บทที่ 7 หนิงหลง
“เจ้าตื่นมาก็ดีแล้ว ข้ามีเรื่องจะพูดคุยกับเจ้าอยู่พอดี”
กุนจวินกล่าวขึ้นอย่างมีความสุข บนใบหน้าของเขานั้นไม่สามารถปกปิดความภาคภูมิใจไว้ได้เลยที่กุนไท่ตื่นขึ้นมาพร้อมกับพลังบ่มเพาะที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด และการแสดงออกทางสีหน้าของเขาอาจทำให้เด็กหนุ่มหลงตัวเองได้ เขาต้องเปลี่ยนสีหน้าอย่างรวดเร็ว เพื่อไม่ให้เด็กหนุ่มนั้นหยิ่งผยองจนเกินไป อัจฉริยะส่วนมากที่หลงตัวเองคิดว่าเกิดมาพร้อมกับเป็นบุตรของสวรรค์ แต่หาไม่แล้ว เหนือฟ้ายังมีฟ้า! เหนือบ้านยังมีหลังคา!
อะไรก็เกิดขึ้นได้ อัจฉริยะที่ยังไม่เติบโตเต็มที่อาจจะต้องตายไปเสียก่อนเพราะความอวดดีที่ทำให้ผู้คนต้องริษยาก็เป็นได้
เหล่าผู้อาวุโสพยักหน้าให้กับเด็กหนุ่มด้วยความชื่นชม คำพูดที่พวกเขาล้วนพูดออกมาก่อนหน้านี้นั้นถึงกับลืมไปหมดแล้ว มันมีคำพูดที่ว่าการกระทำสำคัญกว่าคำพูด และนี่คือสิ่งที่เด็กหนุ่มแสดงให้เห็นคำพูดนี้ได้เป็นอย่างดี
“นายน้อย ท่านทำให้พวกเราเป็นกังวลนัก แต่เมื่อท่านได้แสดงพรสวรรค์ให้พวกเราได้เห็นแล้ว การแข่งขันของเหล่าผู้สืบทอดนั้น ค่อยวางใจไปได้เปราะหนึ่ง ถึงแม้ท่านจะมีการบ่มเพาะที่สูง แต่ประสบการณ์ต่อสู้ของท่านไม่มีเลย สิ่งนี้ทำให้พวกเรากังวลใจนัก”
ผู้อาวุโสคนหนึ่งพูดขึ้นมา จากคำพูดที่มีความรอบคอบ เขาใช้คำว่าพวกเรา แทนคำว่าข้า มันเป็นการบ่งบอกว่า ไม่ใช่แค่เขาคนเดียว แต่เป็นอีกหลายๆคน แต่ถ้าเขาใช้คำว่า ข้า ขึ้นมา นั้นหมายความว่า เป็นเขาคนเดียวที่คิดแบบนี้ อาจจะทำให้เจ้าสำนักไม่พอใจได้ที่เขาไม่กล้าไว้วางใจในตัวบุตรชายของสำนัก
กุนไท่เผยรอยยิ้มออกมา เขานั้นรับรู้ได้ถึงคำพูดของผู้อาวุโสท่านนี้ดี แต่ตัวเขารู้ดีว่า เขาไม่ได้ขาดประสบการณ์ เพราะในโลกแห่งความฝันนั้น เขาได้ต่อสู้กับทั้งสัตว์อสูร ชนเผ่ามากมายที่เป็นมนุษย์เหมือนกัน เขาได้เข้าไปในป่าสันโดษและพบกับสิ่งมีชีวิตมากมายหลายเผ่าพันธุ์ ได้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกับพวกมันมาไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง ทำให้เขาเติบโตขึ้นอย่างมาก เด็กหนุ่มมีความมั่นใจพอสมควรในเรื่องการเอาตัวรอด
“ท่านพ่อ ท่านมีสิ่งใดอยากพูดคุยกับข้าหรือ?”
เด็กหนุ่มไม่ได้ตอบผู้อาวุโสคนนั้น เพียงแค่ยิ้มให้อย่างมั่นอกมั่นใจ จากนั้นก็หันไปหากุนจวิน แล้วพูดขึ้นมา
“มันไม่ได้สำคัญหรอก ข้าเพียงแค่จะบอกว่า อย่าเสี่ยงอันตรายในการประลองเด็ดขาด แม้เจ้าจะสู้ไม่ได้ก็อย่าคิดทำสิ่งใดเกินกำลังตน ข้าจะไม่โทษเจ้าและขอให้เจ้าปลอดภัยก็เพียงพอแล้ว”
กุนจวินกล่าวกับบุตรของตนอย่างนุ่มนวล กุนไท่รู้สึกอบอุ่นหัวใจขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เขารู้สึกมีความสุขมากที่บิดาของเขานั้นเป็นห่วงเขามากเพียงใด เด็กหนุ่มแสดงสีหน้าจริงจัง และพูดออกมาว่า …
“ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง”
หลังจากที่ออกจากห้องโถงแล้ว เด็กหนุ่มก็ไปเตรียมตัวเพราะตอนนี้เหลือเวลาอีก 15 วัน งานจะเริ่ม 7 วันในการเตรียมตัว อีก 7 วันในการเดินทาง วันที่ 14 คงไปถึงสถานที่จัดงาน และวันต่อมาก็เป็นวันงานพอดิบพอดี
และแล้ววันเดินทางก็มาถึง บนยอดเขาลูกหนึ่งของสำนักลิขิตสวรรค์ ภูเขาลูกนี้เป็นยอดเขาที่เอาไว้เลี้ยงสัตว์อสูรต่างๆมากมายหลายหมื่นตัว แต่ที่สำคัญนั้นบนยอดเขาต่างเต็มไปด้วยผู้คนมากมายหลายพันชีวิต พวกเขาเหล่านั้นต่างเป็นศิษย์ของสำนักลิขิตสวรรค์ที่สวมใส่อาภรณ์สีฟ้าตัดกับสีขาว มองแล้วดูสบายตา มีทั้งศิษย์ระดับต่ำและศิษย์ระดับสูงปะปนกันไป
ท่ามกลางฝูงชนที่แออัด มีบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งเขาสวมอาภรณ์ที่แปลกตากว่าศิษย์ทั่วไป อาภรณ์สีม่วงของเขานั้นทำให้รู้สึกได้ถึงความอ่อนโยน บุรุษหนุ่มอายุ 25 ปีผู้มีใบหน้าคมเข้มหล่อเหลา เส้นผมสีดำขลับสยายยาวพลิ้วตามแรงลมมองแล้วรู้สึกเพลินตา แต่พลังปราณที่แผ่ออกมานั้น ทำให้คนรอบข้างถึงกับต้องเคารพนับถือ เขามีพลังอยู่ในระดับหลอมรวมพลัง ขั้นรวบรวมพลัง! คนๆนี้คือหนิงหลง ศิษย์เพียงคนเดียวของเจ้าสำนักลิขิตสวรรค์ที่เป็นเจ้าของปรากฏการณ์ระฆังสีทองบนฟากฟ้าเมื่อถือกำเนิดขึ้นมา ว่ากันว่า เขาเป็นอัจฉริยะในรอบร้อยปีของสำนัก
ผ่านไปไม่นานเจ้าสำนักกุนจวินกับเหล่าผู้อาวุโสระดับสูงจำนวนหนึ่งก็ลงมาอยู่ตรงหน้าของหนิงหลง
“คาราวะท่านเจ้าสำนักและเหล่าท่านผู้อาวุโส”
เมื่อเห็นการปรากฏกายของเหล่าตัวตนที่น่าเกรงขามขึ้น เสียงของคนหลายพันก็ดังกระหึ่มขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกัน
เจ้าสำนักกุนจวินกวาดสายตาคราหนึ่งก่อนจะพยักหน้าให้กับทุกคน แล้วก็จับจ้องไปที่หนิงหลงพร้อมกับเอ่ยขึ้นอย่างนุ่มนวล
“หนิงเอ่อร์ นี่เจ้าทะลวงเข้าสู่ระดับหลอมรวมแล้ว?”
“ใช่แล้ว ท่านอาจารย์ การที่ศิษย์ทะลวงได้รวดเร็วถึงเพียงนี้เป็นเพราะการชี้แนะจากเทพเซียนเช่นท่าน!”
หนิงหลงตอบกลับอย่างไม่ถือตัว พร้อมกับยกย่องป้อยออีกฝ่ายเสียไปด้วยเลย
“ฮา ฮ่า! เลิกยกย่องข้าได้แล้ว เจ้าศิษย์คนนี้นี่”
เจ้าสำนักกุนจวินหัวเราะออกมาอย่างภาคภูมิที่เห็นศิษย์ของตนเติบโตขึ้น ขณะที่กำลังพูดคุยกับหนิงหลงอยู่นั้น บนท้องฟ้าอีกฟากหนึ่งปรากฏบันไดก้อนเมฆขึ้น พร้อมกับเด็กหนุ่มที่สวมใส่อาภรณ์สีน้ำเงินเฉกเช่นเดียวกับสีผมและนัยน์ตา คนผู้นี้คือกุนไท่ บุตรชายเพียงคนเดียวของตำนานแห่งอรุณเบิกฟ้ากุนจวิน!
เหล่าฝูงชนฮือฮาขึ้นมา เพราะนี่คือครั้งแรกของพวกเขาที่ได้เห็นกุนไท่ เมื่อเห็นอายุและพลังบ่มเพาะที่แสดงออกมาทำให้พวกเขาถึงกับจุกพูดไม่ออก บางคนที่พลังบ่มเพาะระดับต่ำกว่าสร้างรากฐานที่สัมผัสกับกลิ่นอายพิเศษของเขานั้นถึงกับทำให้หมดสติไป บางคนที่อยู่สร้างรากฐานถึงกับรู้สึกง่วงขึ้นมา ร่างกายอ่อนแรง พลังปราณใช้ได้ไม่เต็มที่ราวกับโดนปิดผนึกลมปราณ
สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นทำให้คนที่ไม่ได้หมดสติถึงกลับตกตะลึง ฉากนี้มันคืออะไรกันเพียงคือการปรากฏตัวเท่านั้นถึงกับทำให้ผู้อื่นหมดสติ แต่การหมดสตินี้ไม่ได้เกิดอันตรายกับแต่ร่างกายแต่อย่างใด แต่เพียงแค่นอนกลางวันกันเท่านั้น และนี่ก็คือพลังที่แปลกประหลาดของกุนไท่!