บทที่ 12
โฟร์ดรีมครบทีม
PHAYUK’S PART ;
“จะกลับแล้วเหรอคะ อยู่ต่ออีกวันไม่ได้เหรอ” เสียงอ่อนหวานพร้อมทั้งวงแขนเล็กโอบกอดร่างกายผมจากทางด้านหลังทำให้ผมหยุดการกระทำจากการเก็บข้าวของไปชั่วครู่และหันกลับไปหาคนตัวเล็ก
“อืม ผมมีธุระกับที่บ้านน่ะ แต่ก่อนกลับบ้านไอ้ภีมมันก็นัดคุยเรื่องงานด้วย” ผมเอ่ยบอกและสวมกอดตอบรับคนตัวเล็กบาง ๆ
ตอนนี้ผมอยู่ที่คอนโดฯ ของเนมหรือผู้จัดการของวงนั่นแหละ และใช่...ผมกับเธอมีความสัมพันธ์ที่เกินเลยกันมากกว่านั้น ความสัมพันธ์ของเราเริ่มต้นจากอะไรผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน รู้เพียงว่าเธอสมัครเข้ามาที่บริษัทอีกทั้งในตอนนั้นทางค่ายก็ต้องการผู้จัดการวงให้กับพวกผมพอดี มันเลยทำให้ผมและเธอได้เจอกัน
ตอนแรกผมก็ไม่ได้รู้สึกอะไรหรอก แต่พอทำงานด้วยกันรวมถึงใกล้ชิดกันมากขึ้นก็ทำให้ความสัมพันธ์ของผมและเธอเริ่มต้นขึ้นอย่างง่ายดาย แต่ความสัมพันธ์ของเราไม่มีสถานะอะไรหรอก ผมและเธอต่างก็มีความต้องการเหมือนกันนั่นก็คือ ‘เซ็กซ์’
แต่ไม่ใช่ว่าผมจะคิดแต่เรื่องนั้นอย่างเดียวหรอกนะ ผมให้เกียรติเธอเสมอ เพียงแค่เราไม่มีสถานะกันเท่านั้น และผมก็ไม่กล้ายืนยันได้ว่าเธอจะเป็นคนรักในอนาคตของผมหรือเปล่าแต่รู้เพียงว่าสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้มันลงตัวมาก ๆ แล้ว
อีกทั้งเรื่องของผมกับเนมก็ไม่ได้ปิดบังอะไรกับเพื่อน ๆ ของผม แต่ครั้งแรกที่บอกก็ทำให้พวกมันตกใจไม่น้อยเลยล่ะ เพราะเนมไม่ใช่สเป๊กผมเลย และในตอนแรกที่เจอกันผมก็ไม่ได้รู้สึกสะดุดตาอะไรด้วย แต่ก็นั่นแหละ...อาจเป็นเพราะความใกล้ชิดเลยทำให้ผมรู้สึกชอบขึ้นมาเธอมั้ง
“เนมคงคิดถึงคุณแย่ คืนนี้ไม่ได้นอนกอดคุณก็คงนอนไม่หลับ” ริมฝีปากบางทาบทับที่แก้มของผมพร้อมกับวงแขนของเธอที่โอบรัดคอหนาพลันทำให้ใบหน้าของผมและเธอใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น
“เดี๋ยวอีกสองวันผมก็จะมาค้างด้วย คุณไม่ต้องคิดมากหรอก”
“ถ้าอย่างนั้น...” เสียงหวานเอ่ยแผ่วเบาที่ข้างหูของผมขณะที่นิ้วเรียวยาวก็แตะสัมผัสไล้ไปตามแผงอกแกร่งอย่างเย้ายวนจนกระทั่งมันสัมผัสเข้ากับกลางกายของผมเพื่อปลุกตื่นมันอีกครั้ง
“...ก่อนคุณจะไปเรามาทำ อ๊ะ...!”
หมับ!
พรึ่บ!
ผมรวบเอวบางเข้าหาตัวก่อนจะจัดการโอบอุ้มร่างแน่งน้อยไว้ในอ้อมแขนอย่างรวดเร็วและเดินตรงเข้าไปยังห้องนอนทันที
ไม่รู้ทำไม...เวลาที่เธอสัมผัสตัวผมมันกลับทำให้ผมไม่สามารถอยู่ห่างจากเธอได้เลย อยากสัมผัส อยากคลอเคล้า และอยากดูดดึงเธอซ้ำ ๆ จนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้
“คุณยั่วผมเก่งจังเลยนะ” ผมเหยียดยิ้มที่มุมปากขณะที่ใบหน้าก็คลอเคลียอยู่กับซอกคอขาวของเธอ
“แล้วไม่ชอบเหรอคะ...เนมก็ยั่วกับแค่คุณนั่นแหละ อ๊ะ...อย่าดูดสิคะ เดี๋ยวเป็นรอย”
“ผมไม่สน เพราะนี่คือบทลงโทษของคนขี้ยั่วอย่างคุณ”
สิ้นประโยคผมก็จัดการกับคนตัวเล็กใต้ร่างอย่างสาสมราวกับสัตว์ป่าหิวโหยที่ต่อให้กัดกินเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักอิ่ม อีกทั้งในตอนนี้ยังไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป พลันได้สัมผัสกับเนื้อสาวยิ่งเหมือนเป็นไฟสวาทที่สุมเติมให้ลุกโชนและต้องการเธอซ้ำ ๆ จนไม่อาจหักห้ามใจตัวเองได้
หรือผมจะรักเธอเข้าแล้ว...แต่ไม่ใช่ ไม่สิ...ไม่รู้ต่างหาก ผมไม่รู้เลย ไม่รู้เลยว่าตอนนี้ตัวเองรู้สึกยังไงกันแน่
“เฮ้ย ๆ ไอ้เสือมันมาแล้วโว้ย เฮ! โฟร์ดรีมครบทีมสักทีครับท่านผู้ชม!”
“กว่าจะมานะมึง พวกกูแม่งนั่งรอจนรากงอกแล้วเนี่ย” ทันทีที่ผมก้าวขาเข้าไปในบ้านของไอ้ภีมเสียงของมันก็ดังขึ้นทำให้เพื่อนคนอื่น ๆ ต่างก็หันหน้ามามองผมเป็นสายตาเดียว
“มึงก็รู้ว่าช่วงนี้ไอ้เสือมันติดสาว” ไอ้ออกัสเสริมขึ้นอีกเสียงทำให้ผมรีบหยิบหมอนใกล้มือปาใส่มันโทษฐานที่ปากมาก
“หุบปากพวกมึงไปเลย”
“กับคนนี้จริงจังใช่ไหม” ประโยคของไอ้ครามทำให้ผมเงียบไป
ที่เงียบไม่ใช่อะไรหรอก เพราะผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจริงจังกับเธอมากแค่ไหน
“เงียบทำไมวะ”
“กูไม่รู้” ผมผ่อนลมหายใจออกมาหนัก ๆ ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนบนโซฟาตัวยาวเพื่อคิดทบทวนเรื่องของผมกับเนม
จริงอยู่ที่ตอนนี้ผมหลงเธอยิ่งกว่าอะไร แต่ทำไมความรู้สึกของผมมันตะโกนลึก ๆ ว่าผมไม่ได้รักเธอกันนะ...
ใช่...ผมเห็นแก่ตัวมากใช่ไหม แต่ก็นั่นแหละ ผมรู้สึกแบบนั้นจริง ๆ
ผมเคยคิดจะตัด เคยคิดจะยุติความสัมพันธ์แต่ไม่นานผมก็เปลี่ยนความคิดนั้นไปทันที เพียงแค่เจอหน้าเธอผมกลับต้องการเธอจนไม่สามารถเลิกรากับเธอได้ จนกระทั่งมันยืดเยื้อมานานถึงสองปี
สองปี...สองปีที่ผมและเธอไม่มีสถานะอะไรผูกมัด แต่กลับเป็นความรู้สึกและตัวของผมเองที่เข้าไปผูกมัดกับเธอจนตัดความสัมพันธ์นี้ไม่ขาด
“เป็นเอามากนะมึง กูว่ามึงรักเขาแล้วล่ะไม่งั้นก็คงอยู่ไม่นานขนาดนี้ แต่น่าแปลกว่ะกูคิดไม่ถึงเลยว่ามึงกับเนมจะลงเอยกันได้”
“เออ กูก็คิดเหมือนมึง แต่ก็นะ เพื่อนเรามันชอบเขาไปแล้วนี่หว่า แถมยังดูคลั่งรักมากซะด้วย”
“เลิกเสือกเรื่องของกูได้แล้ว ที่นัดมามีอะไรรีบ ๆ พูดมา พ่อกูโทรตามหลายสายแล้วเนี่ย” ผมตัดประโยคเพื่อให้พวกมันเลิกพูดเรื่องของผมสักที พอถูกพวกมันถามเรื่องนี้ทีไรก็เป็นตัวผมเองนี่แหละที่รู้สึกอึดอัด
แล้วไอ้เพื่อนตัวดีก็แม่งขี้เสือกสัส ๆ เค้นถามอยู่นั่นแต่เรื่องของตัวเองยังเอาตัวไม่รอด!
เหอะ ไอ้พวกกาก!
“ความจริงแล้วกูไม่ได้จะคุยเรื่องงานหรอก”
ประโยคนั้นทำให้ผมรีบหันขวับไปมองไอ้ภีมในทันที แถมสีหน้าของมันในตอนนี้ยังดูจริงจังและเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด
“เรื่องไร”
“เรื่องงานวันเกิดเมื่อวันก่อน”
เรื่องนี้เองสินะ...ผมเหยียดยิ้มที่มุมปากในทันทีเมื่อนึกถึงเรื่องราวในวันนั้น
วงพวกผมไปร้องเพลงที่งานวันเกิดของไฮโซคนหนึ่งและงานนั้นได้จัดธีมหมอดูขึ้นตามความชอบของเจ้าของงาน แต่พอผมร้องเพลงจบก็ดันเจอเข้ากับยัยวารีที่รับบทเป็นแม่หมอดูดวง อีกทั้งเธอยังบอกว่าผมมีดวงวิญญาณตามติดด้วยแรงอาฆาต
ซึ่งนั่นทำให้ผมสติแตกและตวาดเธอเสียงดังด้วยความโมโหจัดจนไอ้ครามกับไอ้กัสต้องรีบลากผมออกมาจากงานเพราะกลัวว่าจะเป็นข่าวให้เกิดความเสียหายของภาพลักษณ์วง
และแน่นอนว่าภาพที่ผมตวาดเธอก็ออกมาให้เห็นตามอินเทอร์เน็ต แต่แล้วไม่นานก็ถูกลบเพราะทางค่ายผมเป็นฝ่ายปิดข่าวไว้ก่อนที่จะมันถูกแชร์เป็นวงกว้างมากกว่านี้
“ทำไม” ผมเอ่ยถามคนตรงหน้าด้วยท่าทางเรียบเฉยและไม่คิดสนใจอะไร
แล้วไงล่ะ ผมรู้นะว่าผมผิดที่ไปตวาดยัยนั่นน่ะ แต่ต้นเหตุก็เป็นเพราะเจ้าหล่อนไม่ใช่เหรอที่ทำให้ผมต้องโมโหแบบนี้
ทั้งที่จริงผมเองก็ไม่ใช่คนที่โมโหร้ายอะไร จริงอยู่ที่อาจจะใจร้อนหรือปากหนักไปหน่อยแต่ผมก็ไม่เคยควบคุมตัวเองไม่ได้แบบนั้น พอสงบสติอารมณ์กับตัวเองได้ก็นึกแปลกใจเหมือนกันว่าทำไมอยู่ ๆ ถึงทำให้ผมต้องแสดงออกไปแบบนั้นด้วย
แต่ก็ช่าง...ผมทำมันไปแล้ว และก็กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ด้วย
“วันนั้นมึงเป็นอะไรวะ ทำไมถึงโมโหแบบนั้น รู้ไหมว่าเฮียแม่งด่ากูเปิงเลยเนี่ย”
‘เฮีย’ ที่ว่าก็เป็นเจ้าของค่ายนั่นแหละ เฮียเป็นรุ่นพี่ของผม รู้จักกันมาหลายปีแล้วจนเฮียได้ชักชวนผมเพื่อนมาเซ็นสัญญาที่ค่ายในฐานะศิลปิน
“กูก็ไม่รู้ รู้แค่ว่าโคตรโมโห”
“ปกติมึงไม่ใช่คนแบบนี้นี่หว่าไอ้เสือ คราวหน้าก็หัดควบคุมอารมณ์ตัวเองหน่อย ดีนะที่ภาพยังไม่หลุดไปไกลน่ะ กูไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าวงเราแม่งติดเทรนทวิตเตอร์ขึ้นมาจะทำยังไง”
“มึงก็เวอร์เกินไอ้กัส” ผมส่ายหน้าอย่างเอือมระอากับความคิดของมัน ผมตวาดไปแค่นั้นก็คงไม่ถึงกับเป็นเรื่องใหญ่โตหรอกมั้ง
“ไม่เวอร์นะเว้ย ถ้าเกิดถึงขั้นนั้นจริง ๆ วงเราจบเห่แน่ กูยังอยากตีกลองแบบนี้อยู่นะยังไม่อยากไปทำงานบริษัทของพ่อกู ไม่ไหวอะ แม่งไม่ใช่ทาง”
ไอ้กัสรีบพูดเสริมขึ้นมาพลางส่ายหน้าอย่างนึกขยาด แต่ผมเองก็เข้าใจพวกมันนะ เพราะตัวผมเองก็ไม่ต่างจากพวกมันเท่าไหร่หรอก
ผมกับคนอื่น ๆ มีธุรกิจของทางบ้านรองรับอยู่แล้วซึ่งแน่นอนว่าทางบ้านก็ยิ่งอยากให้กลับไปช่วยบริหารทั้งนั้น แต่ติดตรงที่ว่าพวกผมมันรั้นนั่นแหละ อยากเดินทางที่ตัวเองชอบเลยทำให้พวกเราหันมาจริงจังกับการตั้งวงดนตรีอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
“กูรู้น่า กูไม่ทำวงที่กูสร้างมากับมือต้องพังลงหรอก วันนั้นกูรู้ว่ากูอารมณ์ร้อนเกินไป แต่คราวหน้ากูจะไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกแน่นอน พอใจรึยังครับไอ้เพื่อนเวร!”
“แต่พรุ่งนี้มึงจะต้องเจอกับน้องวานะ กูหวังว่ามึงคงไม่ตวาดน้องเขาอีกใช่ไหม”
“ถ้ายัยนั่นไม่พูดจาเพ้อเจ้อไร้สาระกูก็ไม่ทำแน่นอน” ผมไหวไหล่เบา ๆ และตอบออกไปอย่างไม่คิดใส่ใจ ถ้ายัยนั่นไม่มายุ่งกับผม ตัวเองผมเองก็ไม่คิดอยากจะสนทนาด้วยอยู่แล้ว
“เออดี ท่องไว้ว่ามันเป็นงาน รับงานนี้ได้เงินเยอะกว่าร้องเพลงอีกนะเว้ย”
“พูดเหมือนร้อนเงินอะไอ้สัส”
“ร้อนดิวะ บริษัทพ่อมึงก็แม่งเอารถตัวใหม่มาอีกแล้ว ใจคอจะไม่ให้กูเก็บเงินบ้างเลยรึไง” ไอ้ภีมนี่แหละเป็นลูกค้าตัวยงของบริษัทพ่อผมเลยล่ะ ปากบ่นไม่มีเงินแต่ผมก็เห็นว่ามันเก็บทุกรุ่นไม่เคยพลาด
“เฮ้ยพวกมึง กูกลับก่อนนะ” เสียงของไอ้ครามแทรกขึ้นก่อนที่มันจะเดินไปหยิบกุญแจที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา
“ไปไหนวะ ทำไมรีบร้อนแบบนั้น”
“ไปดูครีมหน่อย ไม่รู้ว่าตื่นมากินข้าวรึยัง”
“โอ๊ย! ไอ้เวร น้องสาวมึงโตแล้วนะเว้ยจะห่วงอะไรนักหนา ถ้าจะขนาดนั้นก็เอาใส่กระเป๋ามาด้วยเลยมา” ไอ้ออกัสตะโกนออกไปเมื่อเห็นว่าไอ้ครามรีบร้อนออกไปราวกับมีเรื่องใหญ่โตทั้งที่เป็นแค่เรื่องของน้องสาวตัวเองเท่านั้น
“กูไม่อยากให้น้องกูเข้าใกล้พวกมึง พวกมึงมันคนเหี้ย”
“อ้าวไอ้สัสนี่!” ความจริงผมจะไม่อะไรเลยถ้าไอ้คำว่า ‘คนเหี้ย’ ที่ออกมาจากปากมันน่ะจะเป็นช่วงจังหวะที่มันหันหน้ามามองผมพอดี
ไอ้เพื่อนเวรนี่แม่งหลอกด่าผมอยู่รึเปล่าวะ!
PHAYUK’S PART ; END