“ท่านซาง ชุดสีขาวตัวนี้ท่านใส่ซ้ำหรือว่ามีหลายตัว”
สาบานได้ว่าคำถามนี้นางถามด้วยความสงสัยใคร่รู้จริงๆ มิได้มีเจตนาจะเหน็บแนมหรือต่อว่าแต่อย่างใด
ทว่าซางฉือกลับไม่คิดเช่นนั้น...
“ตัวข้า...มีกลิ่นเหม็นหรือขอรับ” เขานิ่วหน้าด้วยความกังวล เรื่องความสะอาดถือเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับบ่าวไพร่
“ก็...” ม่อลี่อ้าปากพูดได้เพียงเท่านั้นก็ถูกร่างเล็กๆ ของชินอ้ายเดินมายืนบังอยู่ด้านหน้า ช่วงชิงบทสนทนาไปอย่างเป็นธรรมชาติ
“เสี่ยวลี่เพียงสงสัยเพราะเห็นชุดของท่านมีการตัดเย็บที่คล้ายคลึงกันเจ้าค่ะ ท่านซางอย่างได้กังวล ข้ายืนกรานได้เลยว่าท่านหาได้มีกลิ่นเหม็นติดตัวไม่” นางหันไปจับมือม่อลี่ ทวงท่าไม่รีบเร่งแต่ก็ไม่ช้าเสียจนเกินไป “ข้าขอยืมตัวม่อลี่เข้าไปช่วยหาใบชาสักครู่”
นางกล่าวจบก็โค้งกายพร้อมกับพาผู้เป็นสหายเข้าไปยังเรือนเก็บใบชา ครั้นอยู่ด้วยกันตามลำพังก็ลอบถอนหายใจออกมาเสียงแผ่ว “เสี่ยวลี่ เจ้าพูดเช่นนั้นถือเป็นการเสียมารยาท”
“ข้าเสียมารยาทตรงไหน ข้าเพียงแค่สงสัยจึงได้ถามออกไปตรงๆ ก็เท่านั้น”
“จะใส่ซ้ำหรือไม่ใส่ซ้ำ เจ้าก็ไม่ควรถาม หากผู้อื่นถามเจ้าเช่นนั้นบ้างเล่า เจ้าจะรู้สึกอย่างไร”
“ข้าก็จะบอกพวกเขาไปว่าข้าใส่ซ้ำ อากาศที่นี่เย็นจัด ตัวข้าไม่มีเหงื่อไคลไหลย้อยเลยสักหยด” ดรุณีน้อยวัยเดียวกันยอมรับด้วยสีหน้าเรียบเฉย ผู้ฟังอับจนปัญญา สุดท้ายจึงตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องเสีย
“เจ้ามาช่วยข้าหาใบชาเถิด” ชินอ้ายกวาดมองดูเรือนเล็ก การจัดเก็บใบชานั้นไม่แตกต่างจากการดูแลโอสถสมุนไพร ทว่ากลิ่นหอมของมันก็ทำให้ผู้ที่คลุกคลีอยู่กับมันมานานสามารถแยกแยะได้ไม่ยาก นางก้าวเดินอย่างไม่รีบร้อนจนกระทั่งมาถึงที่หมาย
“โบราณกล่าวว่าของสำคัญในชีวิตประจำวันของเรามีอยู่เจ็ดอย่าง” ดวงตาหวานที่ช้อนมองตู้ลิ้นชักเบื้องหน้า “...ไม้ ข้าว น้ำมัน เกลือ ซีอิ้ว น้ำส้ม และชา”
“เจ้าจะเตรียมชาเหมือนที่เตรียมให้ท่านลุงเมื่อปีที่แล้ว?” ม่อลี่ถามพลางหยิบกระปุกกล่าวออกมาจากตะกร้าแล้วยื่นให้เด็กสาว
“หากเป็นยามที่เราอยู่เมืองหลวง การดื่มชาโมลี่ฮวา[1] ถือเป็นเรื่องดี เนื่องด้วยอากาศที่เมืองหลวงจะค่อนข้างแห้ง สรรพคุณของชาโมลี่ฮวาทำให้ร่างกายอบอุ่นโดยไม่ก่อให้เกิดการร้อนใน” ชินอ้ายรับกระปุกลายครามมาถือไว้ในมือ ขณะที่ไล่นิ้วมือไปยังแผ่นไม้ซึ่งเขียนกำกับประเภทชาทั้งหลาย ปากก็เอื้อนเอ่ยอย่างมิขาดช่วง “แต่สำหรับเกาะดอกเหมย...แม้จะย่างเข้าสู่ตงเทียนแต่กลับมีความชื้นสูงเพราะอยู่ติดทะเล ดังนั้นเราควรจะเลือกชาผู่เอ๋อร์[2] แบบสุก มันสามารถช่วยขจัดความหนาวและรักษากระเพาะ ช่วงฤดูเหมันต์ผู้คนจะท้องไส้แปรปรวน ชานี้จึงเหมาะสมเพราะช่วยในเรื่องการย่อยอาหารด้วย”
สายตาของนางเห็นป้ายกำกับของชาผู่เอ๋อร์พอดี มือเล็กเปิดลิ้นชักออกเพื่อบรรจุใบชาใส่กระปุกแล้วส่งคืนให้ม่อลี่ สีหน้าเผยความชั่งใจออกมาจนสหายเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“เจ้ามีสิ่งใดอยากจะถามข้าหรือไม่”
“ข้า...” ชินอ้ายเม้มริมฝีปาก “เสี่ยวลี่ เจ้าเคยยั่วยวนผู้ใดบ้างหรือไม่”
“หะ...หา!” ตะกร้าสานแทบหลุดร่วงออกจากมือ ม่อลี่เบิกตากว้าง “ตู้ชินอ้าย! ข้าเป็นสหายเจ้ามาเก้าปี ข้าเคยยั่วยวนผู้อื่นหรือไม่ เจ้าน่าจะรู้ดีที่สุดมิใช่รึ!”
“นั่นสินะ...” นางพึมพำ สีหน้าหนักใจยิ่งขึ้นขณะที่แย่งตะกร้าสานมาถือเสียเอง
“เจ้า...อย่าบอกนะว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันกับท่านเจ้าเกาะ?” เด็กสาวคาดเดาได้บางส่วน แต่สิ่งที่นางคาดไม่ถึงคือคำพูดถัดมา
“ท่านเจ้าเกาะบอกให้ข้ายั่วยวนเขา”
“อะไรนะ!” ม่อลี่อ้าปากค้าง มิทันไรก็มีเสียงดังขัดจังหวะดังขึ้นที่ด้านนอก เป็นเสียงอันแสนสุภาพของซางฉือ
“แม่นางตู้ ท่านเจ้าเกาะ...”
ยามที่ม่อลี่ได้ยินคำว่า ‘ท่านเจ้าเกาะ’ สีหน้าของนางก็แปรเปลี่ยนเป็นดำคล้ำ สัญชาตญาณการปกป้องสหายพุ่งพล่าน หากนางรู้ว่าเผิงซือเยียนจะพูดกับชินอ้ายเช่นนี้ นางคงไม่ยอมปล่อยให้อีกฝ่ายเลยเถิดมาถึงขั้นเลือกเฟ้นชาให้ด้วยตนเอง!
บุรุษผู้นั้นเห็นตู้ชินอ้ายเป็นสตรีประเภทใดกัน! คิดจะให้สหายของนางทำเรื่องไร้ยางอายเช่นนั้น...ชักจะหยามเกียรติกันเกินไปแล้ว!
“ไม่ต้องมาท่านเจ้าเกาะแล้ว! ข้าจะพาชินอ้ายกลับเมืองหลวง” หลานสาวเถ้าแก่โรงน้ำชากล่าวอย่างเดือดดาลพร้อมกับคว้าแขนของชินอ้ายไว้ ครั้นเดินไปกระชากบานประตูให้เปิดออกก็ถึงกับผละเมื่อพบว่าผู้ที่ยืนรออยู่ด้านนอกเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน
ดวงตาใสกระจ่างที่เจือไปด้วยความตกใจของชินอ้ายสบดวงตาสีเข้มของร่างสูงโปร่ง แม้ใบหน้าของเขาจะมีหน้ากากสีดำสนิทอันแสนน่ากลัวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทว่านางกลับรู้สึกว่าสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่หลังหน้ากากดังกล่าวนั้นน่ากลัวยิ่งกว่า
นางรีบก้มหน้างุดมองเท้าราวกับเด็กน้อยทำผิดแล้วถูกผู้ใหญ่จับได้ มือข้างหนึ่งกำตะกร้าสานแน่นขึ้น นางไม่เคยสัมผัสท่านเจ้าเกาะในแง่มุมเช่นนี้มาก่อน...
เผิงซือเยียนยืนนิ่งไม่เอื้อนเอ่ยวาจา แต่กลิ่นอายที่แผ่ออกมาส่งผลให้ซางฉือผู้เป็นบ่าวรับใช้มานานยังใบหน้าซีดเซียวกว่าปกติ ถึงขั้นที่ม่อลี่ซึ่งมีท่าทีโมโหในคราแรกกลับทำตัวประหนึ่งว่าตนเป็นใบ้ เปลวเพลิงแห่งโทสะราวกับถูกพายุหิมะถล่มใส่ นางไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง
ความเงียบอันน่าอึดอัดดำเนินไปยาวนานเพียงใดก็มิอาจทราบได้ ชินอ้ายมองเห็นรองเท้าคู่ใหญ่ที่สาวเข้ามาใกล้จนแทบชนเข้ากับรองเท้าของตน ไออุ่นที่ช่วยปิดกั้นลมหนาวแห่งเหมันต์ฤดูโน้มกายลงมา ร่างเล็กเกร็งตัวทันทีเมื่อลมหายใจร้อนผ่าวโฉบลงมาที่ข้างใบหู
“มากับข้า” เสียงของเขายังคงนุ่มทุ้มไพเราะเช่นเคย หากสิ่งที่เพิ่มเติมขึ้นมาคือความเผด็จการซึ่งยากต่อการปฏิเสธ
ชินอ้ายไร้ทีท่าตอบสนอง สิ่งเดียวที่รับรู้คือก้อนเนื้อในอกที่ดิ่งวูบก่อนจะสั่นระรัวอย่างบ้าคลั่ง ความร้อนฉ่าลวกลามจากหน้าไปถึงใบหู คาดเดาว่าป่านนี้หูของนางคงแดงฉานเป็นสีเลือดไปแล้ว
ท่านเจ้าเกาะเห็นนางยืนนิ่งไม่ยอมขยับก็ถอนหายใจ มือใหญ่ขาวสะอาดยื่นออกมากุมมือเล็กก่อนจะออกตัวเดินทันทีโดยไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัว
ครั้นเจ้าของร่างในชุดสีรัตติกาลและสีแดงสดจากไปแล้ว หนึ่งเด็กสาวหนึ่งข้ารับใช้จึงค่อยหายใจได้ทั่วท้อง ม่อลี่กับซางฉือฟื้นคืนจากการเป็นอัมพาต หันมามองหน้ากันโดยมิได้นัดหมาย
“แม่นางม่อไม่ควรทำให้ท่านเจ้าเกาะโกรธ” ซางฉือส่ายหน้าอย่างหนักหน่วง
“มะ...มันไม่ใช่ความผิดของข้าเสียหน่อย” คู่สนทนาเถียงเสียงอ่อย เป็นความผิดของนางหรืออย่างไรที่เป็นห่วงเรื่องความสุขทั้งชีวิตของสหาย
“ข้าจะนำทางแม่นางม่อกลับเรือน” ท่านเจ้าเกาะเดิมทีคาดเดาอารมณ์ได้ยากเย็นอยู่แล้ว ครั้งนี้มิอาจล่วงรู้ได้เลยว่าแม่นางตู้จะต้องรับมือกับสิ่งใดบ้าง
ไอจากน้ำเดือดจับตัวเป็นละอองเกาะอยู่ที่ปากของปั้นชา ควันชาในถ้วยล่องลอยปะทะกับลมหนาว ส่งกลิ่นเข้มข้นของชาผู่เอ๋อร์ให้โชยไปในอากาศ
ว่ากันว่าชาผู่เอ๋อร์มีราคาแพงดั่งทองคำ ใช้เวลาหมักอย่างน้อยหนึ่งปี...ห้าปี...สิบปี...ยี่สิบปีจึงจะสามารถนำมาชงดื่มได้
หน้ากากของเผิงซือเยียนปิดบังตั้งแต่ส่วนของหน้าผากเรื่อยมาจนกระทั่งถึงคาง ทว่าประสาทสัมผัสของชายหนุ่มก็เฉียบคมยิ่งนัก
“เจ้าใส่น้ำผึ้ง?”
ร่างเล็กผู้นั่งเม้มริมฝีปากอยู่ฝั่งตรงกันข้ามพลันได้สติ อย่างน้อยน้ำเสียงของชายหนุ่มก็ไม่ได้น่ากลัวดังเช่นก่อนหน้านี้ “ใช่เจ้าค่ะ ชาผู่เอ๋อร์นี้ ข้าได้ใส่น้ำผึ้งเข้าไปด้วยเล็กน้อย”
“เหตุใดจึงเลือกน้ำผึ้ง”
“น้ำผึ้งขึ้นชื่อว่าเป็นยาอายุวัฒนะ สรรพคุณมีอยู่มากมายหลายประการ นอกจากจะช่วยให้ร่างกายสดชื่น บำรุงสมองแล้ว ยังช่วยผ่อนคลายความเหนื่อยล้าจากการทำงานหนัก ข้าเห็นว่าช่วงนี้หิมะตกหนักนัก การดื่มน้ำผึ้งสามารถช่วยต้านทานโรคและบรรเทาหวัดให้หายเร็วขึ้นได้เจ้าค่ะ”
“พอถามถึงเรื่องน้ำผึ้ง เจ้ากลับตอบได้อย่างคล่องแคล่ว” ชายหนุ่มหยิบถ้วยชาขึ้นมาหมุนอยู่ในระดับสายตา น้ำเสียงไม่เชิงตำหนิแต่กลับเจือด้วยคลื่นอารมณ์ที่ต่างออกไป “เหตุใดยามที่ข้าบอกให้เจ้ามากับข้า เจ้ากลับไม่พูดอะไรเลยสักคำ”
“คะ...คือ” ชินอ้ายอ้ำอึ้ง นางจะกล้าพูดออกไปได้อย่างไรว่าทั้งกลัวและประหม่ากับการที่เขาเข้าประชิดตัวเช่นนั้น สุดท้ายจึงเลือกตอบอ้อมแอ้ม “ข้าคิดว่าท่านกำลังไม่พอใจ”
เผิงซือเยียนวางถ้วยชาลงบนโต๊ะซึ่งคั่นกลางระหว่างทั้งสอง “ข้าย่อมไม่พอใจแน่”
ดรุณีน้อยได้ฟังเช่นนั้นก็เป็นห่วงม่อลี่ขึ้นมาจับใจ รีบผุดลุกขึ้นยืนพร้อมกับไปคุกเข่า ค้อมศีรษะลงต่ำจนใบหน้าแทบจะแนบลงบนพื้นเย็น “ท่านเจ้าเกาะ ข้ายินดีรับโทษแทนเสี่ยวลี่ ขอท่านโปรดอย่าได้ถือสาหรือเคืองโกรธนางเลย”
ชินอ้ายหลับตาแน่น ยากยิ่งนักที่จะควบคุมเสียงมิให้สั่น หากก็ต้องตะลึงงันเมื่อผู้ที่นางคุกเข่าให้กลับทรุดกายลงเบื้องหน้า พร้อมกับยื่นมือออกมาเชยคางมนให้เงยขึ้นสบตาเขาอย่างนุ่มนวล
“ในสายตาของเจ้า ข้าน่ากลัวถึงเพียงนั้นเชียวหรือ”
ดวงตาที่หลบซ่อนอยู่หลังหน้ากากสั่นไหว ผู้สบมองเองก็สั่นไหวไม่แพ้กัน
นางอยากปฏิเสธออกไปว่าไม่ใช่ แต่เพราะเหตุใดกัน...นางกลับมิอาจพูดมันออกมาได้อย่างเต็มปาก
แท้จริงเป็นเพราะลึกๆ แล้วนางก็ไม่มั่นใจในความรู้สึกดังกล่าว นางไม่รู้จักอีกฝ่ายดีพอ ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าเขาคิดเช่นไร การที่เขาบอกให้นางยั่วยวนเขาเป็นการล้อเล่นกับความรู้สึกหรืออยากกลั่นแกล้งนางกันแน่
เผิงซือเยียนมองความลังเลที่สะท้อนอยู่ในดวงตาคู่สวย มือเย็นที่เชยคางมนสั่นระริกเล็กน้อยขณะที่เขาถอนมือออก ยามนั้นเองที่ชินอ้ายเพิ่งรู้สึกใจหายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“ข้าผิดหรือที่อยากให้เจ้ากระตือรือร้นในการเข้าหาข้าบ้าง...แม้สักเล็กน้อยก็ยังดี” ความอ้างว้างของเขาดั่งเข็มแหลมที่ทิ่มแทงลงบนดวงใจของผู้ฟัง สัญชาตญาณร้องบอกว่านางไม่อาจปล่อยมือนี้ไปได้ นางไม่อาจยอมให้เผิงซือเยียนห่างไกลไปจากนางมากกว่าที่เป็นอยู่
ร่างสง่างามของท่านเจ้าเกาะเตรียมหยัดกายขึ้นยืน แต่แล้วก็ต้องชะงักงันเมื่อมือเล็กอันแสนอบอุ่นยืนออกมารั้งแขนของเขาเอาไว้
“ข้า...” ความอุ่นวาบที่เอ่อท้นขึ้นมาจากอก เพิ่มความกล้าให้อย่างมหาศาล กระทั่งนางเองยังตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ม่านตาของเผิงซือเยียนหดแคบลงแสดงให้เห็นว่ากำลังตกใจ ชั่วขณะนั้นเองที่ชินอ้ายตระหนักสิ่งที่ตนเองต้องการได้ในที่สุด
อยากรู้จักมากขึ้น อยากเรียนรู้และเข้าใจความรู้สึกของเขาให้มากขึ้น...
“ตะ...ตราบใดที่ท่านเจ้าเกาะยังยินดีและไม่รังเกียจ” นางเว้นจังหวะ แล้วใช้ลิ้นเลียริมฝีปากที่แห้งผากเพื่อผ่อนคลายความประหม่า แววตาใสกระจ่างจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่สวยโดยไม่หลบดังเช่นที่ผ่านมา “ข้าเองก็ปรารถนาจะเข้าใกล้ท่านให้มากกว่านี้เจ้าค่ะ”
[1] โมลี่ฮวา (***) หมายถึง ดอกมะลิ
[2] ชาผู่เอ๋อร์ (***) คือชาชนิดหมักในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เมื่อตากแห้งแล้วต่อมาจะนำเข้าสู่วิธีการบ่มโดยธรรมชาติ น้ำชามีสีดำ