“..” มีนาลืมตาตื่นขึ้นมานอนนิ่ง ๆ ด้วยความโศกเศร้า หยาดน้ำตาพลันรินไหลออกจากหางตาไม่ขาดสาย เพราะว่าบ่อยครั้งนักที่เธอมักหลับตาทีไรจะฝันถึงผู้ชายเลวระยำขึ้นชื่อว่าสามีกำลังขืนใจเธออยู่บนเตียงใหญ่อย่างไร้ความปรานี โดยที่เธอไม่สามารถหลุดพ้นไปจากเขาได้ แม้ว่ามันจะผ่านมาเนิ่นนาน แต่เธอก็ยังคงไม่ลืมเลือนและยังจมปลักอยู่กับฝันร้ายอย่างนี้ในบางคืน เมื่อครั้นเธออ่อนแอหนัก ๆ หนำซ้ำเธอยังต้องกินยาคุมทุกวัน เพื่อคุมกำเนิดไม่ให้อีกหนึ่งชีวิตเกิดมาในช่วงวัยรุ่นของเธออีก…
“เมื่อไหร่ฉันจะหลุดพ้นจากแกสักทีนะ ไอ้คนใจร้าย “ฝ่ามือเรียวเล็กลูบหน้าตัวเองหนึ่งครั้ง ภายในใจเต็มไปด้วยความคุกรุ่น ยิ่งใกล้ถึงวันที่เธอต้องย้ายบ้านพลัดพรากจากอกพ่อแม่ ไปอยู่ชายคาเดียวกันกับสามีผู้ชายที่เกลียดชังเธอ ซึ่งเธอเองก็เกลียดชังเขาไม่ต่างกัน ยิ่งทำให้เธอรู้สึกขุ่นมัวและห่อเหี่ยวมาก…ถึงมากที่สุด
“…”
……
“รีบมานั่งเลยลูก เดี๋ยวจะสายเอา “ปรีดาเรียกลูกสาวครั้นมีนาเดินเข้ามาในห้องอาหารด้วยชุดนักเรียนมัธยมปลาย
“ค่ะ แล้วคุณพ่อล่ะคะ “หญิงสาวตอบรับด้วยรอยยิ้มร่าเริง หย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ ในขณะที่ผู้เป็นแม่ เดินไปหย่อนสะโพกนั่งฝั่งตรงข้าม
“คุณพ่อไปรับ คุณคาทสึ กับ คุณจีน่า ที่สนามบินจ้ะ”
“…”
“..” ยามที่ผู้เป็นแม่เอ่ยถึงชื่อพ่อและแม่ของสามี ทำให้มีนาต้องหยุดชะงักช้อนโจ๊กที่กำลังจะตักเข้าปากด้วยความรู้สึกที่ใจ มันหวิว ๆ คล้ายกับว่าความโดดเดี่ยวกำลังจะย่างกายเข้ามาเยือนในอีกไม่ช้า สาเหตุมาจากข้อตกลงของผู้ใหญ่เมื่อปีก่อนครั้นเข้าพิธีแต่งงาน ณ ประเทศญี่ปุ่น
“เป็นอะไรหรือเปล่าลูก?”
“อ๋อเปล่าค่ะ ทำไมถึงได้มาเร็วอย่างนี้ล่ะคะ ไหนว่าอาทิตย์หน้า “ริมฝีปากอวบอิ่มคลี่ยิ้มให้ผู้เป็นแม่เล็กน้อย พลางวางช้อนโจ๊กไว้ในชามที่เดิม ครั้นหลุดออกจากภวังค์ความคิด
“พอดีคุณทาคสึ มีงานด่วนที่บริษัทในไทยน่ะจ้ะ เลยมาก่อนกำหนด”
“ค่ะ แม่คะอาทิตย์หน้าหนูต้องย้ายไปอยู่กับคุณฮัททสึจริง ๆ เหรอคะ หนูกลัว หนูไม่ยากไปเขาใจร้าย “ยามที่เอ่ยถึงชื่อสามี ก้อนสะอื้นพลันแล่นขึ้นมาจุกคอเอาเสียดื้อ ๆ ดวงตากลมโตพร่ามัวเพราะหยาดน้ำตาคลอหน่วย ก่อนจะไหลกลิ้งลงมาอาบแก้มนวลในที่สุด ทำให้คนเป็นแม่อย่างปรีดาน้ำตาซึมตามลูกสาว เพราะว่าเธอเข้าใจความรู้สึกของลูกสาวดีกว่าใคร
“โถ่ลูกแม่ “ปรีดาปรี่ตัวลุกจากเก้าอี้เดินมาโน้มตัวกอดปลอบลูกสาวทางด้านหลัง ด้วยความรู้สึกสงสารจับใจ “เข้มแข็งนะลูก แม่อยู่ข้าง ๆ ลูกเสมอ”
“…” มีนาพยักศีรษะหงึก ๆ ตอบรับผู้เป็นแม่ เสียงสะอื้นพลันเล็ดลอดดังออกมาจากลำคออยู่เป็นระยะ อีกทั้งวันนี้ยังเป็นอีกวันที่เธอกินน้ำตาตัวเองผสมกับอาหารเช้า เมื่อสามวันก่อนก็ทีหนึ่ง หลังจากรับรู้ว่าอีกไม่กี่วันต้องเคลื่อนย้ายทั้งตัวและความรู้สึก ไปยังบ้านหลังใหม่อยู่กับสามีใจโฉดเพียงลำพัง
“…”
……
หลายชั่วโมงต่อมา ~~
บริษัท Sports cars กรุป
“เอาเป็นว่างานเลี้ยงแต่งตั้งลูกชายผมรับช่วงต่อเป็นประธานบริษัทในไทย จัดขึ้นวันจันทร์หน้านะครับ “เสียงทรงอำนาจของประธานบริษัทอย่างคาทสึสรุปข้อมติ หลังจากหารือกันมานานราว ๆ เกือบหนึ่งชั่วโมง ซึ่งคนในห้องประชุมต่างพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ
“…”
“สี่โมงแกไปรับเมียแกที่โรงเรียนด้วยล่ะ “คาทสึหันไปสั่งกับลูกชายเพียงคนเดียวที่เอาแต่เลื่อนหน้าจอโทรศัพท์เล่น โดยไม่ได้สนใจเรื่องการประชุมที่ผ่านมา หลังจากคณะกรรมการผู้อาวุโสแต่ละท่านเดินออกไป
“ครับ “ฮัททสึตอบรับสั้น ๆ เสียงแข็ง พลางดันตัวลุกขึ้นเต็มความสูง มือหนาเก็บโทรศัพท์ใส่ในกระเป๋ากางเกงสแล็คสีดำของตัวเองด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ไม่มีอะไรแล้วผมขอตัว”
“เย็นนี้แกห้ามไปไหน อยู่ทานข้าวพร้อมกันที่บ้านคุณทัศ”
“..” ฮัททสึหมุนตัวหันหลังก้าวขาได้ไม่กี่ก้าว เป็นต้องหยุดชะงักฝีเท้าครั้นเสียงผู้เป็นพ่อกล่าวขึ้นตามหลัง เขาเพียงชำเลืองหางตามองอย่างไม่ใส่ใจอะไรมาก ก่อนจะเดินออกไปจากห้องประชุมทันที ทำเอาคาทสึถึงกับส่ายหน้าเอือมระอากับท่าทางเฉยชาที่ลูกชายมีให้ตลอดเวลาและเสมอมา
“…”
“นายจะไปไหนต่ออีกไหมครับ “คาชิโค้งศีรษะทำความเคารพผู้เป็นนาย ยามที่ฮัททสึเดินมาถึงลานจอดรถผู้บริหาร
“ไปสนามแข่งเฮีย”
“ครับ”
ครืนนน ครืนนน
ขณะเดียวกันเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์เครื่องหรูในกระเป๋ากางเกงสแล็คของฮัททสึดังขึ้น มือหนาจึงล้วงหยิบขึ้นมา ปรากฏเบอร์แปลกบนหน้าจอสี่เหลี่ยม ทำให้เจ้าของโทรศัพท์ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกดรับสายในเวลาต่อมา
“อีกสองอาทิตย์กูจะไปไทย มึงเตรียมตัวไว้ให้ดีแล้วกัน “ เสียงคุ้นเคยจากปลายสายกลอกเข้ามาทันทีที่ยกโทรศัพท์แนบใบหู ฮัททสึยกโทรศัพท์ออกเล็กน้อยมองหน้าจอโทรศัพท์ คิ้วทั้งสองข้างหม่นเข้าหากันอย่างแปลกใจ
“มึงรู้เบอร์กูได้ยังไง “
“จะหาเบอร์มึง มันก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับกูนิ “
“..” ฮัททสึดันเรียวลิ้นเข้าหากระพุ้งแก้มอย่างไม่สบอารมณ์กับประโยคยียวนของปลายสาย นิ้วเรียวยาวกดปุ่มวางสายทันที
“ใครโทรมาเหรอครับ ดูท่าทางนายหงุดหงิดเชียว “คาชิถาม ครั้งสังเกตเห็นสีหน้าทมึงถึงของผู้เป็นนายเด่นชัดออกมาหลังจากกดวางสาย
“ไอ้คีตะ “ฮัททสึตอบเสียงแข็งพลางดันลิ้นเข้าหากระพุ้งแก้มอยู่อย่างนั้น คีตะคือศัตรูอันดับหนึ่งของเขาสมัยเดินสายแข่งรถระดับประเทศในบ้านเกิด ซึ่งทั้งสองเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมานาน มักจะไม่ลงรอยกัน ขัดแย้งหาเรื่องกันประจำหากได้พบหน้า สาเหตุมาจากการคัดเลือกตัวแทนนักแข่งรถไปแข่งชิงแชมป์โลก และ ผลออกมาคีตะพ่ายแพ้ให้กับฮัททสึ ตอนนั้นคีตะรู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก จึงอิจฉาตาร้อน คิดวิธีหาทางเอาคืนฮัททสึอยู่ตลอดเวลา เพื่อทวงคืนศักดิ์ศรีให้กับตัวเอง เขาต้องอยู่เหนือทุกคน เสียเงินไม่ว่าเสียหน้าไม่ได้นิยามประมาณนั้น…
“ที่มันโทรมา คงไม่พ้นเรื่องแข่งรถอีกสองอาทิตย์ที่จะถึงนี้ใช่ไหมครับ”
“อือ “ฮัททสึครางเสียงตอบรับในลำคอเท่านั้น ก่อนจะขึ้นรถสปอร์ตคันหรูสีฟ้าของตัวเอง ขับออกไปจากบริษัท โดยที่มีรถสปอร์ตอีกคันของลูกน้องคนสนิทขับตามหลังออกไป
“…”
โรงเรียนอินเตอร์คอนแวน
กริ้งงงง ~~
เสียงกริ่งส่งสัญญาณหมดคาบเรียนคาบสุดท้ายของวันดังขึ้น อาจารย์หน้าชั้นเรียนเร่งสั่งการบ้านภาษาอังกฤษ ก่อนจะปล่อยเหล่านักเรียนให้เตรียมตัวกลับบ้าน
“ไปกินไอติมกันปะยัยนา “ดิวเพื่อนสาวคนสนิทเอี่ยวหน้าไปถามมีนาที่กำลังเก็บอุปกรณ์เครื่องเขียนใส่กระเป๋าอยู่โต๊ะข้าง ๆ
“วันนี้คิดยังไงถึงได้ชวนล่ะดิว ปกติแกต้องรีบกลับบ้านไปอ่านหนังสือก่อนใครเพื่อนแล้วนะ ยิ่งใกล้สอบปลายภาคแล้วด้วย “มีนากล่าวพลางยัดหนังสือเรียนเล่มสุดท้ายลงกระเป๋านักเรียน
“ก็ช่วงนี้ฉันสังเกตเห็นแววตาแกดูเศร้า ๆ ไม่ค่อยมีชีวิตชีวาอย่างแต่ก่อน เลยจะชวนไปกินไอติมคลายเครียดซะหน่อย”
“อือ งั้นเดี๋ยวฉันโทรขออนุญาตพ่อก่อนนะ”
“โอเค แกไปไหมไท “ดิวชะเง้อหน้าไปถามเพื่อนชายคนสนิทอีกคน นั่งเล่นโทรศัพท์ตรงโต๊ะด้านข้างกับมีนา
“อีนาไปกูก็ไป “ไทตอบโดยไม่ได้ละสายตาไปจากหน้าจอโทรศัพท์ กระดิกเท้าด้วยท่าทางสบายใจเฉิบ
“จะไปก็ลุกสิเล่นโทรศัพท์อยู่นั่นแหละ”
“ครับคุณผู้หญิง “ไทเงยหน้าขึ้นมาตอบประชดดิวเพื่อนสาวอย่างรำคาญ
“แกก็ชอบประชดยัยดิวจังนะไท “มีนาดันตัวลุกขึ้นกล่าว ปกติไทจะแกล้งเย้าแหย่พูดจาประชดประชันดิวเป็นประจำราวกับว่าเป็นคู่กัดกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน จนกลายเป็นความเคยชินและเรื่องน่าขำขันไปแล้วสำหรับเธอ แต่บางทีเธอก็อดไม่ได้ที่จะพูดแซว
“หึ “ไทเพียงแค่เค้นเสียงหัวเราะในลำคอเบา ๆ เท่านั้น โดยไม่ได้ขัดแย้งอะไร พลางยัดโทรศัพท์เครื่องหรูใส่กระเป๋ากางเกงนักเรียน
“ว่าแล้วยังจะมาหัวเราะอีกนะไอ้ไท “ดิวแหวใส่ด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยพอใจนัก
“ก็กูอยากหัวเราะนิ “ไทไหวไหล่อย่างยียวน
“เอาเถอะทั้งสอง ฉันขอโทรหาพ่อก่อนเงียบ ๆ นะ “ดิวพยักหน้าเข้าใจ ส่วนไทเลิกหน้าขึ้นตอบรับ ก่อนจะพากันเดินออกจากห้องเรียน โดยที่มีนายกโทรศัพท์แนบใบหูต่อสายหาผู้เป็นพ่อ
“..”
“ไม่ได้ไปอะดิทำหน้าเงี่ย “ไทถาม ครั้นเห็นสีหน้าของมีนาบึ้งตึงหลังจากยกโทรศัพท์ออกห่างจากใบหู ขณะกำลังก้าวเท้าลงบันได
“อือ”
“บอกเหตุผลปะ? “ดิวถาม
“มีแขกมาที่บ้าน “มีนาตอบด้วยน้ำเสียงอ่อย ๆ ใบหน้าหวานฉายแวววิตกกังวลกับเรื่องราวบางอย่าง
“ออ..ไปวันหลังก็ได้ แล้วแกเป็นอะไรหรือเปล่าน่าเศร้าเชียว”
“เปล่าหรอก “มีนาฝืนยิ้มบาง ๆ กลบเกลื่อนความเศร้าหมองภายในใจ ทั้งที่ความรู้สึกของเธอเต็มไปด้วยความหวาดกลัวกับเรื่องราวที่เคยประสบพบเจอ ฉายเข้ามาในภาพแห่งความทรงจำอันโหดร้าย ขณะเดียวกันก็เดินมาหยุดตรงหน้าตึกเรียน
“เปล่าก็เปล่า”
“งั้นกูกลับก่อนนะ ไว้เจอกันพรุ่งนี้ “ไทกล่าวขึ้น สายตาทั้งคู่จับจ้องมองไปยังมีนาฉายแววเป็นห่วงเป็นใย ซึ่งดิวเองก็มองออกว่าเพื่อนของเธอกำลังรู้สึกอย่างไร
“มาเช้า ๆ หน่อยล่ะ เดี๋ยวก็ได้วิ่งรอบสนามอีก “ดิวตะโกนตามหลังเพื่อนชาย ทว่าไทกลับยกนิ้วกลางให้ โดยไม่เอี่ยวหน้ากลับมา เห็นอย่างนั้นดิวถึงกับปรี๊ดออกหูแล้วตะโกนเสียงด่าไปอีกครั้ง “ไอ้เหี้ยไท!”
“..”
“วันนี้คนของพ่อแกมารับเหมือนเดิมใช่ปะ?”
“อือ “มีนาตอบรับคำสั้น ๆ แววตาคู่งามแลดูเหม่อลอย ขณะหัวใจดวงน้อยก็เอาแต่เต้นระส่ำอย่างไร้สาเหตุ จนแทบทะลุออกมานอกอก
“เค ๆ “จากนั้นทั้งสองสาวพากันออกมายืนรอผู้ปกครองมารับที่หน้าโรงเรียน
“ไปก่อนนะมีนาเจอกันพรุ่งนี้ “ดิวเอ่ยลา
“จ้ะเจอกัน “มีนาโบกมือลาเพื่อนสาว ก่อนที่รถยนต์คันหรูของดิวจะขับเคลื่อนออกไป