กัสกำลังเดินกลับห้องเช่าด้วยอารมณ์ไม่มีความสุขเท่าไร เพราะยังค้างคาอยู่ไม่หายหลังจากหงุดหงิดเมื่อคืน ในระหว่างกำลังออกจากประตูรั้วมหาวิทยาลัย เขาก็ได้ยินเสียงเรียกที่คุ้นเคย
“กัสขึ้นมาบนรถเร็ว พี่จอดได้ไม่นาน”
กัสไม่มีเวลาคิดอะไร เพราะเขามองไปด้านหลังมีรถจอดรถสองสามคัน กัสจึงวิ่งอ้อมไปข้างหน้าขึ้นไปบนรถ หลังจากนั้นพีคก็แล่นรถออกไปจากรั้วมหาวิทยาลัย
“ทำไมวันนี้เดินคนเดียวล่ะ”พีคเอ่ยขึ้น
“เขื่อนไปทำงานครับ”
“เอ่อ ใช่ พี่ก็ลืมไปเลย ดีเหมือนกันพี่จะได้ส่งกัสที่ห้อง”
“พี่พีคไม่น่าลำบากเลย เพราะกัสขึ้นรถเมล์กลับเป็นประจำอยู่แล้วนี่”
“พี่อยากทำความรู้จักกับกัสให้มากขึ้น เพราะเราต้องเล่นละครด้วยกันอีกหลายเดือน”
“กัสไม่น่ามีอะไรให้รู้จักหรอก กัสเป็นคนแบบนี้แหละ ใครๆเห็นก็รู้ว่าเป็นคนอย่างไง”
“ไม่ได้หรอก พี่ต้องรู้ให้ลึกรู้ให้จริง รู้ให้ถึงใจของกัสว่ากำลังคิดอะไรอยู่”พีคหันมายิ้มให้กัส
“จะรู้ใจของกัสไปทำอะไรกันล่ะครับ”
“ต้องรู้สิ เพราะในละครเวทีเราเล่นเป็นแฟนกันนี่”
“แต่ในละครพี่พีครักทั้งสองคนเลย”
“ละครก็ส่วนละครซิในชีวิตจริงพี่รักคนเดียวเท่านั้นแหละ”
“กัสจะพยายามเชื่อนะครับ”กัสยังมีสีหน้านิ่งอยู่เหมือนเดิม
“ทำไมไม่เชื่อพี่ล่ะ”พีคหันมามองหน้ากัสแว่บหนึ่ง
“สายตาของพี่ดูเจ้าชู้นะ ”
“รู้ขนาดนั้นเชียว ทีแรกพี่ว่าเขื่อนเป็นคนพูดตรงๆ แต่กัสนี่ตรงมากกว่าอีก ตรงแบบไม่กลัวคนฟังจะโกรธเลยนะ”
“กัสขอโทษที่พูดอะไรแบบนั้นไป”
“พี่พูดเล่น อย่าจริงจังเลย เอาเป็นว่าถึงอย่างไรพี่ก็ต้องทำความรู้จักกัส ให้มากกว่านี้อย่างแน่นอน”
กัสไม่พูดอะไรต่อได้แต่นิ่งเงียบ ในส่วนของกัสลึกเขาก็รู้สึกดีที่ได้ใกล้ชิดพีคคนที่เขาแอบชอบ ส่วนพีคนั้นก็พยายามหาเรื่องมาพูดคุยกับกัสต่อ
“พรุ่งนี้แล้วเนาะที่เราต้องซ้อมละครกัน กัสได้เตรียมตัวอะไรบ้าง”
“กัสแค่จำบทให้ได้แค่นั้น ส่วนเรื่องการแสดงต้องให้พวกพี่ๆสอนให้ครับ”
“จำได้หมดเลยเหรอ”
“ครับจำได้หมด”
“กัสคิดว่าจะเล่นได้ไหมล่ะ”
“ได้ บางอย่างมีความใกล้เคียงกัส”
“ใช่ บทนี้ใกล้เคียงกับกัสนะ”
“พี่พีครู้ได้ไงว่าใกล้เคียงกัส เพราะบทนี้ร้ายลึกนะ”
“พี่ไม่ได้หมายความว่าอย่างงั้น พี่เห็นกัสเรียบร้อยเหมือนอย่างในบทละคร”
“อ่อ ครับ”
“กัสนี่น่าค้นหามากเลย เห็นนิ่งๆแต่พูดออกมาแต่ละคำเด็ดมาก พี่ซักชอบแล้วซิอยากทำความรู้จักให้มากกว่านี้ ไม่รู้ว่ากัสจะยอมหรือเปล่า”
“ไม่ใช่อยู่ที่กัสอยู่ที่พีคมากกว่า”
“ถ้างั้นพี่ลุยเลยนะ พี่อยากรู้จักกันให้มากกว่านี้”
กัสไม่พูดอะไรต่อเพราะเขินอาย ส่วนพีครู้สึกดีที่ได้ทำความรู้จักกัสได้มากขึ้น และเห็นบางมุมของกัสที่ตรงข้ามกับภายนอกที่เขามองเห็น
“ถึงห้องของกัสแล้วครับ”
“ถ้างั้นพี่ส่งแค่นี้นะ พรุ่งนี้เจอกันที่ห้องซ้อมละคร พี่จะรอน้องกัสที่นั่น”
“ขอบคุณครับ”
กัสอมยิ้มลงจากรถไปด้วยใจที่ชุ่มชื่น ส่วนพีคมองกัสที่ดูเรียบร้อยแต่ลึกจนน่าค้นหา เขาอมยิ้มสักพักและขับรถออกไป
กัสเข้ามาในห้องนอนด้วยอารมณ์ดี เขาจึงรีบอาบน้ำและมานั่งหน้าโน๊ตบุ๊ค เพื่อมาเขียนนิยายของเขาต่อทันที และในค่ำคืนนี้ความคิดเขาได้เปลื่ยนไปอีกครั้ง
ในระหว่างที่เสือเข้มโจรหนุ่มกำลังเงื้อมดาบฟันหลังของยิวอยู่นั้น แม่ทัพวิศรุฒได้ปืนขึ้นมาบนหน้าต่างและได้เห็นภาพตรงหน้า เขาจึงรีบลงจากหน้าต่าง แล้วกระโดดถีบเสือเข้มจนกระเด็นดาบหลุดมือ
“ท่านแม่ทัพ”ยิววิ่งเข้าไปหาแม่ทัพวิศรุฒทันที
“ไปกันเร็ว”แม่ทัพวิศรุฒให้ยิวขี่หลัง
“มึงเป็นใคร”เสือเข้มยังไม่ทันจะได้ลุกขึ้น แม่ทัพวิศรุมถีบล้มลงอีกครั้ง
ในช่วงที่เสือเข้มพลาดท่าล้มลงอยู่นั้น แม่ทัพวิศรุฒจึงพายิวกระโดดลงจากหน้าต่าง โดยมียิวขี่คอกอดไว้แน่น เมื่อถึงพื้นดินเขาจึงวิ่งหายลับเข้าไปในป่าท่ามกลางความมืด ส่วนเสือเข้มลุกยืนวิ่งไปที่หน้าต่างแต่ก็ไม่ทันการณ์ เพราะทั้งสองได้หายไปกับความมืด
เหตุการณ์ในครั้งนี้ได้สร้างความแค้นเคืองแกเสือเข้มอย่างมา เขาไม่สามารถที่จะบอกใครได้ในเรื่องนี้ เรื่องยิวไม่ใช่ผู้หญิงและอีกอย่างเขาพลาดท่าให้ชายหนุ่มที่มาช่วยยิวอีก ถ้าเรื่องนี้รู้ไปถึงหูลูกน้องของเขา เสือเข้มกลัวเสียหน้ามากเขาจึงเก็บงำเป็นความลับ แต่อีกความรู้สึกเขารู้สึกเสียดายความงามของผู้ชายที่เหมือนสตรีไม่ผิดเพี้ยน เสือเข้มพยายามสลัดความรู้สึกนั้นทิ้งไป เพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่ผู้ชายจะรักกัน
แม่ทัพวิศรุฒพายิวมายังเรือลำไม่ใหญ่มาก มีเพียงทันทหารคนสนิท และทหารอีกสองคนที่อยู่ท้ายเรือ เมื่อถึงริมน้ำแม่ทัพวิศรุฒจึงก้มลงให้ยิวได้ลงจากหลังของเขา
“ขอบใจนายมากนะ”
“ยังไม่ต้องพูดอะไรหรอก ขึ้นไปบนเรือก่อนเถอะ”
ยิวเดินตามแม่ทัพวิศรุฒขึ้นไปบนเรือ โดยมีหลังคาเป็นใบไม้ขนาดใหญ่ ส่วนด้านข้างเป็นไม้ไผ่ปิดตีล้อมรอบเรือ โดยมีผ้าปิดไว้เป็นประตูเปิดเข้าออก
“ข้าบอกให้เอ็งรออยู่ในถ้ำ แล้วออกไปทำไมข้างนอก”แม่ทัพวิศรุฒเอ่ยขึ้นและนั่งลงกับพื้นเรือ
“เราไม่เห็นนายมาซักที ก็นึกว่าหนีเราไปแล้วไง”
“ข้าจะหนีเอ็งไปทำไม ข้าเป็นทหารพูดคำไหนคำนั้น และอีกอย่างข้าจะเอาเอ็งไปเป็นเมีย ข้าจะทิ้งเอ็งไว้ทำไมแค่นี้เอ็งคิดไม่ได้เหรอ”
“ข้าขอโทษ ข้าใจเร็วไปหน่อย”
“ไอ้โจรนั่นมันจับเอ็งไปทำอะไร”แม่ทัพวิศรุฒถามด้วยความสงสัย
“ตอนแรกมันหาว่าเราเป็นผู้หญิง มันก็เลยจะเอาข้าเป็นเมีย พอรู้ว่าเราเป็นผู้ชายมันเลยจะฆ่าเราไง”
“ทำไมเอ็งไม่บอกว่าผู้ชายก็เป็นเมียได้ เผื่อจะได้เป็นเมียโจร”
“ไม่ทันได้บอก”ยิวพูดไม่ทันคิด
“เอ็งนี่มันคนไร้ยางอาย เห็นเป็นผู้ชายก็จะจับทำผัวหมด”
“ท่านแม่ทัพ นายจะดูถูกเรามากเกินไปแล้วนะ”
“ข้าไม่ได้ดูผิดหรอก คนอย่างเอ็งเพื่อเอาตัวรอดยอมทำได้ทุกอย่าง”แม่ทัพวิศรุฒมีสีหน้าที่ครุ่นเคืองไม่พอใจ เขาก็ไม่รู้สาเหตุเหมือนกันว่าทำไมเขามีความคิดเช่นนั้น
“นายนี่มันบ้า เรายังไม่ได้เป็นเมียนายซักหน่อย ข้าก็ยังมีสิทธิที่จะไปกับคนอื่น”ยิวพูดขึ้นด้วยความโมโห
“ถ้างั้นก็ไปเลยไปหาไอ้โจรนั่นไปบอกมันเลย ว่าผู้ชายก็เป็นเมียได้ มันจะได้เอาเอ็งทำเมีย”
ยิวมองสีหน้าแม่ทัพวิศรุฒ ซึ่งเขาก็เห็นแววตาเคืองแค้นอยู่ในนั้น ยิวจึงไม่อยากเถียงเปลื่ยนมาตีเนียนเตาะแม่ทัพวิศรุฒแทน
“เราไม่ไปเราจะเป็นเมียท่านแม่ทัพ”
“ข้าไม่อยากได้เอ็งแล้ว คนหลายใจ ยังไม่ทันได้เป็นเมียก็แล่นหาผู้ชายไปทั่ว ถ้าได้เข้าไปในเมืองศิลานคร ซึ่งมีบุรุษเพศมากมาย เอ็งคงจะสมสู่ไม่เลือก”
“เพลี้ยะ”ยิวตบหน้าแม่ทัพวิศรุฒด้วยความโกรธ เพราะยิวอดใจไม่ไหวรู้สึกไม่พอใจกับคำพูดที่ดูถูกเขา
“เอ็งบังอาจมาตบหน้าข้า ไม่เคยมีใครทำเช่นนี้กับข้า”แม่ทัพวิศรุฒจับมือของยิวบีบแน่น
“เราเจ็บปล่อยนะ”
“เอ็งบังอาจมาตบหน้าข้า ทำแค่นี้ถือว่ายังน้อยไป คืนนี้ข้าจะให้เจ้านอนนอกเรือ”แม่ทัพวิศรุฒลากดึงยิวให้ออกไปนอกห้องในเรือ
“เราไม่ไปข้าจะนอนที่นี่ ข้างนอกหนาวจะตาย”
“เอ็งตบข้า นี่คือการสั่งสอนและบทลงโทษ ไม่ฆ่าเอ็งก็บุญนักหนาแล้ว”
“ถ้านายไม่ปล่อย เราจะจับนายทำผัว”
“หึ”แม่ทัพวิศรุฒหยุดทันที
“อยากซิท่า”
“ใช่ แต่จะมาทำตรงนี้ไม่ได้ เอ็งนี่มันไร้ยางอาย คิดทำการสิ่งใดเลิกคิดได้เลย”
“ก็ได้ นายต้องปล่อยเราก่อน”
แม่ทัพวิศรุมปล่อยมือยิวอย่างเต็มใจ ส่วนยิวถอนหายใจเฮือกใหญ่ เพราะเขาพ้นจากไปนอนนอกเรือ ยิวพยายามใช้สายตาให้น่าเอ็นดูเข้าไว้ เพื่อให้แม่ทัพวิศรุฒใจอ่อนกับเขา
“นอนเถอะดึกแล้ว ”แม่ทัพวิศรุฒปูเสื่อฟางและล้มตัวลงนอนหนุมหมอนที่ทำจากลูกมะพร้าว แล้วเขาก็หยิบเสื้อที่วางข้างๆหมอนโยนให้ยิว
“หมอนข้าล่ะ”ยิวพูดพลางหยิบเสื้อขึ้นมาใส่
“เรื่องมาก ถ้างั้นมานอนหนุนแขนข้าก็ได้”แม่ทัพวิศรุฒกางแขนออก
ยิวลังเลและแปลกใจในตัวของแม่ทัพวิศรุฒ ที่ยื่นแขนเพื่อให้เขาได้หนอนหนุนแทนหมอน ยิวยืนนิ่งอยู่ชั่วครู่หลังจากนั้นเขาก็ทำตามคำพูดของแม่ทัพวิศรุฒ ยิวจึงล้มตัวลงนอนบนแขนของแม่ทัพวิศรุฒ และนอนตะแครงหันหลังให้เขา ส่วนในใจของยิวนั้นคิดถึงหมอนนุ่มๆ ผ้าห่มอุ่นๆในห้องนอนของเขา
“รังเกียจข้าขนาดนั้นเลยเหรอ หันหน้ามาให้ข้าดูหน่อยซิ”
“จะดูทำไม”ยิวพลิกร่างนอนหงายทันที
“ทำไมจะดูหน้าว่าที่เมียข้าไม่ได้เหรอ”
“ได้ อยากดูก็ดูให้สมใจเลย”
“ดูแล้วก็เหมือนเดิม หันกลับไปได้แล้ว ข้าไม่อยากมองเอ็ง”คำพูดกับความรู้สึกของท่านแม่ทัพวิศรุฒนั้นแตกต่างกันสิ้นเชิง เพียงเขาได้เห็นหน้าของยิวจิตใจของเขาได้หวั่นไหว จนอยากจะโอบกอดร่างของยิว แต่เขาก็ไม่กล้าทำเช่นนั้น
ยิวหันร่างตะแครงให้แม่ทัพวิศรุฒจนเขาหลับไปในที่สุด ส่วนแม่ทัพวิศรุฒนั้นนอนคิดเรื่องราวต่อจากนี้จะเป็นเช่นไรเมื่อได้กลับบ้านเมืองของเขา และในช่วงเวลาไม่นานเขาก็หลับตามยิวไปในที่สุด
ยามเช้าแสงแดดสาดส่องเข้ามาภายในเรือ แม่ทัพวิศรุฒค่อยๆลืมตาขึ้นทีละนิด เมื่อเขารู้สึกตัว ก็พบกับยิวนอนตะแครงหันหน้ามาโอบกอดร่างของเขา ส่วนใบหน้าของยิวก็อยู่ติดชิดกัน ส่วนในตัวของเขานั้นก็โอบกอดร่างของยิวไว้ด้วยเช่นกัน
แม่ทัพวิศรุฒรู้สีกแปลกใจทำไมถึงเป็นเช่นนี้ไปได้ เป็นครั้งแรกที่เขาได้กอดผู้ชายในขณะเดียวกันเขาก็ไม่เคยโดนผู้ชายกอดมาก่อน ความรู้สึกของแม่ทัพวิศรุฒในช่วงเวลานี้ เขาอยากจะผลักร่างของยิวออก แต่เขามีความสุขที่ได้กอดร่างของยิวไว้ แม่ทัพวิศรุฒจึงยังไม่ปล่อยอ้อมกอดนี้ เขาจึงกอดไว้อยู่เช่นเดิม เพื่อรับความสุขที่ไม่เคยได้รับแบบนี้มาก่อน
“ท่านแม่ทัพตื่นได้แล้วมากินข้าวเช้า”ทันทหารคนสนิทเปิดผ้าม่านออกจนเผยเห็นภาพ แม่ทัพวิศรุฒนอนกอดกับยิวอยู่
แม่ทัพวิศรุฒได้สติคลายกอดยิวทันที และผลักร่างของยิวกระเด็นติดขอบเรือ หลังจากนั้นเขารีบลุกขึ้น
“แม่ทัพ”ทันอ้าปากค้าง
“มาผลักข้าทำไม กำลังฝันดีเลย”ยิวลุกขึ้นนั่ง
“ฝันถึงใครเหรอ หรือว่าฝันถึงท่านแม่ทัพ”ทันอมยิ้ม
“หุบปาก เดี๋ยวข้าออกไป”แม่ทัพวิศรุฒมองตาขวาง
“ขอรับ”ทันรับคำอมยิ้มปิดผ้าม่านทันที
แม่ทัพวิศรุมมองยิวด้วยใจที่สับสน เขาไม่แน่ใจว่าความรู้สึกที่มีให้ยิวนั้นใช่ความรักไหม เพราะแม่ทัพวิศรุฒยังคาใจเรื่องผู้ชายจะรักกันได้อย่างไร