ตอนที่ 1 องศาที่ต่างกัน
ตอนที่ 1 องศาที่ต่างกัน
บางเวลาไม่เคยจะคิด......ว่าชีวิตนี้จะพบกับเธอ
เป็นสิ่งดีๆที่ได้มาเจอกับความหมาย
คน คนหนึ่งได้พาชีวิตให้ข้ามเวลาที่หามานาน
และนั่นคือเธอคือความต้องการของหัวใจ..
ต่างกันเพียงองศาที่เราอยู่ อาจจะดูว่าเราห่างกัน
แต่ว่าคนบนฟ้า ก็พาให้เรามาเจอกัน
และทำให้ฉัน...ได้พบกับวันสวยงาม..
(เพลงองศาที่ต่างกัน ศิลปิน อัศวินม้าไม้)
เสียงบรรเลงเปียโนอันไพเราะกำลังดังกังวานไปทั่วห้องสี่เหลี่ยมขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ของโรงเรียนสอนดนตรีเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร มันอาจจะดังไปถึงด้านนอกหากว่าห้องนี้ไม่ใช่ห้องเก็บเสียงชั้นดี เด็กน้อยตั้งแต่อายุหกขวบถึงสิบสองขวบราว 8 คน ตั้งใจ ฟังเสียงบรรเลงราวกับต้องมนต์สะกด สายตาของเด็กๆจับจ้องไปที่คุณครูสาวแสนสวยผู้ที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้สีขาวและกรีดกรายนิ้วเรียวลงบนคีย์บอร์ดของเปียโนหลังใหญ่อย่างไม่กระพริบตา หญิงสาวออกแรงเบาๆเพื่อกดนิ้วลงตามตำแหน่งของตัวโน็ตต่างๆส่งผลให้เกิดเป็นถ่วงทำนองของบทเพลงสุดคลาสสิก
“เด็กๆ ร้องพร้อมกันนะคะ หนึ่ง..สอง..สาม..” เสียงหวานเอ่ยขึ้น จากนั้นเด็กๆของเธอก็ประสานเนื้อร้องขึ้นพร้อมกันอย่างว่าง่าย
Doe, a deer, a female deer.
Ray, a drop of golden sun.
Me, a name I call myself.
Far, a long long way to run.
Sew, a needle pulling thread.
La, a note to follow sew.
Tea, a drink with jam and bread
That will bring us back to 'Do'
“เก่งมากค่ะเด็กๆ ปรบมือให้ตัวเองหน่อยเร็ว” คุณครูสาวฉีกยิ้มหวานให้กับลูกศิษย์ตัวน้อยเมื่อการบรรเลงเพลงนั้นจบลง ซึ่งลูกศิษย์เองก็ทำตามอย่างว่าง่าย ไม่ดื้อไม่ซนสักนิด
“วันนี้เราจะมาเล่นเปียโนเพลงนี้กัน ไหนใครอยากเล่นเพลงนี้ได้ ยกมือให้ครูดูหน่อยได้ไหมเอ่ย”
“หนูค่ะ/ผมครับ” เด็กน้อยทั้งแปดคนต่างตอบเป็นเสียงเดียว
อาจเป็นเพราะนี่คือคอร์สเรียนพิเศษซึ่งค่าเล่าเรียนแต่ละชั่วโมงก็แพงหูฉี่ จึงทำให้ในชั่วโมงเรียนมีเด็กนักเรียนไม่มากเท่าไรนักส่วนใหญ่แล้วก็เป็นบุตรหลานของคนที่มีฐานะทางสังคมค่อนข้างสูง การสอนพิเศษยามเย็นของคุณครูแสนสวยดำเนินไปเรื่อยๆจนผ่านไปราวสองชั่วโมงพร้อมๆกันกับที่ท้องฟ้าด้านนอกเริ่มมืดสนิท เมื่อหญิงสาวมองผ่านกระจกใสออกไปด้านนอกก็พอรู้ว่าผู้ปกครองของเด็กๆมารอรับบุตรหลานของตนกลับบ้านแล้ว
“เอาล่ะจ้ะ คุณครูให้เวลาไปซ้อมเพลงนี้มาหนึ่งอาทิตย์นะจ๊ะคนเก่ง แล้วเดี๋ยวอาทิตย์หน้าเรามาสอบกัน วันนี้กลับบ้านได้ค่ะ”
คุณครูสาวทยอยส่งเด็กๆให้ถึงมือผู้ปกครองที่มารอรับ กระทั่งเหลือเด็กหญิงอีกหนึ่งคนที่จนบัดนี้ก็เป็นเวลาเลยมากว่าหนึ่งชั่วโมงแล้วแต่ก็ยังไม่เห็นมีวี่แววผู้ปกครองของเด็กหญิงสักที ปกติเด็กหญิงจันทร์เจ้าจะมีคนขับรถของที่บ้านมารับมาส่งเธอเป็นประจำทุกวันแต่วันนี้รู้สึกจะผิดเวลาไปมากโข เด็กหญิงเริ่มน้ำตาคลอจนครองขวัญสังเกตเห็นว่าดูท่าทางจะไม่ค่อยดีเสียแล้ว
ครืดๆ!!
เสียงโทรศัพท์มือถือคู่ใจสั่นครูดจนอุ้งมือนุ่มนิ่มนั่นสะดุ้งโหยง หญิงสาวก้มดูเบอร์ที่โชว์หราอยู่หน้าจอ แม้ว่าจะเป็นเบอร์ที่ไม่คุ้นเคยแต่ก็กดรับโดยพลัน
“คริสมาตส์พูดค่ะ”
“สวัสดีค่ะคุณครูคริสต์มาส ดิฉันชื่อเอื้องเป็นแม่นมของคุณหนูจันทร์เจ้านะคะ ตอนนี้นายท่านติดประชุมด่วน และคนขับรถก็เพิ่งลาไปงานศพของมารดา เกรงว่าจะต้องรบกวนคุณครูให้มาส่งคุณหนูหน่อยได้มั๊ยคะ เพราะว่าตัวดิฉันเองก็ขับรถไม่เป็นเสียด้วย ไอ้ครั้นจะให้นั่งแท็กซี่ไปรับ คนแก่อย่างดิฉันก็คงนั่งไม่ไหวแล้วล่ะค่ะ”
เสียงแหบพร่าของแม่นมบอกได้ชัดว่าหล่อนคงกำลังไม่สบาย
“ได้สิคะ ไม่มีปัญหาเลยค่ะ คุณนมเอื้องไม่ต้องเป็นห่วงน้องจันทร์เจ้านะคะ รับรองว่าคริสต์จะไปส่งให้ถึงบ้านเลยค่ะ” ครองขวัญยิ้มรับอย่างเต็มใจ พร้อมปรายตามองลูกศิษย์ตัวน้อยที่น้ำตากำลังไหลลงมาอาบข้างสองแก้มป่อง
“ขอบคุณ คุณครูมากนะคะ ดิฉันขอบคุณมากจริงๆ”
“ไม่เป็นไรจริงๆค่ะ คุณนมเอื้อง ว่าแต่บ้านอยู่แถวไหนคะ คริสต์จะได้ไปถูก” อันที่จริงครองขวัญก็พอทราบว่าเด็กหญิงจันทร์เจ้านั้นบิดาและมารดาแยกทางกัน ตอนนี้เด็กหญิงมีเพียงบิดาที่เป็นถึงนายทหารใหญ่และแม่นมเท่านั้นที่คอยดูแล
“อยู่แถวสาทรซอย…ค่ะ”
“โอเคค่ะ ถ้ายังไงเดี๋ยวคริสต์จะโทร.หาอีกครั้งนะคะ”
“จันทร์เจ้า ไม่เป็นไรนะคะเดี๋ยวครูจะไปส่งหนูที่บ้านเองนะ ” หลังจากวางสายจากแม่นมเอื้อง มือบางก็เอื้อมไปสัมผัสกับศรีษะเล็กๆอย่างแผ่วเบาเพื่อปลอบประโลมให้เด็กหญิงรู้สึกอุ่นใจ เด็กน้อยหันมากอดร่างบอบบางของคุณครูสาวไว้แน่น
ครองขวัญ กฤติญดา หญิงสาววัยยี่สิบสี่ปีที่รักดนตรีเป็นชีวิตจิตใจ เธอมีมารดาเป็นนักเปียโนซึ่งคอยปลูกฟังเสียงบรรเลงมาตั้งแต่วัยเยาว์ นั่นจึงมีส่วนทำให้หญิงสาวกลายเป็นคนอ่อนโยนน่าทะนุถนอม จิตใจงดงามเช่นใบหน้าและมองโลกในแง่ดีมาโดยตลอดและอาจเพราะเธอเกิดตรงกับวันคริสต์มาส หญิงสาวจึงมีชื่อเล่นว่า ‘คริสต์มาส’ หลังจากเรียนจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ ครองขวัญก็ผันตัวเองมาเป็นครูสอนดนตรี เพื่อหาประสบการณ์รอเวลาที่จะเดินทางไปเรียนต่อปริญญาโทที่ประเทศรัสเซียในอีกไม่นานนี้ โดยได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากบิดาและมารดา บิดาของหญิงสาวนั้นอดีตเคยเป็นนักเขียนชื่อดังแต่ปัจจุบันคือเจ้าของไร่สตรอว์เบอรี่ส่งออกต่างประเทศอยู่ที่เชียงใหม่ แน่นอนว่าครองขวัญนั้นมีพื้นเพเป็นคนเชียงใหม่ แต่เพิ่งจะเดินทางมาอยู่ที่กรุงเทพฯในช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัย โดยอาศัยอยู่ที่บ้านอีกหลังที่บิดาซื้อไว้ให้กับพี่ชายแท้ๆ นามว่านายแพทย์ สงกรานต์ กฤติญดา
เนื่องจากการจราจรที่วุ่นวายของเมืองหลวงจึงทำให้คุณครูสาวใช้เวลานานนับชั่วโมงฝ่าดงรถติดพาลูกศิษย์ตัวน้อยเดินทางมาถึงคฤหาสน์หลังโตย่านสาทรได้อย่างปลอดภัย ตลอดการเดินทางมีแม่นมเอื้องคอยโทร.บอกเส้นทางอยู่เป็นระยะ และหล่อนอีกนั่นแหละที่เป็นคนเปิดประตูบานใหญ่ยืนรออย่างใจจดจ่อ ทันทีที่รถจอดสนิทเด็กหญิงก็รีบเปิดประตูและรีบวิ่งไปกอดแม่นมทันที
“นมเอื้อง!!”
“คุณหนู” มือของหญิงวัยกลางคนลูบหน้าผากเล็กๆอย่างเอ็นดู
เป็นจังหวะเดียวกับที่ครองขวัญก้าวลงมาจากรถ และทันเห็นภาพที่แสนน่ารักนี้ทันที ริมฝีปากอิ่มอดคลี่ยิ้มออกมาเสียไม่ได้ เข้าใจว่าคุณนมเอื้องคงจะรักหนูน้อยคนนี้มาก
“ขอบคุณ คุณครูอีกครั้งนะคะที่ช่วยเป็นภาระพาคุณหนูมาส่งให้ ขอบคุณมากจริงๆ” แม่นมเอื้องหันมาขอบคุณครองขวัญเป็นครั้งที่เท่าไรก็ไม่ทราบ
“ไม่ใช่ภาระอะไรเลยค่ะ ยังไงน้องจันทร์เจ้าก็เป็นเด็กที่โรงเรียนเรา ซึ่งทางโรงเรียนก็ต้องดูแลให้ดีที่สุดอยู่แล้วค่ะ”
“ไหนๆ ก็มาแล้วยังไงเชิญคุณครูอยู่ทานข้าวเย็นกับเราสักมื้อนะคะ”
“อุ๊ย ไม่รบกวนดีกว่าคุณนมเอื้อง นี่ก็ค่ำมากแล้ว คริสต์คงต้องขอตัวกลับเลยดีกว่าค่ะ”
“นมเอื้องทำอาหารอร่อยมากนะคะครูคริสต์” เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กหญิงเอ่ยขึ้นบ้างเพราะอยากให้คุณครูสาวอยู่รับประทานอาหารเย็นด้วยกัน
“โอ้โห น่าอิจฉาจันทร์เจ้าจัง แบบนี้ก็ได้ทานอาหารอร่อยๆทุกวันเลยสิ ไว้วันหลังครูจะมาลองชิมฝีมือนมเอื้องของจันทร์เจ้านะคะ แต่วันนี้ครูคงอยู่ทานด้วยไม่ได้จริงๆ” ครองขวัญยังคงยืนกรานปฏิเสธ เพราะนัดกับพี่ชายเอาไว้แล้วว่าจะไปทานข้าวนอกบ้านเนื่องในวันเกิดพี่ชาย
“เสียดายจังเลยนะคะ ถ้าอย่างนั้นโอกาสหน้าขอให้ดิฉันได้มีโอกาสทำกับข้าวให้คุณครูทานนะคะ”
“ได้เลยค่ะ คุณนมเอื้อง” หญิงสาวตอบกลับก่อนจะก้มลงมองนาฬิกาเรือนสวยที่ข้อมือ “คริสต์ต้องขอตัวกลับแล้วนะคะ ครูไปก่อนนะจันทร์เจ้า”
หลังจากกล่าวลาลูกศิษย์ตัวน้อยและแม่นมผู้แสนดี ที่กล่าวขอบคุณครองขวัญอย่างไม่หยุดหย่อน คุณครูสาวก็รีบบึ่งรถญี่ปุ่นคันเดิม เพื่อมุ่งหน้าไปเซอร์ไพร์สวันเกิดให้กับพีชายคนเดียวของตนทันที แต่จนแล้วจนรอดหญิงสาวก็ไม่มีทีท่าว่าจะขับมุ่งหน้าออกสู่ถนนเส้นหลักได้เลย และคงเป็นเพราะแถวนี้เป็นย่านชานหมู่บ้านไฮโซแถบชานเมืองผู้คนจึงไม่ค่อยพลุกพล่านเท่าไรนัก หลังจากขับวนอยู่หลายรอบหญิงสาวจึงเริ่มมั่นใจแล้วว่าตนเองกำลังหลงทางอยู่เป็นแน่และเหมือนสวรรค์กลั่นแกล้งเมื่อสายฝนเม็ดเล็กๆค่อยๆโปรยปรายลงมาบทบังวิสัยทัศน์ในการขับรถจนครองขวัญต้องเอื้อมมือไปกดปุ่มเพื่อสั่งการให้ที่ปัดน้ำฝนทำงาน
กึก กึก กึก
จู่ๆรถคู่ใจก็ดันเกิดอาการตะกุกตะกัก ก่อนจะกระตุกแรงๆสองสามครั้งจนคนขับสาวตัวโยนไปตามแรงกระตุกนั้นและแล้วเครื่องยนต์ก็ดับไปในที่สุด
“บ้าจริง ลืมเติมน้ำมัน” เมื่อฉุกคิดถึงต้นเหตุขึ้นมาได้ ครองขวัญจึงบ่นกับตัวเองเบาๆ หญิงสาวเอี้ยวตัวไปที่เบาะด้านหลัง มือเรียวหยิบกระเป๋าแบรนด์เนมสีหวานและยกมันมาวางที่หน้าตัก ค้นหาโทรศัพท์มือถือคู่ใจอย่างลุกลี้ลุกลน หญิงสาวหยิบอุปกรณ์สื่อสารออกมาและใช้แสงสว่างจากหน้าจอส่องไปที่เข็มวัดระดับน้ำมัน เธอถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เมื่อพบว่าเข็มน้ำมันนั้นตกลงมาอยู่จุดต่ำสุด …น้ำมันหมดตามคาด เห็นดังนั้นหญิงสาวจึงรีบกดโทรศัพท์เพื่อโทร.หาพี่ชายทันที
“พี่สงกรานต์ คริสต์หลงทางค่ะ ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าอยู่ส่วนไหนของสาทร คือมันมืดมาก มืดจนไม่แทบไม่อยากเชื่อว่านี่คือกรุงเทพฯ บ้านคนสักหลังก็ไม่มี ฝนก็ตก น้ำมันรถก็หมดด้วย” เมื่อพี่ชายรับสายหญิงสาวจึงรีบพูดจนลืมหายใจและไม่เว้นช่วงให้ปลายสายได้เอ่ยบ้างเลย
“นี่กะจะแกล้งเซอร์ไพร์สวันเกิดพี่หรือเปล่าเนี่ย มุกนี้ใช้ไม่ได้ผลนะจะบอกให้” ด้วยความที่วันนี้เป็นวันเกิด คนปลายสายจึงเข้าใจไปว่าน้องสาวคงกะจะเซอร์ไพรส์ตนเองเหมือนทุกๆปี
“เซอร์ไพร์สอะไรกันละคะ คริสต์กำลังจะแย่อยู่แล้วนะ แบตโทรศัพท์ก็กำลังจะหมด”
น้ำเสียงหวานสั่นเครือจนทำให้คนฟังรู้ว่าน้องสาวของตนคงไม่ได้แกล้งเขาเล่นเป็นแน่
“เอ๊ะ ! เมื่อกี้คริสต์ที่บอกว่ามืดๆเหมือนไม่ใช่กรุงเทพฯ คริสต์อยู่แถวไหนนะพี่ฟังไม่ถนัด”
“สาทรค่ะ”
“ฉิบหายละ รออยู่ตรงนั้นนะคริสต์ ห้ามลงมาจากรถเด็ดขาดไม่ว่าจะเกิดอะไรถ้าไม่ใช่พี่ คริสต์ห้ามเปิดประตูรถ เข้าใจมั๊ย เดี๋ยวพี่จะรีบไป” เพราะอยู่กรุงเทพฯมาร่วมสิบกว่าปี แน่นอนว่านายแพทย์สงกรานต์นั้นย่อมชำนาญพื้นที่มากกว่าน้องสาวเป็นไหนๆ ดังนั้นเขาจึงพอจะรู้ว่าครองขวัญอยู่ส่วนไหนของสาทร ย่านไฮโซที่แฝงไปด้วยอันตรายจนติดอันดับหนึ่งในสิบจุดเสี่ยงอันตรายของกรุงเทพฯเลยเชียวล่ะ…เขารู้ดีว่าคริสต์มาส น้องสาวที่ถูกประคบประหงมมาราวไข่ในหินกลัวความมืดมากที่สุดในชีวิต…
เมื่อการสนทนาระหว่างพี่สาวกับน้องชายจบลง พร้อมๆกับแบตเตอรี่โทรศัพท์ที่ค่อยหมดไป บรรยากาศรอบกายของหญิงสาวจึงมีเพียงความมืดและสายฝนพรำ หญิงสาวหลับตาแน่นตัวสั่นเทา สองมือประสานกันไว้ที่ใต้คาง น้ำใสๆค่อยๆไหลลงมาอาบสองข้างแก้มระเรื่อ ภาวนาให้พี่ชายมาถึงเร็วๆ…ในโลกนี้สำหรับครองขวัญ ไม่มีอะไรน่ากลัวเท่าความมืดมิดอีกแล้ว…เพราะความมืดมักแฝงไปด้วยสิ่งที่เรามองไม่เห็น
ตุบ!!
กรี๊ด!!!!
หญิงสาวกรีดร้องลั่น เมื่อได้ยินเสียงสิ่งประหลาดกระทบเข้าที่ประตูรถข้างๆกายอย่างรุนแรง สัญชาตญาณความเป็นมนุษย์ทำให้หญิงสาวเผลอเปิดเปลือกตาขึ้นมามอง
กรี๊ดดดด!!!!
หญิงสาวร้องเสียงหลงอีกครั้ง ดวงตาคู่สวยเบิกกว้าง หยุดชะงักแทบลืมหายใจ …ร่างกำยำสมชายชาตรีของใครบางคนกำลังเกาะอยู่ที่ขอบกระจกรถของเธอในสภาพสะบักสะบอม มือหนาทั้งสองข้างของเขาทาบติดกับกระจก เขากำลังจ้องมองมาที่เธอ และเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่นางเมขลาคงกำลังล่อแก้วอยู่บนฟากฟ้าเป็นแน่ท้องฟ้าทั่วสารทิศจึงส่องแสงประกายเป็นสายแสงแลบแปรบปราบ ส่งผลให้หญิงสาวมองเห็นใบหน้าของชายฉกรรจ์ผู้นี้ได้ชัดเจน …
พระเจ้า!! ครองขวัญแทบหัวใจหยุดเต้นไปในทันที ใบหน้าของเขาแม้จะโชกไปด้วยเลือดและปูดบวมทว่ากลับหล่อเหลายิ่งนักและเขาไม่ใช่คนไทย ดวงตาของเขากำลังจะปิดลง และดูเหมือนเขากำลังจะหมดแรง ถ้าเธอเดาไม่ผิดเขาต้องผ่านการถูกรุมทำร้ายมาอย่างสาหัสเป็นแน่ ร่างกำยำค่อยๆทรุดกายครูดลงไปกับกระตัวรถและฟุบลงที่พื้นถนนในที่สุด
หญิงสาวหายใจหอบเหนื่อยหัวใจเต้นแรงราวกับจะทะลุออกมาด้านนอก ความกลัววิ่งพล่านเข้ามาถาโถม ใจหนึ่งหล่อนก็อยากจะลงไปช่วยเขา ทว่าอีกใจหนึ่งก็นึกถึงคำที่พี่ชายได้บอกเอาไว้เพราะสมัยนี้มิจฉาชีพมักจะมาในหลายรูปแบบ ไม่แน่ชายผู้นี้อาจกำลังจะสร้างสถานการณ์ เพื่อหลอกล่อให้เธอลงไปจากรถแล้วมีพวกอีกจำนวนหนึ่งซุ่มอยู่ก็เป็นได้ใครจะไปรู้….แต่ถ้าหากเขาโดนทำร้ายมาจริงๆล่ะ หล่อนจะไม่ดูเป็นคนใจร้ายไปหน่อยหรือที่นั่งมองคนกำลังจะตายอย่างเฉยฉาเพียงเพราะว่าขี้ขลาด เพราะเท่าที่เห็นสภาพของเขาก็ดูเหมือนจะเจ็บหนักอยู่
คิดได้ดังนั้นมือเรียวจึงเอื้อมออกไปเพื่อที่จะปลดล๊อคประตูรถและลงไปช่วยเขา ทว่ายังไม่ทันที่จะได้ปลดล๊อกก็มีกลุ่มชายฉกรรจ์สี่ ห้า คน โผล่พรวดออกมาจากซอกเล็กๆ พวกนั้นมุ่งตรงมาที่ร่างอันโชกเลือดของชายหนุ่มนิรนาม พร้อมทั้งกระหน่ำไม้หน้าสามฟาดลงไปใส่เขาอย่างไม่ยั้ง
ครองขวัญน้ำตาไหลพราก มือเรียวยกขึ้นมาปิดปากอิ่มเอาไว้เพื่อไม่ให้เผลอกรีดร้อง …ชายผู้เคราะห์ร้ายกำลังจะถูกฆาตกรรมต่อหน้าต่อตาเธออย่างนั้นหรือ หญิงสาวสะอื้นไห้แรงขึ้นไม่รู้ว่าเพราะสงสารเขาจับใจหรือกำลังกลัวสุดขีด กลัวว่าพวกมันจะพุ่งเป้ามาในรถซึ่งมีร่างของเธออยู่ในนี้
“เฮ้! แซม มีผู้หญิงอยู่ในรถด้วยว่ะ”
“เฮ้! แซม มีผู้หญิงอยู่ในรถด้วยว่ะ”
“จัดการปิดปากเธอซะ!!”
บทสนทนาภาษาอังกฤษจากกลุ่มชายฉกรรจ์ เล็ดลอดเข้ามาจนครองขวัญได้ยินชัด หญิงสาวสะดุ้งโหยงเมื่อรู้ว่าสิ่งที่เธอกลัวนั้นกลายเป็นจริงขึ้นมาเสียแล้ว พวกมันต้องการจะฆ่าเธอด้วยอีกคน
“มะ ไม่ นะ!!” หญิงสาวส่ายหัวร่วน เนื้อตัวสั่นเทา ดวงหน้าสวยสอดส่ายไปมามองหาสิ่งป้องกันตัว
ปึก ๆๆๆ!!!
หนึ่งในชายแปลกหน้าเดินเข้ามาทุบกระจกรถเสียงดังสนั่น ส่วนพวกที่เหลือยังคงรุมทุบตีชายหนุ่มนิรนามอย่างไม่มีท่าทีว่าจะยั้งมือ
“ถ้าอยากตายศพสวยๆก็เปิดประตูให้ฉันเสียดีๆ ” สั่งเป็นภาษาอังกฤษเสียงเหี้ยม
“กรี๊ด!!!!!!”
ครองขวัญถอยกรูมาอยู่ที่เบาะอีกฝั่งหนึ่ง ไม่ยอมทำตามคำสั่งของคนร้าย
“ฮึกๆ ยะ อย่าเข้ามานะ” หญิงสาวเริ่มสะอื้นไห้เพราะความหวาดกลัวจนสุดขั้วหัวใจ ขดร่างที่สั่นเท่าเข้าหากันแน่น
เพล้ง!!!!!
เศษกระจกจำนวนมากมายแตกกระจัดกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ เพราะพวกโจรร้ายใช้ท่อนไม้ที่อยู่ในมือทุบมันสุดแรงอย่างไม่เกรงกลัวว่าเศษกระจกพวกนั้นจะกระเด็นถูกร่างอรชรที่อยู่ด้านในตัวรถเลย จากนั้นมันก็ใช้มือสอดเข้ามาปลดล๊อคประตูและเปิดออกอย่างง่ายดาย
“กรี๊ด!! ไม่!! ออกไปนะ!! ฮือๆ” หญิงสาวทำได้เพียงส่งเสียงร้องไล่ให้คนร้ายไม่เข้ามาใกล้ตัวเธอ ทั้งที่รู้ดีว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก
“บอกให้เปิดประตูดีๆไม่เปิด มานี่!” คนร้ายชาวต่างชาติฉายแววตาหื่นกระหายขึ้นมาทันทีที่ได้เห็นดวงหน้าสวยสดของร่างอรชร มันฝ่าดงเศษกระจกเข้าไปคว้าร่างบางออกมาจากในรถได้อย่างง่ายดาย ก่อนจะเหวี่ยงร่างของหญิงสาวไปกระทบกับร่างกำยำของชายผู้เคราะห์ร้าย ทำให้เหล่าชายฉกรรจ์ที่เหลือหยุดกระหน่ำท่อนไม้ลงบนร่างของเขาไปโดยปริยาย
ใบหน้านุ่มนิ่มสัมผัสกับใบหน้าระคายที่บวมช้ำและเต็มไปด้วยเลือด ร่างอรชรทาบทับอยู่บนแผงอกล่ำสันของเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และสิ่งเดียวที่เธอค้นพบตอนนี้คือ…เขายังมีลมหายใจอยู่… ครองขวัญพยายามจะดันตัวให้ลุกขึ้น แต่เธอก็พบว่าแขนทั้งสองข้างนั้นไร้เรี่ยวแรงจึงทำได้เพียงฟุบคาอกชายผู้เคราะห์ร้ายอยู่เช่นนั้น
“เอายังไงต่อแซม ยิงมันสองคนทิ้งตรงนี้เลยดีมั๊ย” ชายฉกรรจ์หนึ่งคนหันไปถาม กับพวกเดียวกันอีกคนนามว่าแซม ซึ่งดูเหมือนว่าแซมผู้นี้ คงเป็นหัวหน้าหรือไม่ก็เป็นผู้ที่มีอำนาจเด็ดขาดในการตัดสินใจ
“ฉันยังอยากทุบไอ้เวรนี่ต่อ ให้มันตายช้าๆอย่างทรมาน มากกว่าให้มันตายด้วยลูกปืน” แซมว่า
“รีบๆเก็บมันสองคนเลยจะดีกว่า เดี๋ยวก็มีคนผ่านมาเห็น นายก็รู้ดีนี่แซมว่าถ้าไอ้หอกนี่มันรอดไปได้ มันไม่ปล่อยให้พวกเราอยู่บนโลกนี่นานแน่ และที่สำคัญคนอย่างมันไม่มีคำว่าพลาดให้เราได้เห็นบ่อยๆแบบนี้เท่าไรนะ”
“เออๆ งั้นก็ยิงทิ้งแม่..งตอนนี้เลยแล้วกัน”
เมื่อเห็นพ้องต้องกัน ชายฉกรรจ์คนหนึ่งจึงหยิบอาวุธดำมะเมื่อมออกมา ปากกระบอกพุ่งตรงไปยังสองร่างที่นอนกองกันอยู่บนพื้นถนน
“มะ ไม่ นะ ได้โปรด ฮึกๆ” หญิงสาวร้องขอชีวิตเป็นภาษาอังกฤษ…คงเป็นคราวเคราะห์ครั้งใหญ่ของเธอจริงๆที่ต้องมาพบกับเหตุการณ์ป่าเถื่อนแบบนี้
“ขอโทษทีที่ฉันคงปล่อยเธอไปไม่ได้ แม่สาวไทยคนสวย ฉันจะเลือกเก็บเธอก่อนแล้วกันจะได้ไม่ต้องทนดูใครตายต่อหน้า” ชายฉกรรจ์ผู้ถือกระบอกปืนเอ่ยขึ้นพร้อมกับเล็งปืนมายังร่างอรชรก่อนจะเหนี่ยวไก
ปัง!
กรี๊ดดด!
เหมือนมีแรงเหวี่ยงมหาศาล เหวี่ยงเธอให้ลงไปนอนติดกับพื้นคอนกรีต ก่อนจะตามมาด้วยร่างกำยำอีกร่างที่ถาโถมมาทับบนกายสาวแทน จากนั้นใบหน้าเปื้อนเลือดของชายหนุ่มนิรนามก็ค่อยๆร่วงลงมาตามแรงโน้มถ่วงของโลกจนปะทะกับแก้มระเรื่ออีกครั้ง…ครองขวัญเบิกตากว้าง แทบไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เห็น ผู้ชายที่กำลังใกล้จะตายอย่างชายนิรนามผู้นี้เขามีสัญญานการปกป้องจนเรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายของเขา..ใช่ หญิงสาวรับรู้ได้ว่าเขากำลังพยายามจะปกป้องเธอ..
…ทำไมหัวใจของเราถึงรู้สึกเจ็บปวดแบบนี้...
“ชิบหายแล้ว มีคนมาเผ่นเร็ว!” หนึ่งในคนร้ายเอ่ยขึ้นเมื่อมองเห็นไฟรถยนต์สองคันกำลังมุ่งตรงมายังจุดนี้ ก่อนจะจอดอย่างรวดเร็ว
ปังๆๆ!
นายแพทย์สงกรานต์ รีบลงมาจากรถแล้วยิงปืนขึ้นฟ้าทันทีสามนัดรวด ไม่ผิดแน่รถยนต์คันสีขาวบริสุทธ์ที่จอดอยู่ตรงนั้นคือรถของน้องสาวหัวแก้วหัวแหวนของเขาอย่างแน่นอน เมื่อเห็นว่ากลุ่มคนร้ายเผ่นหนีไป นายแพทย์หนุ่มพร้อมด้วยเพื่อนตำรวจอีกสามนายจึงรีบวิ่งไปยังจุดเกิดเหตุทันที
“คริสต์! คริสต์! เป็นอะไรมั๊ย พวกมันทำอะไรคริสต์บ้าง” นายแพทย์หนุ่มนั่งคุกเข่าและพลักร่างล่ำสันออกไปจากตัวน้องสาวโดยพลันก่อนจะรั้งร่างอรชรสั่นเทาเข้ามากอดประโลม เข้าใจไปว่าชายนิรนามผู้นั้นคือคนร้ายที่ต้องการทำร้ายครองขวัญ
“กรานต์ นายอยู่ดูน้องนายไปก่อนนะ พวกฉันจะตามไปคนร้ายไป คงไปได้ไม่ไกล” นายตำรวจคนหนึ่งพูดขึ้นก่อนจะประสานเรียกรถพยาบาลและขอกำลังเสริม
“คริสต์ตอบพี่หน่อยคนดี พวกมันทำอะไรน้องของพี่” นายแพทย์หนุ่มรู้ว่าน้องสาวยังตกอยู่ในอาการกลัวจนช๊อค
“คริสต์ มะ ไม่ เป็นไรคะ ตะ แต่ เขา..เขา” หญิงสาวส่ายศรีษะช้าๆโบ้ยหน้าไปที่ร่างกำยำไร้สติซึ่งโดนพี่ชายพลักออกไปเมื่อสักครู่
“ไอ้ระยำนี่ มันทำไมเหรอคริสต์”
“ไม่ใช่ค่ะ เขา ชะ ช่วย บังกระสุนปืนให้คริสต์ พวกคนร้ายนั่นต้องการฆ่าเขาแต่บังเอิญคริสต์ดันมาเห็นฮึกๆ” บอกเสียงแผ่วเบาเคล้าไปกับเสียงสะอื้น
นายแพทย์หนุ่มสีหน้าสลดลงเขาเกือบทำผิดจรรณยาบรรณวิชาชีพหมอเสียแล้ว ชายหนุ่มอุ้มร่างอรชรของน้องสาวไปวางไว้ข้างรถญี่ปุ่นคันเดิม
“คริสต์นั่งตรงนี้ก่อนนะ อีกเดี๋ยวรถพยาบาลคงมา เดี๋ยวพี่จะไปดูอาการเขาก่อน” นายแพทย์หนุ่มว่า พร้อมทั้งรีบวิ่งกลับไปเอากล่องเครื่องมือปฐมพยาบาลในรถของตน
ครองขวัญนั่งมองร่างไร้สตินั้นผ่านความมืด …จิตใจยังคงสั่นไหวกับเหตุการณ์เมื่อสักครู่ ไม่เคยคิดว่าในชีวิตจะมาพบพานกับเรื่องแบบนี้..ตอนนี้ไม่ว่าเขาจะเป็นคนดีหรือเลวมาก่อนมันก็คงไม่สำคัญเท่ากับการขอให้เขาปลอดภัย…เธอขอให้เขามีลมหายใจอยู่บนโลกนี้ต่อไปก็พอ..
สองวันต่อมา ณ กรุงมอสโคว์ ประเทศรัสเซีย 21.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น
ชายหนุ่มหุ่นล่ำสัน สูงตระหง่าน ใบหน้าหล่อเหลาราวกับหลุดออกมาจากนิตยสาร กำลังใช้ดวงตาสีน้ำตาลเข้มรับกับสีผมจ้องเขม็งไปยังบรรดาลูกน้องราวห้าคนที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าภายในห้องทำงานของเขาซึ่งตั้งอยู่บนชั้น25 ของ ตึก30 ชั้น บริษัทผลิตอาวุธสงครามชื่อดังก้องโลก ของประเทศรัสเซีย
“ได้โปรด เถอะครับคุณอังเดร พวกเราทำตามคำสั่งคุณดมิทรีจริงๆ”
“หุบปาก!!”
อังเดร ฮาซาเร่ ชายหนุ่มหล่อวัยสามสิบสามปี เจ้าของบริษัทผลิตอาวุธสงครามส่งออกทั่วโลกร่วมกับเพื่อนรักของเขา ดมิทรี ชูมัคร์เกอร์ ซึ่งตอนนี้เกิดมาหายตัวไปอย่างลึกลับและเนื่องจากไม่เคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นมาก่อน เพราะดมิทรีนั้นจัดว่ามีฝีมือดีทั้งสมองและการต่อสู้ แม้ว่าเขาจะมีคนจ้องเล่นงานอยู่มากมายแต่ก็ไม่เคยพลาดท่าเสียทีให้ศัตรูสักครั้ง จนกระทั่งครั้งนี้ อังเดรมั่นใจว่า ดมิทรีต้องเสียท่าให้ศัตรูเป็นแน่ มันจึงทำให้เขาเดือดเป็นไฟ เพราะดมิทรี คือเพื่อนรักที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาแต่วัยเยาว์ ทั้งยังเป็นเพื่อนคนเดียวที่เขามี
“หน้าที่บอร์ดี้การ์ดคือให้ความคุ้มครองผู้ว่าจ้าง แต่นี่อะไร! พวกมึงปล่อยให้ดานิลฉายเดี่ยวได้ยัง! โธ่โว้ย!! ไอ้พวกเวร!!!”
พลั่ก! พลั่ก! ผั่วะ! ผั่วะ! พลั่ก!
ชายหนุ่มเลือดร้อนไม่พูดเปล่า ฝ่ามือและฝ่าเท้าทำงานประสานกันตั๊นหน้าลูกน้องไปคนละทีสองทีด้วยอารมณ์โมโหจัด ก่อนจะหยิบปืนสั้นที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาพุ่งปลายกระบอกตรงไปที่บอดี้การ์ดหนึ่งในจำนวนห้าคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า ท่ามกลางสายตาลูกน้องนับยี่สิบคนที่ยืนอยู่ภายในห้อง
“คุณดานิลไม่ได้ไปคนเดียวนะครับ ตะแต่ ไปกับคุณแซม พะ พวกเราจะตามไปแล้วนะครับ ตะ แต่คุณดานิลบอกว่าไม่ต้องให้พวกเรารอที่โรงแรม คุณดานิลจะไปกับคุณแซมเองครับ เราก็เลยไม่กล้าขัดคำสั่ง อย่าฆ่าพวกเราเลยนะครับ คุณอังเดร พวกเรา ผิดไปแล้วจริงๆครับให้โอกาสพวกเราเถอะครับ” เสียงลูกน้องอ้อนวอนขอชีวิต เพราะพวกเขารู้ดีว่า อังเดร ฮาซาเร โหดขนาดไหน การทำงานกับชายผู้นี้ต้องไม่มีคำว่าผิดพลาด ซึ่งต่างกับอีกคนที่หายไป ถึงขานั้นจะโหดร้ายกว่าแต่ก็มีเหตุผลและไม่มุทะลุอย่างอังเดร
“แบบนี้แหละที่เขาเรียกว่าสะเพร่า!! กูไม่ต้องการฟังคำแก้ตัวใดๆของพวกมึงทั้งนั้นที่ดานิลกับแซมหายไป มีเพียงเหตุผลเดียวคือพวกมึงทำงานพลาด และในเมื่อพวกมึงพลาดก็ไม่สมควรที่จะมาทำงานกับกูต่อไป!!!”
อังเดรทำท่าจะเหนี่ยวไก สังหารลูกน้องที่ทำงานพลาดครั้งใหญ่หลวง ทว่าเขากลับโยนปืนไปให้กับปีเตอร์บอร์ดี้การ์ดคู่กาย
“แม่งโว้ย!!! เอาตัวพวกมันไปให้พ้นหน้าฉัน ขังพวกมันไว้ถ้าฉันพบว่าดานิลยังมีชีวิตอยู่คือพวกมันรอด!!!”
“ฉันจะไปตามหาดานิลที่เมืองไทย ตราบใดที่ยังไม่พบศพดาดิลฉันจะไม่มีวันเชื่อว่าเพื่อนฉันตาย ปีเตอร์แกเตรียมคนให้พร้อม เราจะออกเดินทางพรุ่งนี้เช้า”