“หรือท่านไม่อยากกินอาหารที่ข้าทำ กลัวข้าจะผสมยาพิษหรืออย่างไร” บัวโพล่งขึ้นความทรงจำเดิมบอกเธอว่าทั้งสองไม่ถูกกันและเขาก็อยากจะเลิกกับเธอมาตลอดตั้งแต่คลอดลูกคนที่สอง แต่ยิ่งบัวรู้ว่าสมิงไม่รักและลูกทั้งสองก็เห็นดีเห็นงามไปกับเขาด้วยเธอก็ยิ่งอยากแก้แค้นและไม่ยอมเลิกรากับสามีง่าย ๆ
“หญิงโง่เขลาเช่นเจ้า คงไม่มีปัญญาหายาพิษมาใส่ในอาหารให้ข้ากินหรอก” สมิงมองภรรยาด้วยสายตาดูถูก ปกติหญิงผู้นี้ไม่เคยใช้ปัญญาถนัดแต่ใช้แรงรังแกผู้อื่นไม่เว้นแม้แต่ลูกในไส้ แต่กับเรื่องงานกลับไม่ได้เรื่อง นิ่งเป็นหลับขยับเป็นกิน ไม่ว่าเผือกหรือมัน กล้วยสุก หรือแม้แต่เนื้อสัตว์ที่เขาหามาได้เธอกินไม่เคยเหลือ อยากรู้เหมือนกันว่าตอนนี้ไม่มีใครหาแล้วหล่อนจะทำอย่างไร จะยอมอดตายหรือไม่
“หึ งั้นรึ เช่นนั้นเจ้าก็กินสิ” บัวแค่นยิ้มออกมาสามีเธอคนนี้ปากดีใช่ย่อย เสียดายที่หน้าตาหล่อเหลาเสียเปล่า ให้ตายเถอะ คนอย่างบัวชมพูไม่มีทางอยู่กับสามีที่ไม่ได้รักนางเด็ดขาด
“ข้าไม่อยาก” สมิงพูดเสียงห้วน
“ถ้าเจ้ากินข้าวปลาได้น้อย เจ้าก็จะเดินได้ช้า” บัวให้เหตุผล
“ไม่น่าเชื่อว่าคนอย่างเจ้าจะห่วงใครเป็น เจ้าคงสะใจที่เห็นข้าอยู่ในสภาพเช่นนี้” สมิงสังเกตเห็นท่าทางและคำพูดของภรรยาที่ดูมั่นใจขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ก่อนหน้าที่นางจะฟื้นถึงทั้งสองจะเกลียดกันแต่หล่อนก็ไม่ได้มีทีท่ามั่นใจในตัวเองเช่นนี้
“ใช่ ข้าสะใจ และข้าก็ไม่ได้เป็นห่วงท่าน แต่ข้าเป็นห่วงเด็กสองคนนี้ต่างหากล่ะ ถ้าเมฆกับละอองไม่มีท่านแล้วพวกเขาจะอยู่อย่างไร” สมิงปรายตาไปมองลูกทั้งสองที่นั่งมองหน้าพ่อกับแม่ตอบโต้กันไปมาก็เห็นตรงเช่นคำภรรยา หญิงผู้นี้ไม่เคยห่วงใคร
“งั้นเจ้าตักให้ข้านิดเดียวพอ” สิ่งที่สมิงห่วงที่สุดก็คือชีวิตของเด็กทั้งสอง หากเขาเป็นอะไรไปไม่มีทางที่ภรรยาของเขาจะเลี้ยงลูกได้อย่างที่เขาทำ หากเลี้ยงได้ก็คงทำเยี่ยงทาส ซึ่งเขาไม่มีทางยอมให้เป็นเช่นนั้นแน่ ของกินก็ไม่เคยเผื่อลูกถ้าเขาไม่อยู่สักคนนางก็คงไม่ไยดีลูกทั้งสอง นางช่างเป็นคนที่ชั่วช้าเหลือเกิน
บัวตักข้าวของสามีใส่ในถ้วยลูกทั้งสองอีก บัวทำท่าเหมือนจะป้อนข้าวเขา เพราะทุกวันเขาจะให้ลูกชายป้อน
บัวตักข้าวต้มขึ้นมาแล้วเป่าให้เย็นเสียก่อน
“เจ้าไม่ต้องมายุ่ง ข้ากินเองได้” สมิงปฏิเสธเสียงแข็งแล้วปัดมือเธอออกจนข้าวหกลงพื้น
บัวมองข้าวต้มแล้วส่ายหน้าเล็กน้อยวางชามข้าวลงเอาผ้าเช็ดพื้นแล้วเดินเข้าครัวโดยไม่แยแสเขาอีก อุตส่าห์อยากช่วย อยากอวดเก่งก็ตามใจ
ลับหลังบัวลูกชายจึงพูดขึ้น
“ท่านพ่อกินข้าวได้เองจริงรึ”
“เจ้ามาป้อนพ่อเถอะ” น้ำเสียงเขาอ่อนลง เขาก็รู้สึกสงสารลูกเช่นกันแต่จะให้เธอมาปรนนิบัติเขาก็รู้สึกผะอืดผะอม คงทำใจไม่ได้ที่เธอต้องมาตักข้าวเข้าปาก คนไม่ได้ใกล้ชิดกันมาหลายปีจะให้มาเอาใจใส่กันคงดูแปลกพิลึก
“ขอรับ” เมฆเขยิบไปทำหน้าที่ของตัวเองเช่นเดิม
ทั้งสามจึงทานข้าวด้วยกันอย่างเอร็ดอร่อย เป็นมื้อแรกที่พวกเขาทานข้าวต้มกับปลาย่างที่อร่อยและหอมขนาดนี้ และเป็นมื้ออาหารที่สงบที่สุดเท่าที่เคยมีมาเพราะไม่ต้องแย่งอาหารกับแม่ตัวเอง
บัวเดินกลับไปที่ครัวเพื่อรับประทานอาหารเธอต้องค่อย ๆ ซดข้าวต้มเพราะเกรงว่าช้อนสังกะสีจะบาดปาก อิ่มแล้วก็เก็บกวาดสัมภาระและห้องครัวให้สะอาด มืออวบเผลอขยับเข็มขัดที่รัดผ้าถุงอยู่รอบเอวหนาของตัวเอง เกิดความสงสัยจึงก้มมองดู และก็ต้องตกตะลึงเมื่อส่วนหัวของเข็มขัดสีเงินนั้นมันเป็นเหมือนมิติที่เธอสามารถหยิบข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ จากโลกปัจจุบันของเธอได้ รวมถึงยารักษาโรคและเครื่องมือแพทย์ของเธอด้วย
“ว้าว! คิดว่าจะให้อดตายเสียแล้ว” บัวรู้สึกตื่นตาตื่นใจแล้วคลี่ยิ้มออกมาได้ แบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าเธอจะใช้ชีวิตในหมู่บ้านแห่งนี้และบัวจะทำให้ตัวเองกลับมาผิวสวยดังเดิมให้ได้ ทำอย่างไรได้ในเมื่อทะลุมิติมาแบบนี้แล้วก็ต้องใช้ชีวิตให้เต็มที่ อย่างน้อยก็ยังมีลมหายใจ บัวปลอบตัวเอง