บทที่ 5
โลกกลมหรือเวรกรรม
- ปัจจุบัน -
“ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะลูกสาวของพ่อ ไหนมาให้พ่อกอดหน่อยเร็ว” เสียงเข้มของผู้ทรงอิทธิพลทั้งยังถือครองตำแหน่งประธานของบริษัทเครื่องดื่มรายใหญ่ระดับประเทศเอ่ยขึ้นพร้อมกับอ้าแขนรับกอดอุ่น ๆ จากลูกสาวคนสวยที่เพิ่งบินกลับมาจากต่างประเทศ หลังจากเรียนจบได้ใบปริญญาโทมาประดับได้หมาด ๆ
“วาคิดถึงคุณพ่อที่สุดเลยค่ะ คิดถึงคุณแม่ด้วยน้า” หญิงสาวสวมกอดคนเป็นพ่อก่อนจะหันไปออดอ้อนคนแม่ของตัวเองที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ข้างกาย
วารีเรียนจบปริญญาโทจากต่างประเทศในวัยยี่สิบสี่ปี และเธอก็เพิ่งเดินทางกลับมาที่ประเทศโดยมีการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากครอบครัวที่เปรียบเสมือนทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเธอ หลังจากที่เรียนจบปริญญาตรีเธอก็ให้พ่อส่งไปเรียนที่ต่างประเทศอีกทั้งยังอยากนำความรู้มาบริหารธุรกิจของทางบ้านอีกด้วย
“แม่มีของขวัญสำหรับคนเก่งของแม่ด้วยน้า โยลูกเอาออกมาทีจ้ะ” หญิงวัยกลางคนหันไปเอ่ยกับลูกสาวคนเล็กทำให้วาโยที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ รีบเดินกลับเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ก่อนจะเดินออกมาพร้อมด้วยของบางอย่าง
“อะไรคะแม่ อะไรอะโย” หญิงสาวทำตาวาวด้วยความตื่นใจกับสิ่งตรงหน้า มันเป็นเพียงกล่องเล็ก ๆ แต่ก็พอจะรู้ว่าของชิ้นนี้นั้นจะต้องมีมูลค่ามากมายเป็นแน่!
“เปิดดูสิพี่วา พี่วาต้องชอบแน่”
“ใช่ลูก แกะดูเลย”
วารีฉีกยิ้มกว้างจนแทบถึงหูเมื่อเห็นสิ่งของตรงหน้า มือเล็กจัดการเปิดดูของด้านในกล่องแต่ทว่าเป็นต้องชะงักและเงยหน้ามองคนเป็นแม่ด้วยความตกใจ
“อะ...อะไรกันคะ กุญแจรถ...” เธอหยิบมันออกมาพลางมองหน้าแม่และของสิ่งนั้นสลับกันจนยุ่งไปหมด หากดูดี ๆ นี่มันเป็นกุญแจรถรุ่นโปรดที่เธอใฝ่ฝันอยากได้ ทั้งยังเคยออดอ้อนขอให้บุพการีซื้อให้แต่ก็โดนปฏิเสธกลับมาทุกรอบ
“ของขวัญของคนเก่งจ้ะ นั่นไง มาพอดี” วงแขนเล็กโอบกอดลูกสาวตัวน้อยเอาไว้เมื่อเห็นหยาดน้ำตาที่รื้นรอบดวงตา แต่ไม่นานประตูรั้วบ้านก็เปิดแยกออกด้วยระบบไฟฟ้า หลังจากนั้นรถยนต์คันใหญ่ของแบรนด์รถหรูก็ค่อย ๆ ขับเคลื่อนเข้ามาบริเวณลานกว้างหน้าตัวบ้านตามที่พ่อของหญิงสาวได้นัดแนะเอาไว้
“จริงเหรอคะแม่ นี่เรื่องจริงเหรอ” วารีเอ่ยเสียงแผ่วจดจ้องมองรถยนต์คันหรูที่กำลังนำลงจากรถคันใหญ่อย่างเชื่องช้า ราวกับว่าหลุดอยู่ในห้วงความฝันเพราะรถยนต์ที่อยู่ตรงหน้าเป็นคันที่เธอใฝ่ฝันอยากครอบครองมานานแสนนาน
“จริงสิลูก พ่อกับแม่ซื้อให้เป็นของขวัญในวันเรียนจบ”
“แบบนี้โยน้อยใจแย่เลยสิคะ ไหนของโยล่ะ” วาโยเอ่ยอย่างไม่จริงจังนักพลางสวมกอดคนเป็นแม่อย่างนึกออดอ้อน
“ไว้ลูกทำตัวน่ารัก ๆ กับแม่ แม่ก็จะมีของขวัญให้เหมือนกันจ้ะ”
“แล้วปกติโยไม่น่ารักเหรอคะ”
“น่ารักจ้ะลูก ลูกของแม่น่ารักที่สุด...แต่ดูโน่นก่อนเถอะ พี่สาวเราแทบจะจูบกับรถอยู่แล้วนะนั่น” พอกอดปลอบลูกสาวคนเล็กได้ไม่นานก็ต้องหลุดขำเมื่อเห็นท่าทางของลูกสาวคนโตที่ตอนนี้ตื่นเต้นดีใจที่ได้รถยนต์คันใหม่ ตอนนี้ทั้งกอดทั้งจูบประทับที่ประตูรถจนคนที่มองก็อดยิ้มตามไม่ได้
“ลูกสาวคนนี้นี่จริง ๆ เลย วามาหาพ่อก่อนลูก พ่อมีอะไรจะบอก”
หญิงสาวรีบวิ่งเข้ามาสวมกอดคนเป็นพ่อเมื่อถูกเรียก ตอนนี้แทบไม่ได้ยินอะไรแล้วเพราะมัวแต่หลงใหลกับความสวยงามของรถคันหรูตรงหน้าและอยากประเดิมไมล์แรกเป็นบุญสักที
“อะไรเหรอคะพ่อ”
“ลูกเรียนจบแล้วก็ต้องมาช่วยพ่อดูแลบริษัทนะลูก” มือหนาลูบที่เรือนผมนุ่มของวารีอย่างอ่อนโยน ซึ่งเธอเองก็ได้แต่พยักหน้ารับเพราะตั้งใจจะมาบริหารธุรกิจของครอบครัวอยู่แล้ว
“ค่ะพ่อ วาตั้งใจไว้แล้วค่ะ พ่อไม่ต้องเป็นห่วงนะคะวาจะใช้ความรู้ทั้งหมดมาช่วยบริหารบริษัทของเราเองค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มงานพรุ่งนี้เลยไหมล่ะ ไปลองดูสถานที่จริงดูก่อน”
“หืม พรุ่งนี้เลยเหรอคะ” หญิงสาวทำหน้าแปลกใจ คิดว่ามันเร็วไปแต่ก็ไม่ได้มองว่ามันจะเป็นปัญหาของตัวเธอมากนัก
“ใช่ลูก ไปดูที่ดูทาง ที่ทำงานอยู่ชั้นไหน ต้องทำอะไรบ้าง แต่ยังไม่ได้ให้เริ่มจริงหรอก”
“ก็ได้ค่ะ พรุ่งนี้ก็ได้” เธอตอบรับคำอย่างง่ายดาย หากไปดูสถานที่ก่อนก็คงไม่ได้หนักหนาอะไร
“แต่พ่อต้องบอกวาอีกอย่างหนึ่ง ตำแหน่งที่วาต้องทำน่ะคือตำแหน่งประสานงานนะลูก”
“ประสานงาน?” หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้นพร้อมกับรีบหันมองหน้าคนเป็นพ่อด้วยความตกใจ หลังจากนั้นก็หันไปหามารดาเพื่อหาตัวช่วยแต่ดูเหมือนว่าทั้งสองคนจะได้พูดคุยกันมาก่อนและเห็นดีเห็นงามว่าเธอควรดำรงตำแหน่งนี้ตั้งแต่แรก
“อ้าว ทำไมถึงให้พี่วาทำตำแหน่งนั้นล่ะคะ” เป็นฝ่ายวาโยที่เอ่ยถามขึ้นด้วยความแปลกใจ เธอคิดว่าพี่สาวของเธอจะได้นั่งตำแหน่งผู้บริหารเพราะได้ผลพวงมาจากการเป็นลูกสาวของประธานบริษัทเสียอีก
“นั่นสิคะพ่อ ทำไมต้องตำแหน่งนี้ด้วย วาเป็นลูกพ่อนะ”
“ก็เพราะว่าเป็นลูกพ่อนี่แหละ พ่อถึงต้องให้วาอยู่ตำแหน่งนี้”
“แม่ขา แม่ช่วยวาด้วยสิคะ” วารีรีบเข้าไปออเซาะแม่ของตัวเองเมื่อรู้ดีว่าตอนนี้พ่อของเธอไม่ยอมเปลี่ยนใจแน่ หากลองใช้สายตาหวาน ๆ เสียหน่อยก็คงทำให้เปลี่ยนใจได้ไม่ยาก
“เชื่อพ่อเขาเถอะลูก แม่เองก็เห็นด้วยนะที่วาได้อยู่ตำแหน่งนี้ การจะเป็นผู้บริหารได้วาต้องเข้าใจการทำงานก่อนนะลูก”
“แต่...”
“ไม่มีแต่ พ่อคิดมาดีแล้ว ถ้าลูกทำงานดีเรียนรู้ไว พ่อก็จะพิจารณาตำแหน่งให้ใหม่อีกครั้ง”
คำพูดนั้นทำให้วารีจำต้องหยุดการเอื้อนเอ่ยในทันทีเพราะรู้ดีว่าต่อให้พูดคำใดออกไปก็ไม่สามารถเปลี่ยนใจของคนเป็นพ่อได้ ดีไม่ดีหากโวยวายไปมากกว่านี้พ่อของเธออาจจะจับเปลี่ยนให้เธอย้ายมาเป็นพนักงานธรรมดาเพื่อสั่งสอนลูกสาวจอมดื้อก็เป็นได้!
วัดถัดไป
รถยนต์คันหรูจอดเทียบด้านหน้าของบริษัทใจกลางเมืองหลวงพร้อมด้วยคนอื่น ๆ ที่มายืนต้อนรับด้วยใบหน้าแช่มชื่นสำหรับผู้บริหารสูงสุดที่มักจะมาเยี่ยมเยียนที่บริษัทใหญ่อยู่น้อยครั้ง
เนื่องด้วยวันนี้พ่อของวารีจำต้องพาลูกสาวมาที่บริษัทเพื่อฝากฝังให้ช่วยดูแลและรวมถึงสอนการทำงานให้กับเธอด้วย ส่วนตำแหน่งประธานบริษัทจะอยู่ที่บริษัทเล็กประจำจังหวัดบ้านเกิดซึ่งก็คือสระบุรี เนื่องด้วยอายุและโรคต่าง ๆ เลยไม่สะดวกที่จะเดินทางไปไหนได้มาก
“สวัสดีครับคุณมานพ สวัสดีครับคุณวารี” เสียงของชายวัยกลางคนเอ่ยขึ้นพลางโค้งศีรษะลงเล็กน้อยเมื่อทั้งวารีและพ่อของเธอเดินลงมาจากรถ ทำให้หญิงสาวยกมือไหว้ตอบรับคนตรงหน้าอย่างนอบน้อมรวมไปถึงคนอื่น ๆ ที่ยืนอยู่ด้วยเช่นกัน
“สวัสดีค่ะ หนูชื่อวารีนะคะ เป็นลูกสาวคนโตของคุณพ่อค่ะ” หญิงสาวเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร เธอสามารถเข้ากับคนอื่นได้ง่ายอีกทั้งยังรู้หน้าที่ของตัวเองดี การเริ่มต้นมาบริษัทครั้งแรกก็อยากให้เกิดความประทับใจกับคนอื่น ๆ มากที่สุด
“เข้าไปด้านในกันเลยไหมครับ ผมจัดเตรียมทุกอย่างไว้หมดแล้ว” ชายตรงหน้าผายมือไปยังด้านในก่อนจะเดินนำเข้าไปทำให้วารีและพ่อของเธอเดินตามไปเงียบ ๆ พลางมองรอบ ๆ บริษัทที่ถูกตกแต่งอย่างหรูและเป็นระเบียบ
เธอจำได้ว่าเคยเข้ามาที่บริษัทใหญ่เมื่อหลายปีก่อนแล้วก็ไม่ได้มาที่นี่อีกเลย จนกระทั่งวันนี้เธอมาในฐานะลูกสาวของท่านประธานบริษัทรวมไปถึงตำแหน่งผู้ประสานงานที่พ่อของเธอเป็นคนจัดแจงให้โดยไม่ถามความสมัครใจอีกด้วย
วารีเดินตามแผนกต่าง ๆ พร้อมทั้งได้รู้จักกับคนอื่นตามแผนกมากมาย รวมถึงโต๊ะทำงานของเธอที่ได้จัดเตรียมไว้ในส่วนฝ่ายประสานงาน หญิงสาวเรียนรู้ทุกอย่างและตั้งใจฟังสิ่งที่พ่อและผู้จัดการแนะนำอย่างเต็มใจเพราะถือว่าตอนนี้เธอไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธอะไรได้แล้ว อีกทั้งยังไม่อยากทำให้หน้าที่ของตัวเองต้องพังไม่เป็นท่าโดยที่ยังไม่ได้ลงมืออะไรเลยสักอย่าง
จนกระทั่งเวลาผ่านไปหลายชั่วโมงทุกอย่างก็จบลง หญิงสาวขอตัวไปเข้าห้องน้ำเมื่อได้เวลากลับแล้ว ขาเล็กก้าวฉับ ๆ ตรงไปตามทางเมื่อเห็นป้ายห้องน้ำที่ติดอยู่บนผนัง ใบหน้าหวานก้มลงมองที่เสื้อผ้าของตัวเองเล็กน้อยซึ่งเป็นจังหวะที่กำลังเดินเข้าไปในห้องน้ำพอดี
แต่ทว่า...
“เฮ้ย! เชี่ยไรวะ!” เสียวเข้มร้องอุทานออกมาพลันทำให้คนตัวเล็กเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจสุดขีด
แววตาหวานกวาดมองรอบ ๆ ก่อนจะหยุดอยู่ที่ชายคนตรงหน้าที่ตอนนี้กำลังทำธุระส่วนตัวอยู่อีกทั้งยังหันร่างกายมาหาเธอทำให้เห็นของสงวนส่วนล่างแบบไม่ได้ตั้งใจอีก!
“กรี๊ด!!!!” วารีกรีดร้องสุดเสียงพร้อมกับรีบยกมือขึ้นปิดตาตัวเองเมื่อเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็นของคนตรงหน้า
“เฮ้ย ยัยบ้านี่!” ร่างสูงรีบการจัดตัวเองให้เสร็จก่อนจะเดินเข้ามากระชากที่ต้นแขนเล็กของหญิงสาวที่ยังกรีดร้องไม่หยุด ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วตัวเขาเองมากกว่าที่ควรเป็นคนร้องโวยวาย
“ไอ้บ้า ไอ้โรคจิต ไอ้หื่นกาม ไอ้...อื้อ!” คำด่าทอถูกกลับคืนในลำคอเมื่อมือหนาปิดปากเล็กเอาไว้แน่นทั้งยังออกแรงบีบที่ต้นแขนของเธอเพื่อให้หยุดส่งเสียงโวยวายเสียที
“เฮ้ย นี่เธอ...!” พลันเมื่อเห็นใบหน้าหวานชัด ๆ เป็นต้องเบิกตากว้าง ซึ่งประโยคนั้นทำให้วารีเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มตรงหน้าในทันที
“อื้อ!” เธอเองก็มีท่าทีไม่แตกต่างจากเขาเท่านั้น หญิงสาวรีบผลักคนตรงหน้าออกก่อนจะชี้นิ้วไปที่เขาพลางร้องตกใจเพราะเขาคือคนที่เธอรู้จัก!
“นี่เธอ...”
“ไอ้พี่พยัคฆ์!”
เขาคือพยัคฆ์ รุ่นพี่หนุ่มที่เป็นเพื่อนสนิทของนอร์ทคนคุยเก่าที่เคยมีอดีตฝังใจจนทำให้เธอเจ็บปวดจนถึงทุกวันนี้
ใช่...เธอจำเขาได้!
“ฮะ?” ชายหนุ่มเลิกคิ้วมองคนตัวเล็กด้วยความแปลกใจกับสรรพนามที่เธอเรียกเขาแต่ไม่นานก็ต้องเลิกสนใจและยิงคำถามใส่เพราะที่อยู่ในตอนนี้มันไม่เหมาะสมเท่าไหร่นัก
“มาทำอะไรที่นี่ เป็นโรคจิตรึไงวะ”
“ฉันต้องถามพี่มากกว่าว่ามาทำอะไรที่นี่ เดี๋ยวนี้กลายเป็นไอ้โรคจิตแล้วรึไงถึงได้มาโชว์ของสงวนให้คนอื่นเห็นน่ะ!”
“ยัยบ้า! นี่มันห้องน้ำชาย เธอต่างหากที่เดินเข้ามาเอง” ร่างสูงตวาดออกมาพลางเท้าเอวมองหญิงสาวอย่างไม่สบอารมณ์
“ฮะ!? ห้องน้ำชาย?”
“เออ!”
ใบหน้าหวานหันขวับมองรอบ ๆ จนแน่ใจแล้วก็ได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ และกะพริบตาปริบ ๆ อยากทุบตีตัวเองแรง ๆ ที่เดินไม่มองทางจนทำให้เผลอเข้ามาในห้องน้ำของผู้ชายแบบนี้
น่าขายหน้าจริง ๆ เลย!
พลั่ก!
“มีอะไรกันครับ ผมได้ยินเสียงโวยวายดังมากเลย” ประตูห้องน้ำเปิดออกตามด้วยร่างสูงของผู้จัดการที่เพิ่งพบเจอกันเมื่อครู่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตกใจ
“ยัยนี่เดินเข้ามาในห้องน้ำชายแล้วบอกว่าผมเป็นโรคจิต”
“นี่!” วารีชักสีหน้าใส่ด้วยความหงุดหงิดเมื่อถูกกล่าวหา เธอเพียงแค่เข้าใจผิดเท่านั้นทำไมจะต้องออกปากฟ้องคนอื่นด้วย
“เอ่อ คุณวารีครับ...”
“ฉันเดินไม่มองทางเองค่ะ ต้องขอโทษด้วย...ฉันขอโทษคุณด้วยค่ะ ไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ” วารีเอ่ยกับผู้จัดการก่อนจะตัดสินใจหันไปขอโทษกับพยัคฆ์พร้อมกับโค้งศีรษะลงเพราะรู้ตัวว่าตัวเองนั้นผิดจริง ๆ แม้ว่าจะไม่เต็มใจก็ตามแต่เธออยากจบปัญหาตรงนี้ให้เร็วที่สุด
“ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ เอ่อ...แล้วนี่คุยกับทางฝ่ายประสานงานเรียบร้อยแล้วเหรอครับคุณพยัคฆ์”
“คุยเสร็จแล้วครับ” ชายหนุ่มพยักหน้ารับเบา ๆ แต่สายตาก็ยังคงมองไปที่หญิงสาวที่ตอนนี้ยังคงมีความหยิ่งผยองปรากฏอยู่จนนึกหมั่นไส้
“งั้นดีเลยครับ ผมอยากแนะนำให้รู้จักกับคุณวารี คุณวารีเธอจะมาเป็นหนึ่งในทีมประสานงานคนใหม่ครับ รู้จักกันไว้เวลาทำงานจะได้...”
“ไม่จำเป็นหรอกครับ” ทว่าเสียงเข้มเอ่ยแทรกขึ้นในทันทีพลันทำให้ใบหน้าหวานหันขวับและขมวดคิ้วยุ่งมองคนตัวโตอย่างไม่พอใจ
“ทะ...ทำไมล่ะครับ”
“เพราะผมปฏิเสธกับทางฝ่ายประสานงานไปแล้ว พวกผมขออนุญาตไม่รับงานนี้นะครับ ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ”
หญิงสาวมองคนตรงหน้าด้วยความแปลกใจ เธอไม่เข้าใจในบทสนทนาตอนนี้ว่าคืออะไรกันแน่ แล้วทำไมพยัคฆ์ถึงต้องมาทำร่วมงานกับบริษัทของเธอด้วยทั้งที่ดูแล้วไม่น่าจะมีความเกี่ยวข้องอะไรกับเขาเลยสักนิด
“ตะ...แต่ว่า...”
“ผมขอตัวก่อนนะครับ” สิ้นประโยคร่างสูงก็เดินออกไปด้วยท่าทีเรียบเฉยซึ่งแตกต่างจากผู้จัดการที่ยืนอยู่ข้างกายของหญิงสาวที่ตอนนี้มีสีหน้าเจื่อนลงและดูเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด
วารีมองตามแผ่นหลังกว้างที่เดินออกไปแต่ภายในใจก็ยังคงสับสนและมีคำถามมากมาย ทั้งยังแปลกใจที่ได้พบเจอกับคนที่เกลียดขี้หน้าเมื่อหลายปีก่อนในตอนนี้อีกด้วย
โลกกลมหรือว่าเป็นเวรกรรมของเธอก็ไม่รู้!