นักศึกษากำลังทยอยเดินออกจากห้องเรียนเพราะหมดเวลาสอนในยามเช้า รวมถึงดารันที่กำลังเดินปะปนรวมกลุ่มไปกับเพื่อนๆ
"ดารัน อาจารย์ขอคุยด้วยหน่อยสิ" จิรดาเอ่ยทักลูกศิษย์ที่กำลังจะเดินผ่านหน้าเธอไป
"ค่ะ" ตอบรับคำของจิรดาก่อนจะหันไปพยักพเยิดให้กลุ่มเพื่อนที่ยืนรอเพื่อไม่ให้ต้องรอนาน
เป็นประจำอยู่แล้วที่อาจารย์จิรดาจะเรียกดารันเพื่อพูดคุยเป็นการส่วนตัวหรือบางทีก็เรียกใช้
ดารันถืออุปกรณ์การเรียนการสอนของจิรดาเดินตามเข้าห้องพักอาจารย์เหมือนอย่างเคย ก่อนจะนั่งลงที่โซฟาข้างกัน
"ช่วงนี้มีปัญหาเรื่องการเงินหรือเปล่า"
ดารันทำท่านึกคิดอยู่เพียงครู่ก่อนจะตอบออกมา "ไม่ค่ะ ไม่มี"
"ไม่ต้องโกหกอาจารย์หรอก รันยังไม่ได้จ่ายค่าชุดเต้นไม่ใช่เหรอ"
"กำหนดจ่ายสิ้นเดือนนี่คะ ยังเหลืออีกตั้งสี่วัน รันมีค่ะ พี่สาวเตรียมไว้ให้แล้ว"
"ถ้าไม่ไหว รันไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมทุกกิจกรรมก็ได้นะ อาจารย์ว่ามันสิ้นเปลืองสำหรับรัน" พูดเพราะเธอค่อนข้างจะรู้สถานะทางการเงินของดารันดี จึงอยากจะแนะนำ
"รันอยากทำค่ะ และถ้ารันมีผลงานเยอะๆ ระหว่างที่เรียน ตอนที่หางานจะได้โดดเด่นกว่าใครๆ "
"อาจารย์ก็แค่อยากจะเตือน เพราะทางคนที่ให้ทุนอยากจะยกเลิกการสนับสนุนน่ะ"
"อะไรนะคะ ยกเลิกให้ทุนรันเหรอคะ" สาวน้อยตาโตทันที เธอเรียนที่นี่ได้ก็เพราะทุนการศึกษาจากผู้ใหญ่ใจดีช่วยสนับสนุนค่าเทอม แต่หากขาดคนๆ นั้น เธอและทางบ้านคงจะไม่มีปัญญาหาเงินมาเรียน
"ใช่ ข่าวแว่วมาน่ะ แต่ยังไม่คอนเฟิร์ม"
"อีกแค่ปีเดียวเอง" ดารันก้มหน้า พร้อมเปรยออกมาเบาๆ อีกแค่ปีเดียวเธอก็จะเรียนจบ แต่หากไร้ผู้บริจาค เธอคงจะต้องหยุดเรียนกลางครัน เพราะไม่อยากจะเพิ่มภาระให้พี่สาวแล้ว
"รันต้องลองไปแคสงานนะ ถ้าไม่อยากทำงานพาร์ทไทม์" เป็นเรื่องปกติที่นักศึกษาคณะนิเทศศาสตร์จะเริ่มเก็บเกี่ยวประสบการณ์ด้วยการตะเวนแคสติ้งงาน ได้ทั้งประสบการณ์และเงินค่าขนม แถมเผลอๆ อาจจะดังทั้งที่ยังเรียนไม่จบด้วยซ้ำ
"อาจารย์ว่ามันดีกว่าการร่วมกิจกรรมของมหาวิทยาลัย"
จิรดาเลื่อนมือไปแตะบ่าดารันด้วยความเห็นใจ พร้อมกับส่งลิสต์รายชื่อบริษัทต่างๆ ที่ดารันจะสามารถสมัครไปร่วมงานได้แบบที่คัดกรองมาแล้ว
"ขอบคุณค่ะ"
"แล้ว.."
'กริ้ง กริ้ง..' เสียงโทรศัพท์สายในดังขึ้น จำให้จิรดาต้องหยุดบทสนทนาอย่างที่ตั้งใจไว้ในทีแรก
"อาจารย์มีเรื่องพูดแค่นี้แหละ ถ้ามีปัญหาเรื่องเรียนก็มาปรึกษาอาจารย์ได้ตลอดนะ" พูดตัดบทแค่นั้นก่อนจะรีบลุกไปรับโทรศัพท์
ดารันผงกหัวรับอย่างเข้าใจและออกจากห้องไป ท่าทางแบบนั้นอาจารย์จิรดาคงอยากจะไล่และต้องการความเป็นส่วนตัว แต่ดารันเพียงยืนหยุดนิ่งอยู่หน้าห้องคนเป็นอาจารย์เท่านั้นพร้อมก้มมองกระดาษในมือ อยากจะบอกจิรดาเหลือเกินว่าตัวเธอไม่มีปัญหาเรื่องเรียนแม้แต่น้อย จะมีเพียงเรื่องเดียวที่กวนใจตลอดก็คือเรื่องเงิน หรือบางทีอาจจะลองยืมเงินคนเป็นอาจารย์ดู
หลังจากที่ดารันปิดประตูห้อง จิรดาก็คว้าหูโทรศัพท์ทันที
"สวัสดีค่ะ"
"ยัยน้อย! นี่แม่นะ ทำไมโทรไปหลายสายไม่รับ รู้มั้ยว่าฉันมีเรื่องสำคัญจะคุยกับแก" ปลายสายรัวพูดด้วยอารมณ์ไม่พอใจ
"น้อยสอนหนังสืออยู่ค่ะ แม่มีอะไรหรือเปล่า" น้อยคนที่จะโทรเข้าสายใน และเธอก็เดาได้ว่าคนๆ นั้น คือ ญานิศา แม่จอมบงการของตนเอง
"ฉันติดต่อพี่สาวแกไม่ได้มาหลายวันแล้ว แกรู้มั้ยว่ามันทำอะไรอยู่ บอกมันให้โทรหาฉันที" เพียงแค่ได้ยินแม่เอ่ยถึงพี่สาว จิรดาก็แอบลอบถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย
"นี่แกกล้าถอนหายใจใส่ฉันเหรอ หนอยๆๆ เดี๋ยวนี้ทำเป็นปีกกล้าขาแข็ง ตั้งแต่เป็นอาจารย์ คิดว่าตัวเองเก่งกว่าพี่สาวนักรึไง อย่ามาทำท่าทำทางแบบนี้ใส่ฉันนะ นึกถึงบุญคุณข้าวแดงแกงร้อนที่ฉันเลี้ยงดูแกมาจนโตบ้าง" แน่นอนว่าการถอนหายใจไม่เคยรอดพ้นการจ้องจับผิดของคนแม่
"แม่มีอะไรก็ว่ามาค่ะ เผื่อน้อยช่วยได้" จิรดาไม่อยากต่อความยาวกับคนแม่ที่จ้องจะทวงบุญคุณและเปรียบเทียบเธอกับพี่สาวตลอดเวลา
"ฉันถามถึงพี่แก"
"พี่ใหญ่คงทำงานยุ่งมั้งคะ ก็เป็นทนายคนดังคงไม่มีเวลามาสุงสิงกับคนในครอบครัว"
"จริงด้วยสิ งั้นแกนัดยัยคุณนิดมาเจอฉันหน่อยสิ" ก็ในเมื่อลูกสาวไม่ว่าง คนเป็นแม่ก็เลือกจะพบเจอกับลูกสะใภ้แทน
"รอบนี้อยากได้เท่าไหร่คะเดี๋ยวน้อยโอนให้ อย่าไปรบกวนคุณนิดเค้าเลย อายเค้าบ้างสิคะ เดี๋ยวเค้าจะหาว่าเราจ้องจะปอกลอกเงินเค้า"
"อย่างแกเนี่ยนะจะมีปัญญาหาเงินมาให้ฉัน เลี้ยงตัวให้รอดเถอะ เงินเดือนอาจารย์แค่นั้นน่ะ ส่วนฉันจะขอเงินลูกสะใภ้รึไม่มันก็เรื่องของฉัน คิดจะเอาลูกสาวฉันก็ต้องเลี้ยงดูแม่ผัวด้วยสิ"
"ค่ะ เดี๋ยวน้อยจัดการให้" การตอบปัดแบบนี้คงจะเป็นเรื่องที่ดีในตอนนี้
"เออ! ให้ไวด้วย เพราะถ้าแกไม่จัดการให้ฉัน ฉันจะโทรไปถึงอธิการบดีเลยคอยดู"
"ค่ะ น้อยรู้แล้ว" พูดแค่นั้นก่อนจะวางสายไป
พร้อมกับมือที่กำสนิททั้งสองข้างด้วยความเจ็บใจ
ตั้งแต่เล็กจนโตเธอถูกเปรียบเทียบกับญาณิณมาโดยตลอด และคนแม่ก็แสดงออกชัดเจนว่ารักพี่สาวมากกว่า
'โครม! ' กองเอกสารถูกเหวี่ยงวืดไปหน้าประตูอย่างโมโห เธอมักจะถูกคนแม่บังคับในทุกเรื่องและเรื่องหลักๆ ก็คือเรื่องของญาณิญ
และอีกครั้ง เอกสารถูกเหวี่ยงออกไปที่เก่าแต่คราวนี้ดันมีอย่างอื่นมารับไว้แทน
"โอ้ย.." ดารันร้องเสียงหลงนั่นเพราะถูกของแข็งกระทบที่ศีรษะ
"อุ้ย.." จิรดาก็ร้องออกมาเช่นกันด้วยเพราะความไม่ทันระวัง รีบเดินเข้าไปใกล้คนที่โดนลูกหลงทันที
"ทำไมไม่ระวังเลย เข้ามาแทนที่จะเคาะประตูก่อน"
"รันเคาะแล้วนะคะ" ดารันตอบออกมาอย่างน่าสงสาร
หน้าผากดารันเริ่มมีสีแดง และอีกไม่นานคงจะปูดบวม คนเป็นอาจารย์ก็ดูจะเป็นห่วงเป็นใย
"ไปนั่งก่อน อาจารย์ต้องดูแผลว่าเป็นยังไงบ้าง"
ดารันรับทราบและเดินไปนั่งตามคำบอกอย่างไม่อิดออด
ฟากจิรดาก็เดินไปหยิบโทรศัพท์ตนเองและตามมานั่งข้าง เปิดโปรแกรมยอดฮิตกูเกิ้ล หาทางรักษาหรือช่วยบรรเทาอาการเจ็บ
ดารันก็ชะเง้อมองตามไม่วางตา
"เลือดไม่ออก" คนเป็นอาจารย์เริ่มสำรวจรอยบวม
"เจ็บมากมั้ย"
"เจ็บค่ะ" สาวน้อยตอบไม่ตรงคำถาม
"คงต้องประคบเย็นไปก่อน 15-20 นาที และค่อยนวดเบาๆ ตรงที่ปวดจะช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือด"
พูดก่อนจะลุกไปเปิดตู้เย็น เทน้ำแข็งจากบล็อกลงบนผ้าและจัดการทำเป็นที่ประคบชั่วคราว
จิรดาช่วยวางลูกประคบไว้ที่จุดบวมบนหน้าผากของดารัน
"ต้องเปิดกูเกิ้ลช่วยด้วยเหรอคะ เรื่องแค่นี้ถามรันก็ได้ค่ะ" ได้ทีแซวคนเป็นอาจารย์
"อาจารย์ไม่ได้รู้ทุกเรื่องนี่นา" เธอบอกตามตรง
"เดี๋ยวรันทำเองก็ได้ค่ะ" พูดพลางเลื่อนมือไปจับลูกประคบ จิรดาจึงปล่อยออก และคอยเฝ้าดูอยู่ไม่ห่าง จนในที่สุดก็ครบสิบห้านาที แถมตอนนี้น้ำแข็งก็ละลายเกือบหมด
"บวมน้อยลง" คนเป็นอาจารย์ช่วยบอกอาการตอนนี้
"แต่เดี๋ยวช่วยนวดให้นะ" บอกก่อนจะยื่นมือไปที่หน้าผากและช่วยนวดคลึงอย่างเบามือ
ดารันที่นั่งนิ่งเริ่มทำตัวไม่ถูกก็เพราะใบหน้าของคนเป็นอาจารย์อยู่ใกล้แค่คืบ
"อื้อ.. ทำอะไรเนี่ย" เสียงนี้ออกจากปากจิรดา พร้อมกับผละออกจากการใกล้ชิด
"จูบค่ะ" ดารันตอบตามตรง เมื่อครู่อดใจไม่ไหวจริงๆ จนต้องประทับริมฝีปากไปที่จุดเดียวกัน ทั้งตอนนี้ ยังยื่นหน้าไปใกล้กว่าเก่า
"อย่าทำแบบนี้ เดี๋ยวใครเข้ามาเห็น" ได้ทีเอ่ยปรามพร้อมกับดันไหล่ดารันให้ห่างจากตัว
"เมื่อกี้รันล็อคห้องแล้วค่ะ"
"ในที่ทำงานไม่ได้ ไว้หลังเลิกงานค่อยนัดเจอกัน"
"ได้ค่ะ" ดารันจึงยอมผละออกแต่โดยดี
และจิรดาก็ยังคงช่วยนวดคลึงให้ต่อ แต่ก็ดูจะยากเย็นนักเพราะสาวน้อยตรงหน้าก็ขยันแกล้ง ด้วยการยื่นหน้าเข้ามาใกล้ตลอด เล่นเอาเสียสมาธิ
คะนึงนิจลุกออกจากเตียงที่ยับยู่ยี่ พร้อมกับคว้าเอาเสื้อคลุมมาสวมไว้ ก็ทั้งคืนเธอเปลือยเปล่าไร้อาภรณ์ แถมตอนนี้ร่างกายก็ไม่ค่อยจะน่าอวดโฉมเสียเท่าไหร่ เพราะรอยช้ำเป็นจ้ำจากเรื่องบนเตียงเมื่อคืน เธอก้มเก็บเสื้อผ้าของตนเองและของญาณิญที่เกลื่อนเต็มห้องอย่างหมดเรี่ยวแรง
"จะรีบไปไหนล่ะคะ" เสียงทักทายจากคนด้านหลังที่กำลังโอบกอดเธอไว้
"เราไม่ค่อยมีเวลาอยู่ด้วยกันเลยจะรีบลุกไปไหน" เมื่อพูดจบก็ก้มลงสูดความหอมจากซอกคอคะนึงนิจไม่หยุด จนคนถูกกระทำต้องเบี่ยงหนี
"หยุดและก็ปล่อย ฉันจะรีบไปรับลูก"
"ลูกอยู่กับแม่คุณ จะห่วงทำไม ท่านรับปากจะช่วยดูแล"
เมื่อได้ยินดังนั้นก็รีบดันตัวเองให้ออกห่างญาณิญทันที
"นี่คุณโกหกอะไรแม่ฉันอีก" พร้อมกับส่งเสียงหาเรื่อง
"ก็ไม่มีอะไร ฉันแค่บอกว่าคุณอยากใช้เวลาอยู่กับฉันสักอาทิตย์สองอาทิตย์"
"เลว! ตัวเองเลวยังไม่พอ ยังกล้าเอาชื่อฉันไปอ้างกับแม่ฉันอีก"
"ทำไมล่ะ ผัวเมียจะอยู่ด้วยกันไม่ได้รึไง ก่อนหน้าคุณก็เอาแต่อ้างลูกอ้างงาน ฉันเลยต้องใช้วิธีนี้ และวันนี้ก็ไม่ต้องไปทำงานนะ ฉันจัดการให้แล้ว"
หมดคำจะพูด คะนึงนิจจึงต้องเงียบ ปล่อยให้ญาณิญเดินเข้ามาใกล้และจับมือเธอไว้
"ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เราก็มาทำเรื่องแบบที่เคยๆ กันดีกว่าคุณนิด"
ได้ยินแบบนั้นคะนึงนิจก็สะบัดมือออกจากการเกาะกุมของคนตรงหน้าทันที
"ที่ฉันยอมเมื่อคืนเพราะไม่อยากจะทะเลาะ และจะถือว่าทำบุญ" พูดก่อนจะสะบัดหน้าหนีไปหยิบกระเป๋าเดินทางของตนออกจากตู้ ตั้งใจจะเก็บเสื้อผ้าไปพักที่อื่น เพื่อหนีญาณิญ
"หึ! ทำบุญเหรอ งั้นก็ถือซะว่าเป็นบุญใหญ่แล้วกัน"
ไม่ทันได้ตั้งตัวคะนึงนิจถูกดันตัวให้คว่ำหน้าติดพื้น
"ว้าย.. ฉันเจ็บนะ ปล่อย! " ได้แต่โวยวายเพราะขยับหนีไปไหนไม่ได้ เธอถูกกดจากทางด้านหลัง
"ฉันชักจะชินกับคำว่าเจ็บของคุณแล้วสิ" พูดแค่นั้นก็ถลกเสื้อคลุมของคะนึงนิจขึ้นจนเผยให้เห็นบั้นท้ายของคนที่เรือนร่างน่าหลงใหล แถมยังโลมเลียไปทั่วทั้งกาย
"ฉันเกลียดคุณ คุณมันน่าขยะแขยง สำส่อน"
คะนึงนิจรู้สึกได้ถึงลิ้นร้อนๆ ที่กำลังรุกรานตัวเธอจนต้องแสดงออกทางคำพูด เป็นสิ่งเดียวที่เธอพอจะสู้ได้ ณ ตอนนี้
"หยุด! หยุดพูด เพราะถ้าไม่หยุด ฉันเอาคุณตายแน่" คำขู่ที่ฟังดูน่าขนลุก คะนึงนิจหนีญาณิญไม่ได้ และคนอย่างญาณิญนั้นโหดเหี้ยมกว่าที่ใครๆ คิด
"ขอล่ะนะคุณใหญ่ ฉันเจ็บไปทั้งตัว ถ้าคุณอยากให้ฉันอยู่ ฉันก็ไม่ไปไหน แต่หยุดทำแบบนี้" วิธีพูดจาประนีประนอมอาจจะใช้ได้
แต่คงจะไม่เป็นผล
"สายไปแล้ว" ร่างของคะนึงนิจถูกทาบทับด้วยญาณิญ ไม่ต้องบอกก็คงพอเดาออกว่าจะเกิดเหตุการณ์ใดขึ้นต่อจากนี้ เสียงห้ามปรามกลายเป็นเสียงครวญครางดังระงมไปทั่วทั้งห้อง สุขกายแต่ทุกข์ใจ เพราะคะนึงนิจเองก็พยายามหักห้ามใจตัวเองมาตลอด เกลียดญาณิญแต่ก็ชอบเรื่องบนเตียงที่หล่อนยัดเยียดให้
ส่วนญาณิญที่พร้อมจะหักหาญน้ำใจคะนึงนิจอยู่เรื่อยไป ทั้งคำพูดและการกระทำ เธอที่ขาดหายการร่วมเตียงกับคะนึงนิจ เอาคืนหล่อนเต็มที่ แบบทบต้นทบดอก แบบที่คนหนึ่งต้องหยอดน้ำข้าวต้ม
เมื่อสองปีก่อน
คะนึงนิจเดือนเข้าโรงพยาบาลตามใบนัดหมายของแพทย์ วันนี้เธอมีนัดตรวจครรภ์ สัปดาห์ที่สิบสอง ท้องสองของคะนึงนิจไม่ใหญ่นัก จึงไม่เป็นที่สงสัยหรือน่าจับตามอง
"คุณแม่ต้องรับประทานอาหารเยอะกว่านี้นะครับ เพราะเด็กในท้องตัวเล็กมาก"
"ช่วงนี้ฉันกินไม่ลงน่ะค่ะ คุณหมอพอจะมีวิตามินหรืออาหารเสริมมั้ยคะ" เพราะความเครียดเรื่องงาน และรวมถึงเรื่องนี้ ทำให้เธอไม่อยากแม้แต่ขยับกายด้วยซ้ำ
"อาหารเสริมหรือวิตามินก็สู้ข้าวไม่ได้หรอกครับ อย่างน้อยคุณก็จะได้มีเรี่ยวแรง"
"เข้าใจแล้วค่ะ"
คะนึงนิจเดินออกจากห้องตรวจเพื่อมานั่งรอจ่ายเงินและรับยา ทันทีที่ได้ยินชื่อตัวเองก็ทำท่าจะลุกทันที แต่
"ไม่ต้องค่ะ เดี๋ยวฉันจัดการให้เอง" เสียงนี้จากปากญาณิญ ไม่ทันจะได้เอ่ยห้ามปราม ญาณิญก็จัดการทำทุกอย่างแทนเธอจนหมด
แถมคนเจ้าเล่ห์อย่างญาณิญยังแอบจดจำวันนัดหมายของครั้งต่อไปของคะนึงนิจอีก
"เอามา ฉันถือเองได้" ทันทีที่ญาณิญเดินย้อนกลับมา คะนึงนิจก็เอ่ยประโยคนี้ทันทีด้วยสีหน้าไม่พอใจนัก ก็ไม่อยากให้คนตรงหน้ามายุ่งวุ่นวาย
"คุณท้องอยู่นะ ให้ฉันช่วยเถอะ"
"ฉันแค่ท้อง ไม่ได้เป็นง่อย" บอกก่อนจะยื่นมือไปแย่งถุงยา แต่ญาณิญดันยกไปอีกทาง
"นี่! เอาของฉันมา"
"ฉันรู้ว่าคุณเก่ง ไม่ได้เป็นง่อย แต่ฉันอยากให้คุณเดินสบายๆ "
"ยุ่ง! เอาของฉันมา"
"คนมองใหญ่แล้ว คุณไม่อายเค้าเหรอ" รอบนี้ญาณิญจึงงัดไม้นี้มาอ้าง คะนึงนิจจึงยอมหยุดและหันหลังเดินหนีทันที
คะนึงนิจเจอหน้าญาณิญตั้งแต่เดินเข้ามาภายในโรงพยาบาล แต่ก็ทำเป็นไม่เห็น เหมือนหล่อนเป็นอากาศธาตุ ซึ่งญาณิญก็รับรู้ได้ แต่ก็ไม่กล้าเรียกร้อง คะนึงนิจให้เธอได้แค่นี้ เธอก็ยินยอมรับมัน เพราะความผิดที่เคยทำไว้ไม่น่าให้อภัย
ทั้งคู่เดินตรงมาถึงลานจอดรถ
"เลิกตามฉันได้แล้ว! ฉันไม่ใช่นักโทษนะ" คนท้องอารมณ์แปรปรวนทุกครั้งที่ได้เห็นหน้าญาณิญ จนต้องหันมาแว้ดใส่
"ฉันไม่ได้ตาม ฉันจอดรถไว้ข้างๆ รถคุณ" ญาณิณตอบหน้าตาย นั่นยิ่งทำให้คนฟังหงุดหงิดไปกันใหญ่ ยื่นมือไปแย่งถุงยา และรีบจ้ำอ้าวหนีทันที
"อ้าวคุณ! อย่าเดินเร็วสิ เดี๋ยวมีผลต่อเด็กในท้องนะ" ญาณิญเองก็ไม่หยุดยียวน แต่ไม่ได้เดินตามเหมือนทีแรก การทิ้งระยะห่างและไม่ตามติดอาจจะช่วยทำให้สุขภาพจิตของคนท้องดีขึ้น
ฟากคะนึงนิจเมื่อเห็นว่าญาณิญไม่ได้ตามเธอเหมือนทีแรกก็รู้สึกผิดหวังขึ้นมา
"ไหนว่าจะดูแลฉันไง ยัยบ้าขี้โกหก" ได้ทีบ่นกับตัวเอง ก่อนจะเริ่มลดระดับความเร็วในการเดิน ก็ตอนนี้ไม่ต้องแสร้งหนีใครแล้ว แต่สักพักใบหน้าเรียบเฉยของคะนึงนิจก็เริ่มมีรอยยิ้ม เธอรู้สึกถึงฝีเท้าใครบางคนที่ใกล้เข้ามา นั่นคงจะเป็นญาณิญ ได้แต่คิดโดยที่ไม่หันไปมอง แต่
"ว้าย! " คะนึงนิจส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ เพราะกระเป๋าที่สะพายถูกกระชากดึงจากทางด้านข้าง แถมตัวเธอดันล้มลงอีกเพราะแรงกระชาก
เธอถูกกระชากกระเป๋า แถมคนทำดันวิ่งหนีไปแบบแทบไม่เห็นฝุ่น
"ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย โจรกระชากกระเป๋า ช่วยด้วยค่ะ" คะนึงนิจทำได้เพียงตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ ทั้งที่ยังนั่งกองอยู่บนพื้นด้วยซ้ำ แต่ก็คงจะไร้ความหมาย เพราะบริเวณนั้นไม่มีใครผ่านมาเลย
ไม่นานนัก ก็มีเสียงเอะอะโวยวายมาจากที่ไกลๆ พร้อมกับคนสองสามคนและญาณิญที่ตรงมาทางเธอ และช่วยประคองเธอให้ลุกขึ้น
"คุณเจ็บตรงไหนมั้ย มันทำร้ายคุณรึเปล่า" ญาณิญถามไถ่ออกมาด้วยสีหน้าและแววตาเป็นห่วง
"ไม่ ฉันไม่เป็นไร" บอกพร้อมกับมองสำรวจที่ไหล่ของคนตรงหน้า ตอนนี้ญาณิญกำลังสะพายกระเป๋าของเธอที่ถูกกระชากไป
"จับส่งตำรวจเลยมั้ยครับคุณผู้หญิง" รปภ. คนหนึ่งถามขึ้น ขณะที่กำลังคุมตัวโจรแสบ
"ฉัน.." คะนึงนิจพูดออกมาได้เพียงเท่านี้ก็ถูกแทรก
"แน่นอน! ฉันจะเอาเรื่องแกให้ถึงที่สุด ที่กล้ามากระชากกระเป๋าแล้วแถมยังทำให้เมียฉันระคายผิว" ท่าทางญาณิญดูจะเป็นเดือดเป็นร้อนแทนคะนึงนิจหลายเท่า แถมยังไม่ปล่อยมือจากการประคองกอดเธออีก
ทั้งคู่ไม่ได้กลับบ้านไปพักผ่อนเหมือนทีแรกที่ตั้งใจ คะนึงนิจต้องกลับมาตรวจร่างกายซ้ำอีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าเหตุการณ์เมื่อครู่จะไม่มีผลกระทบต่อเด็กในท้อง
ส่วนญาณิญก็ทำหน้าที่ทนายพร้อมกับหน้าที่พ่อของลูกอย่างเต็มที่
"ฉันจะฟ้องร้องโรงพยาบาล เรื่องระบบรักษาความปลอดภัย เรียกร้องค่าเสียหาย เอาเรื่องให้ถึงที่สุด"
"ผมยินดีรับผิดชอบ และชดเชยเงินให้คุณเต็มที่ แต่อย่าถึงขึ้นฟ้องร้องเลยนะครับ" เขาเอ่ยร้องขออย่างน่าสงสาร
"เรื่องนี้ทุกคนต้องรู้ว่าโรงพยาบาลชื่อดังขนาดนี้ทำงานหละหลวม ฉันเป็นผู้รักษากฎหมายฉันยอมไม่ได้ที่จะเห็นว่าโรงพยาบาลที่เก็บค่ารักษาแพงหูฉี่จะละเลยความสำคัญของความปลอดภัยของลูกค้า"
"โธ่! คุณทนาย ผมยอมจ่ายไม่อั้น คุณอย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่เลยนะครับ ผมจะเปลี่ยนบริษัทรักษาความปลอดภัยยกทีม ให้สิทธิรักษาพยาบาลคุณคะนึงนิจแบบซุปเปอร์วิไอพี ฟรีค่าฝากครรภ์ตั้งแต่ตอนนี้ไปถึงจนคลอด"
"ต้องคืนค่ารักษาตั้งแต่เริ่มฝากครรภ์ และหลังจากที่ลูกฉันลืมตาดูโลก คุณต้องดูแลค่ารักษาพยาบาลของคุณคะนึงนิจและลูกฉันแบบไม่มีเงื่อนไขเป็นเวลาสามปี"
"ห๊ะ! " เขาดูจะตกใจกับคำร้องขอนี้ ก็ค่ารักษาพยาบาลเด็กอ่อนแต่ละครั้งไม่ใช่ถูกๆ นั่นเท่ากับว่าโรงพบาลบาลขาดรายได้หลักล้าน
"ถ้าทำไม่ได้ก็เจอกันที่ศาล เพราะมันเทียบไม่ได้เลย หากคุณคะนึงนิจหรือลูกฉันเกิดเป็นอันตรายถึงชีวิตขึ้นมา"
"ด ด ได้ครับ ทางเรายินดีรับผิดชอบ" กัดฟันตอบรับออกมาอย่างหมดทางเลือก
"ก็ดี ฉันจะร่างสัญญาและส่งมาให้คุณอ่านพรุ่งนี้"
"ครับ"
"และจำไว้เลย ถ้าหากเมียกับลูกฉันเป็นอะไรขึ้นมา ฉันจะถล่มโรงพยาบาลคุณให้ยับ"
พูดแค่นั้นก็เดินออกจากห้องมาด้วยอารมณ์ที่พร้อมจะบวกเต็มที่ นี่แหละ ญาณิญ พร้อมสู้พร้อมชน ยิ่งหากฝ่ายตนเองไม่ผิด เธอก็หัวชนฝา ไม่งั้นคงจะไม่ได้ฉายา ทนายสายบู๊ มาครอบครอง
"คุณยืนอยู่ตรงนี้นานแล้วเหรอ" หน้าห้องผู้อำนวยการ มีคะนึงนิจที่ยืนอยู่ แน่นอนว่าสิ่งที่ญาณิญพูดกับคนด้านใน เธอได้ยินชัดเต็มสองรูหู เพราะเสียงแว่วดังออกมาด้านนอก
"ใช่"
"แล้วคุณเป็นยังไงบ้าง ลูกเรายังดีอยู่ใช่มั้ย" ถือโอกาสแตะเนื้อต้องตัวคะนึงนิจด้วยเพราะปกติเป็นคนมือไวอยู่แล้ว
แต่ครั้งนี้คะนึงนิจไม่ได้ขัดขืน "อืม"
"เห้อ..โล่งอก" บอกออกมาพร้อมกับยิ้มกว้าง มันทำให้คะนึงนิจยิ่งหมั่นไส้
"ปล่อยแขนฉันได้แล้ว"
"อุ้ย! ขอโทษ ฉันเป็นห่วงคุณน่ะ" พูดพลางลดมือลง ไปเกาต้นคอตนเองอย่างแก้เก้อ
"แล้วเมื่อกี้.." แม้จะได้ยินชัด แต่ก็อยากฟังจากปากของญาณิญที่เป็นเดือนเป็นร้อนแทนเธอ
"เราไปคุยกันที่อื่นเถอะ"
คะนึงนิจจึงเดินนำญาณิญไปโดยไม่รอ แต่ใบหน้าที่เรียบเฉยมาตลอดกลับเผลออมยิ้มออกมา ก็เพราะญาณิญดูจะห่วงใยและจัดการเป็นธุระให้เธอได้ทุกอย่าง โดยไม่ต้องร้องขอ
หลังจากนั้น ญาณิญเป็นฝ่ายไปรับไปส่งคะนึงนิจทุกครั้งที่ต้องมาตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล แต่เธอก็ทำได้แค่เฝ้าดูอยู่ห่างๆ เพราะคะนึงนิจไม่ยอมให้เธอได้เห็นหรือแม้แต่ได้ฟังเรื่องของลูกในท้อง
รถหรูจอดสนิทอยู่หน้ารั้วบ้านของคะนึงนิจ เวลานี้ฟ้ามืดแล้ว
"ขอบคุณ" เอ่ยบอกแค่นั้นก่อนจะเลื่อนมือไปเปิดประตูรถ
"เดี๋ยวค่ะ ฉันขอเข้าไปดื่มกาแฟสักแก้วได้มั้ย" นี่เป็นคำขอครั้งแรกหลังจากที่คอยมาเทียวรับเทียวส่งคะนึงนิจ
"คือฉันรู้สึกง่วง กลัวจะเผลอหลับกว่าจะถึงบ้าน" พูดพลางหาววอดออกมา
"ถ้าลำบากนัก คราวหลังก็ไม่ต้องมารับ" บอกออกมาแค่นั้นก็เปิดประตูลงจากรถไป
ผิดคาด คะนึงนิจไม่เห็นใจแถมยังไล่ส่งเธออีก
"เดี๋ยวๆ " ญาณิญรีบตามลงไปทันที
"ไม่มีคนอยู่ ให้ฉันอยู่เป็นเพื่อนเถอะค่ะ" ในที่สุดก็ต้องพูดความจริงออกมา
ภายในบ้านมืดสนิท แถมวันนี้แม่ของคะนึงนิจไปปฏิบัติธรรม เหล่าคนรับใช้ก็กลับกันหมด
"ฉันไม่อยากอยู่กับคุณลำพังสองต่อสอง ไม่ไว้ใจ" ตอบออกมาเสียงแข็ง รู้สึกไม่ชอบใจที่ญาณิญเหมือนจะรู้เรื่องส่วนตัวของเธอและของคนในครอบครัวไปเสียหมด
"โธ่คุณ ฉันไม่ทำอะไรคุณหรอก หรือถ้าคุณยังไม่ไว้ใจ ฉันอยู่แปบเดียวก็ได้ไม่ค้างหรอก"
"ไม่! "
"ที่ฉันไปรับไปส่งคุณตลอด ไม่ไว้ใจฉันเลยเหรอ แล้วอีกอย่างนึง ฉันไม่มีอารมณ์กับคนท้องหรอกน่า"
"นี่! ฉันไม่ได้คิดเรื่องนั้น"
"ก็หน้าตาคุณมันฟ้อง ว่าคุณกำลังกล่าวหาว่าฉันอยากจะล่วงเกินคุณ"
"ให้ฉันเข้าไปเถอะ อยากน้อยก็ให้ฉันเข้าไปช่วยเปิดไฟ"
ไฟทุกดวงในบ้านสว่างไสวด้วยฝีมือญาณิญที่คอยช่วยบริการคะนึงนิจไม่ห่วง
"ฉันไม่ได้เป็นง่อย ไม่ต้องทำแบบนี้" ก็ท่าทางเดินตามล้อมหน้าล้อมหลังช่างน่าหงุดหงิด
"งั้นฉันนั่งตรงนี้ จะคอยจับตาดูคุณ" ญาณิญเดินไปนั่งลงบนโซฟาตัวยาว
"ไม่ต้องมาจับตาดูฉัน ฉันให้คุณเข้ามาเปิดไฟแล้ว กลับไปสิ"
"กาแฟล่ะ ฉันยังไม่ได้กินเลย จะกลับได้ไง"
คะนึงนิจถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ "งั้นรออยู่นี่! กินแล้วก็กลับไปตามที่พูดไว้ด้วย"
เจ้าของบ้านเดินเข้าห้องครัว เพียงอยากจะไล่ญาณิญให้กลับไป จึงยอมทำตามคำขอแบบไม่เต็มใจนัก
เครื่องกาแฟถูกเปิด ตามด้วยเสียงบดกาแฟ จึงไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนที่เข้ามาใกล้ และหยุดยืนอยู่ด้านหลัง
และเพราะความใกล้ชิดจึงทำให้คะนึงนิจรู้สึก หมุนตัวหันกลับมาทางญาณิญทันที
"ปล่อยนะ! จะทำอะไร" พร้อมทั้งดันไหล่คนฉวยโอกาสให้ห่างไกลตัว แต่ก็ยากเย็นเพราะดันถูกดึงรั้งร่างกายไว้ไม่ให้ขยับหนี
ใบหน้าญาณิญอยู่ใกล้แค่คืบ "รู้มั้ยว่าฉันต้องอดกลั้นมากแค่ไหนเวลาที่อยู่ใกล้คุณ"
"นี่! ไหนบอกว่าจะไม่ทำอะไรฉัน"
"ฉันไม่ทำถ้าคุณไม่ยอม"
"ฉันไม่ยอม! " คะนึงนิจสวนทันควัน
ญาณิญจึงส่งเสียงหัวเราะผ่านลำคอออกมาน้อยๆ
"คุณยังไม่ได้คิดเลยนะ อย่าเพิ่งรีบตัดสินใจสิคุณนิด" บอกออกมาอย่างต้องการจะยียวน
"ฉันเกลียดคุณ ฉันชัดเจนแบบนี้มาตลอด ทำไมถึงดูไม่ออก"
"โอ้ย! เจ็บจัง" ญาณิญดูจะไม่สะทกสะท้านแถมยังแสร้งทำหน้าทำตาเจ็บปวด
"ฉันพูดจริง ไม่ได้พูดเล่น เลิกทำบ้าๆ แบบนี้สักที"
"ฉันก็พูดจริง และคุณน่าจะดูออกว่าฉันจริงจังและจริงใจกับคุณ"
คนฟังเบี่ยงหน้าหนีทันที "คุณไม่ได้จริงใจกับฉันตั้งแต่แรก ใช้วิธีสกปรกกับฉัน จนฉันต้องยอม"
"ฉันขอโทษค่ะ แต่เราเริ่มต้นกันใหม่ไม่ได้เหรอ ฉันเปลี่ยนตัวเองเพื่อคุณได้ ขอแค่คุณยอมเปิดใจให้ฉันบ้าง"
'ฟิ้ววววว'
"ว้าย! "
"คุณนิด! "
เสียงน้ำเดือดและไอน้ำที่พวยพุ่งจากเครื่องทำกาแฟกำลังร้องดัง แถมยังสร้างความตกใจให้คะนึงนิจ
ญาณิญต้องดึงร่างเจ้าของบ้านให้ออกห่างจากเครื่องกาแฟเจ้าปัญหา
"คุณเป็นอะไรหรือเปล่า โดนไอน้ำมั้ย" ถามไถ่ออกมาอย่างร้อนรน จนบางทีก็ดูห่วงใยเกินจริง
"ไม่ ฉันไม่เป็นไร" ปฏิเสธเสียงแข็ง แต่เมื่อกี้เสียงนั่นทำให้เธอตกใจ แถมการใกล้ชิดของญาณิญก็ทำให้เธอใจเต้นแรง เรียกว่าเผลอทีไร ญาณิญก็พร้อมจะเข้ามาโอบ มากอดเธอตลอด
"แต่หน้าคุณมีรอยแดง" รอบนี้คะนึงนิจเริ่มจะเก็บอาการเป็นห่วงคนตรงหน้าไม่อยู่
ญาณิญย้ายจากในครัวกลับมานั่งที่โซฟา พร้อมกับที่ประคบ โดยมีคะนึงนิจนั่งอยู่ข้างๆ
"แค่นี้เอง สบายมาก" แถมยังพูดจาอวยตัวเอง
"ที่แขนก็มีรอยแดง"
"งั้นก็ประคบสองที่" คนเจ็บสลับจากที่แก้มและแขนไปมาด้วยท่าทางสบายๆ
"ยังอยากกินกาแฟอยู่มั้ย" อยู่ๆ ก็รู้สึกผิดขึ้นมาจึงถามออกไปแบบนั้น
"เครื่องกาแฟทำฉันเจ็บตัวแบบนี้คงกินไม่ลง แต่คุณไม่ได้เจ็บตรงไหนแน่นะ"
"อืม"
ความเงียบเข้ามาปกคลุม พร้อมกับสายตาหวานเชื่อมของญาณิญที่ส่งไปหาคะนึงนิจไม่ขาด มันทำให้ใบหน้าคะนึงนิจร้อนผ่าว เริ่มทำตัวไม่ถูก
"ฉันว่าคุณกลับบ้านเถอะ"
"ทำไมล่ะ" ถามออกมาออกมาด้วยเสียงหวาน ก่อนจะวางที่ประคบลงข้างกาย ตอนนี้คงไม่ต้องใช้
"คุณจะไล่ฉันแล้วเหรอ" พูดพลางขยับตัวเข้าไปใกล้เรื่อยๆ โดยที่คะนึงนิจก็ไม่ได้ถอยหนี
"ฉันอยากพักผ่อน"
มือของญาณิญเริ่มไม่เป็นสุข เธอยกขึ้นสัมผัสคลอเคลียอยู่ที่น่องขาของคะนึงนิจอย่างเบามือ
"นี่! ฉันบอกแล้วไงว่า.."
"ชู่ว.. อย่าเพิ่งห้าม" พูดจบก็จู่โจมดึงต้นคอของคะนึงนิจเข้ามาใกล้และบดจูบทันที
"อ อื้อ.." พร้อมทั้งนิ้วซนๆ ที่เลื่อนเข้าไปใต้กระโปรง จงใจลูบไล้ที่แพนตี้ตัวน้อย ยิ่งสร้างอารมณ์ไหวหวามให้เจ้าของร่าง จนต้องยกมือขึ้นมาคล้องคอญาณิญ และตอบสนองรสจูบของคนตรงหน้าบ้าง แต่ก็ไม่มีสมาธินักเพราะกึ่งกลางกายกำลังถูกจู่โจม จนต้องพยายามผละออกรสจูบนี้ เพราะต้องการจะส่งเสียงเพื่อปลดปล่อยความกระสันออกมา
"คุณยอมหรือเปล่า"
คะนึงนิจใบหน้าแดงกร่ำกับทั้งการรุกเร้าใต้กระโปรงและคำถามที่กระซิบข้างหู
และเธอก็ตอบกลับด้วยการพยักหน้าเท่านั้น นั่นแสดงว่าคะนึงนิจสมยอม