เขาเป็นคนสำคัญ... ใช่ สำหรับวงการพฤกษศาสตร์ แต่ไม่ใช่สำหรับเพื่อนร่วมงานที่มองเขาเป็นเพียงคนนิสัยไม่ดี แข็งกระด้างและมนุษย์สัมพันธ์แย่เข้าขั้นติดลบ หากไม่มีธุระจำเป็น ก็ไม่มีใครอยากจะเอ่ยปากพูดคุยกับชายหนุ่มชาวไทยที่ทำหน้าไร้อารมณ์ตลอดเวลาอย่างเขานักหรอก
เจ้าอรุณเองก็รู้ดีว่าตัวเองถูกพูดถึงอย่างไร หากทว่าเขาไม่ใส่ใจ เขาไม่ได้อยากจะมีปฏิสัมพันธ์ใดๆ กับมนุษย์ด้วยกันเองมากนักด้วยเหตุผลว่าเขาเป็นคนขี้รำคาญ การทำงานในสังคมมนุษย์ไม่เหมาะกับเขา การทำงานกับสิ่งมีชีวิตจำพวกต้นไม้ใบหญ้าเป็นอะไรที่เขาสบายใจกว่าเยอะ
เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีคำสั่งใดๆ จากผู้อำนวยการหนุ่มอย่างโจเซ ก็จะไม่มีใครอาสาเข้ามาช่วยงานเขาแม้แต่คนเดียว
ครั้งนี้ก็เช่นกัน เมื่อโจเซเรียกตัวเขาไปอย่างเร่งด่วนหลังจากได้รับพืชพรรณไม้ชนิดใหม่จากทีมนักสำรวจที่เพิ่งเคลื่อนย้ายมาส่งให้เมื่อเช้าตรู่ของวันนี้
ชายหนุ่มผิวขาว รูปร่างสันทัดกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปตามโถงทางเดินในสถานที่ทำงานอันแสนคุ้นเคย มุ่งหน้าไปยังเรือนกระจกขนาดยักษ์ที่เอาไว้ใช้เพาะพันธุ์พืช ที่นี่มีเรือนกระจกขนาดใหญ่หลายแห่ง แต่เขากลับพุ่งเข้าไปในเรือนกระจกที่มีป้ายติดหราว่า ‘พืชพรรณที่อยู่ในระหว่างการศึกษา’ เพราะโจเซเน้นย้ำว่าพืชพรรณชนิดใหม่ที่เพิ่งได้มาเป็น ‘พืชพรรณไม้ประหลาด’ นั่นหมายความว่ามันเป็นพืชชนิดใหม่ที่เขาจะต้องทำหน้าที่ศึกษาต่อหลังจากนี้
เสียงฝีเท้ากระทบแผ่นกระเบื้องดังขึ้น เรียกสายตาของโจเซ ชายหนุ่มวัยสามสิบปลายๆ ที่กำลังก้มๆ เงยๆ สำรวจพรรณพืชตรงหน้าให้หันไปมอง พอเห็นว่าเป็นคนที่ตัวเองกำลังรอก็เอ่ยปากทักด้วยน้ำเสียงเริงรื่นเป็นภาษาโปรตุเกส
“มาไวทันใจดีนี่อรุณ”
เรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างชัดเจนอีกต่างหากทั้งที่ชื่อนั้นเป็นชื่อไทย เจ้าอรุณไม่ได้ใส่ใจนัก ชื่อเขาไม่ได้ออกเสียงยากสำหรับชาวต่างชาติ มันก็ไม่แปลกหรอกถ้าจะเรียกชัด เขาจึงทำเพียงสวนกลับด้วยภาษาเดียวกัน
“ก็ด็อกเตอร์บอกให้ผมรีบมา”
เขาเองก็เป็นชาวต่างชาติที่พูดภาษาโปรตุเกสได้ชัดเจนเลยทีเดียว หากหลับตาฟัง อาจจะเข้าใจว่าเจ้าของภาษามาเองก็เป็นได้
ทว่านั่นไม่ได้เป็นสิ่งที่ดึงดูดความสนใจจากโจเซนอกจากจะยิ้มรับคำพูดของหนุ่มรุ่นน้อง ยกมือขึ้นรวบผมสีน้ำตาลที่ยาวปะบ่าของตัวเองขึ้นเป็นหางม้าพลางว่า
“ก็ต้องรีบมาสิ มีอะไรดีๆ ให้ดูทั้งที ฉันเรียกนายมาดูเป็นคนแรกเลยนะ”
จะงานไหน โจเซก็เรียกหาเจ้าอรุณเป็นคนแรกทั้งนั้น
เจ้าอรุณไม่ได้เถียงอะไร เงียบไปครู่ก่อนออกปากถาม
“แล้วตกลงด็อกเตอร์จะให้ผมรีบมาดูอะไรครับ”
โจเซทำท่าเหมือนนึกขึ้นได้พลันกวักมือเรียก
“เรียกมาดูเจ้านี่ อย่างที่ฉันบอก ทีมนักสำรวจเพิ่งจะส่งมันมาที่นี่เมื่อเช้า ฉันก็เลยรีบโทรตามนาย”
พูดจบก็เบี่ยงตัวเล็อกน้อยให้อีกฝ่ายได้เห็น ‘เจ้านี่’ เต็มสองตา เจ้าอรุณมองเลยเข้าไปก็พบว่าตรงกลางของเรือนกระจกที่เคยว่างอยู่ บัดนี้มีวัตถุประหลาดลักษณะเป็นวงรีสูงกว่าตัวของโจเซตั้งตระหง่านอยู่ รอบข้างมีเหล็กแท่งมาคานเอาไว้รอบด้าน กันไม่ให้วัตถุนั้นกลิ้งล้มลงมา
เจ้าอรุณมองอย่างพินิจ มันดูคล้ายกับมีเถาวัลย์เถาใหญ่เลื้อยขึ้นเรียงกันจนก่อเป็นรูปร่างอย่างนี้ ซึ่งดูๆ ไปแล้วก็ไม่ได้ประหลาดอะไร ในป่าอเมซอนที่ได้ชื่อว่าเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งในโลกเป็นไปได้ที่จะมีพืชพรรณลักษณะแปลกๆ เกิดขึ้นไปทั่ว ทำให้เขาเอ่ยออกมาอย่างไม่ไว้หน้า
“มันประหลาดตรงไหนครับ ก็แค่เถาวัลย์ขึ้นรูปเป็นวงรี ผมว่ามันเหมือนไม้ตายซากมากกว่า”
นึกถึงน้ำเสียงตื่นเต้นของโจเซในตอนที่โทรมาปลุกเขาขณะพูดไปด้วย
คำพูดของเขาทำเอาโจเซมุ่ยหน้า ดันแว่นตากรอบหนาให้พอดีกับสันจมูกเบาๆ ประกอบการพูด
“ถ้ามันแค่นั้น ฉันคงไม่รีบโทรไปเรียกนายมาหรอก มันมีมากกว่าที่ตานายเห็นเยอะน่า”
คราวนี้เจ้าอรุณดันแว่นไร้กรอบให้รับกับสันจมูกบ้าง เป็นสัญญาณว่าเขาเตรียมตัวจะจับผิดหัวหน้างานอย่างเต็มที่
“งั้นมันมีอะไรล่ะครับ”
ถ้าไม่มีอะไรพิเศษอย่างที่พูดล่ะก็ รับรองว่าเจ้าอรุณคงพ่นคำพูดเสียดแทงออกมายาวเหยียด... โจเซมั่นใจว่าอย่างนั้นเพราะทุกครั้งที่เขาตื่นเต้นในสิ่งที่เจ้าอรุณคิดว่ามันไม่พิเศษ เขาก็มักจะโดนอีกฝ่ายค่อนแคะทุกที
ทว่าคราวนี้ไม่... เขามั่นใจว่ามันพิเศษแน่ ก็ก่อนหน้านี้เขาพิสูจน์มันมาด้วยตัวเองแล้ว
“คราวนี้นายจะต้องตะลึงแน่ เข้ามาใกล้ๆ สิ”
ว่าพลางกวักมือเรียก เจ้าอรุณเดินเข้าไปหาตามคำชักชวนก่อนหยุดยืนอยู่ตรงหน้าวัตถุทรงประหลาด
“นายสังเกตเห็นอะไรนอกจากไอ้เถาวัลย์ที่ก่อรูปเป็นวงรีตรงหน้าไหม”
แทนที่จะบอกตรงๆ ว่ามีอะไร โจเซกลับถามให้เจ้าอรุณสังเกต เจ้าอรุณไม่ได้ทักท้วง กวาดตามองอยู่ครู่ก็เห็นว่านอกจากวัตถุทรงรีนั่นแล้ว รอบๆ วัตถุนั้นยังมีเถาวัลย์เถาเล็กและใหญ่ห้อยระโยงระยางอยู่ภายนอก ความยาวของมันอยู่ที่ว่าเป็นเถาที่โตเต็มที่หรือเถาอ่อน นอกจากนั้นยังสังเกตเห็นว่ามีดอกไม้เล็กๆ สีแดงสดที่เป็นดอกตูมอยู่ตามเถาวัลย์เถาที่แก่จนเป็นสีน้ำตาลอีกด้วย
“มีเถาวัลย์งอกออกมากับมีดอก”