชินอ้าย” หน้ากากสีดำซึ่งวาดด้วยลวดลายอักษรสีทองของเขาขยับเล็กน้อยตามจังหวะการพยักหน้าของเจ้าตัว ขณะที่เด็กสาวก้มหน้ามองถ้วยชาในมือแล้วยกขึ้นจิบคำหนึ่ง รสชาติของมันหอมละมุนลิ้นจนผู้ชิมยกยิ้มขึ้นมาที่มุมปาก หากนางขอชานี้ไปชงให้ม่อลี่ลองดูบ้าง...ท่านเจ้าเกาะจะให้หรือไม่กันนะ
นางเผลอคิดอย่างเพลิดเพลิน ความเกร็งและตื่นเต้นในทีแรกลดน้อยลง กระทั่งคำถามจากเจ้าของเสียงนุ่มทุ้มแทรกเข้ามา
“เจ้าอยากแต่งงานกับข้าหรือไม่”
ชินอ้ายเงยหน้าฉับพลัน แทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน “จะ...เจ้าคะ?”
นางเกือบจะทำชากระฉอกออกจากถ้วยเสียแล้ว ก่อนหน้านี้อุตส่าห์โอ้อวดกับเขาเสียดิบดีว่าเติบโตมาในโรงน้ำชา หากทำหกไปมีหวังน่าอับอายขายหน้าเป็นแน่
คำถามของเขามันไม่ถือว่าโหดร้ายไปหรอกหรือ? แม้นางตั้งใจมาถามความเห็นเรื่องการแต่งงาน แต่การที่จู่ๆ ต้องมาถูกบุรุษถามเช่นนี้ใส่มันช่างให้ความรู้สึกที่ประหลาดชอบกล โดยเฉพาะก้อนเนื้อในอกที่กระตุกวูบไปชั่วขณะหนึ่ง
“ท่านเจ้าเกาะ...พูดว่าอะไรนะเจ้าคะ”
‘ท่านเจ้าเกาะโปรดเมตตาอ้ายเอ๋อร์ด้วย ท่านอย่าได้ถามคำถามนี้อีกเลยนะเจ้าคะ’ นางร้องขอในใจ มือไม้ลนลานรีบวางถ้วยชาลงบนโต๊ะ ดวงตากรอกไปมาจนน่าขัน
“ข้าถามว่า...เจ้าอยากแต่งงานกับข้าหรือไม่” เผิงซือเยียนยังคงถามนางด้วยประโยคเดิม น้ำเสียงดูเหมือนจะเจือแววขบขันอยู่ในที
“ขะ...ข้า” ร่างเล็กอ้ำอึ้ง หากตอบว่า ‘ไม่อยาก’ ก็ไม่ต่างจากบอกว่ารังเกียจเขา แต่หากตอบว่า ‘อยาก’ จะไม่กลายเป็นสตรีน่าไม่อายหรอกหรือ ท่านเจ้าเกาะมีหน้ากากอำพรางใบหน้าจึงไม่อาจอ่านสีหน้าของเขาได้ ทว่าชินอ้ายก็อยู่ใกล้พอที่จะเห็นประกายหยอกเย้าในดวงตาสีเข้มคู่นั้น นางจึงได้รู้ว่าตนเองถูกกลั่นแกล้งเข้าให้แล้ว!
ดรุณีน้อยเม้มปาก ตัดสินใจว่าในเมื่อนางไม่อาจเลือกตอบเขาได้สักทาง จึงใช้ความเงียบเป็นคำตอบเสีย
ฝ่ายเผิงซือเยียนกลับยกมือขึ้นมาเท้าคางด้วยท่าทีไม่รีบร้อน ชุดสีดำขยับตามจังหวะราวกับผืนฟ้ายามรัตติกาล ส่วนดวงตาของเขากลับพร่างพรายราวกับมีดาวดวงนับพันดวงอยู่ในนั้น “หากเจ้าอยากแต่งงานกับข้า ก็ยั่วยวนข้าสิ”
ร่างเล็กแทบแข็งกลายเป็นเสาหิน นานเท่านานถึงได้หาเสียงของตนเองจนพบ “ยะ...ยั่วยวน?”
“ใช่...” ร่างสูงโปร่งเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง เสียงของเขาคล้ายมีมนต์สะกดบางอย่างที่ทำให้นางมิอาจทำสิ่งใดนอกจากรอฟังอยู่อย่างเดียว “เกลี้ยกล่อมให้ข้าอยากแต่งงานกับเจ้า”
หัวใจของเด็กสาวผู้ไร้เดียงสาพลันเต้นแรงขึ้นอย่างมิอาจควบคุม ใบหน้าน่ารักกลายเป็นสีขาวสลับแดง ลมหายใจถึงกับสะดุดหยุดไปชั่วครู่ เขากำลังคาดหวังจะให้นางเกลี้ยกล่อมเขา ให้นางยั่วยวนเขาเช่นนั้นหรือ!
ท่านเจ้าเกาะหาได้สนใจสีหน้าตกตะลึงของนางไม่ เมื่อเบือนสายตาไปยังบานหน้าต่างที่เปิดอยู่ก็พบว่าหิมะเริ่มโปรยปรายลงมาอีกครั้ง
“หากเจ้าทำได้ ข้าก็จะกลายเป็น ‘ว่าที่สามี’ ของเจ้า และงานแต่งงานจะจัดขึ้นในอีกสองเดือนข้างหน้า”
เสียงนุ่มทุ้มของเขาดังอย่างแผ่วเบาก่อนจะกลืนหายไปในความเงียบงัน ฤดูหนาวปีนี้ช่างแตกต่างจากปีก่อนๆ โดยสิ้นเชิง...
[1] หนิงจิ้ง (**) หมายถึง เงียบสงบ
[2] วัยปักปิ่น หมายถึง สตรีอายุ 15 ปีซึ่งจะผ่านพิธีการปักปิ่น (****) เพื่อแสดงออกว่าสตรีผู้นี้เป็นหญิงสาวเต็มตัวและสามารถแต่งงานออกเรือนได้