จากนั้นแสงสปอร์ตไลท์ฉายมาที่ฉันซึ่งยืนถือช่อบูเก้ในมืออย่างงงๆ สายตาของเพื่อนที่ยืนรอบๆ มองฉันแปลกๆ และซุบซิบ เมื่อถูกพิธีกรเชิญขึ้นไปบนเวที ฉันจึงไม่รั้งรอที่จะชูช่อบูเก้โชว์และประกาศให้ทุกคนได้รู้ว่าฉันก็แน่จริง
“ทุกคนคะ อีกแปดสิบแปดวันฉันจะแต่งงาน เรียนเชิญด้วยนะคะ”
ฉันเชื่อว่าการได้ช่อบูเก้ นั่นก็แปลว่า พระพรหมบนฟ้าจะเห็นใจในโชคชะตาของฉัน ประทานชุดเจ้าสาวงามหยดย้อยและเนรมิตให้ฉันเป็นเทพธิดาในงานแต่งงานกับใครสักคน
หลังจากจบงานและแขกเหรื่อทยอยกลับ ฉันเดินไปบอกลาเจ้าสาวและทิ้งแววตาจับผิด
“เธอหลอกใครก็ได้นะป่าน แต่เธอหลอกฉันไม่ได้นานหรอก สักวันฉันจะต้องรู้ให้ได้ว่าเธอกำลังปกปิดอะไร และทำไปเพื่ออะไร”
ป่านฝันหันมาสบตากับฉันด้วยแววตาไม่ต่างกัน
“เธอก็หลอกฉันไม่ได้เหมือนกัน ฉันว่าเธอเอาเวลาแปดสิบแปดวันที่เหลือไปคิดแผนจับผู้ชายแต่งงานด้วยดีกว่านะ จะได้แต่งทันเวลาที่ลั่นไว้” ป่านฝันบอกยิ้มๆ จิกตาเล็กๆ
“เธอไม่ต้องห่วงฉันหรอก”
“เธอเองก็ไม่ต้องห่วงฉันมากเหมือนกัน ยืนยันว่าเราแต่งงานกันเพราะความรัก”
“เหรอ...เธอก็รู้จักฉันดีนะป่าน ฉันไม่มีวันเชื่อง่ายๆ และกัดไม่ปล่อยแน่ ฉันกำลังสนุกที่จะได้ค้นหาความจริง”
“ฉันก็สนุกและนับวันรอวันแต่งงานของเธอเหมือนกัน” เจ้าสาวทิ้งท้ายก่อนจะเดินไปขอบคุณแขกผู้ใหญ่ที่ยืนอยู่กับมารดา
แต่สำหรับฉัน...ทำไมช่อบูเก้ที่อยู่ในมือทำให้รู้สึกหนักใจและปวดหนึบ ฉันทำอะไรลงไป ประกาศแต่งงานกลางโรงแรมของตัวเอง ท่ามกลางสื่อมวลชน
ฉันต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ
“ว่าไง นั่งเหม่ออยู่นั่นแหละ” คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามถามขึ้นมาอีกครั้งทำให้ฉัน ตื่นจากภวังค์
“คือ...หนูง่วงค่ะพ่อ”
“ฉันจะมีโอกาสได้เห็นหน้าลูกเขยวันไหนฮึเกร็ดดาว” พ่อถามย้ำเหมือนพยายามต้อนให้ฉันจนมุม
คำถามทำให้ฉันกลัวจนไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นสบตาพ่อ เพราะฉันเองก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่าจะไปหาลูกเขยที่ไหนให้ท่าน
“เอ่อ” เหมือนลมหายใจของฉันไหลวนไม่ทั่วท้อง อากาศที่พยายามสูดเข้าปอดกลับขังตื้ออยู่ในโพรงจมูก นึกหาคำตอบ แต่ก็เหมือนสมองของฉันกำลังตื้อไปด้วย
“นึกอยู่แล้วเชียวว่าแกต้องคิดไม่ออก งั้นแกก็ไปทำความรู้จักกับคนที่ฉันหาให้ก่อนก็แล้วกัน”
“หะ!” ฉันร้องเสียงเบาๆ ในลำคอ แต่ก็เหมือนว่าพ่อจะได้ยิน
“ฉันกำลังช่วยแกอยู่หรอกนะ ทำไมต้องทำหน้าเหมือนฉันบังคับแกแบบนั้น” ฉันโดนดักคอเข้าอีกจนได้
‘ว่าแล้วไง...รีบเข้าบทตัวเองเลยนะพ่อ ขนาดว่าไม่ได้บังคับยังจัดฉากซะลงล็อคเป๊ะๆ ทำไมซื้อหวยไม่เคยถูกนะดาว’
“แกกำลังเถียงฉันในใจใช่ไหม” เสียงเข้มของพ่อพูดดักคออีกครั้ง
“เปล่าค่ะ” ฉันรีบตอบทันที พยายามคิดเข้าข้างตัวเอง อย่างน้อยมันก็เป็นทางออกที่ดีไม่ใช่เหรอ คนเก่าไป พ่อก็หาคนใหม่ก็มาแทน
‘ดีออก! จะมีผัวก็ไม่ต้องเสียเวลาหา’ ฉันบอกตัวเองทั้งที่ในใจกำลังร้องไห้อย่างหนัก เรื่องส่วนตัวแต่ฉันแทบไม่เคยได้คิดอะไรเอง งานเป็นเพียงสิ่งเดียวที่พ่อเชื่อมั่นและให้ฉันตัดสินใจได้ทุกอย่างแทนท่าน
“ถ้าเปล่าก็เลิกทำหน้าแบบนั้นสักที”
“เขาคือใครคะ” น้ำเสียงอ้อมแอ้มอยู่ในลำคอที่ฉันพยายามเปล่งออกมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ
นักธุรกิจผู้กุมบังเ**ยนอาณาจักรพิมานที่รั้งตำแหน่งเสือยิ้มยากไม่ตอบคำถามตรงๆ เหมือนเคย ท่านยื่นโทรศัพท์มือถือให้ฉัน
ฉันกำลังงงในสิ่งที่พ่อต้องการจะสื่อ มองภาพที่เปิดค้างอยู่บนจออย่างพิจารณา และถามย้ำกับตัวเองว่าเกี่ยวกับเรื่องที่พูดค้างเมื่อครู่ตรงไหน เมื่อเห็นฉันนิ่งไปนานพ่อจึงพูดแทรกขึ้นมา
“ฉันอยากได้ที่ดินผืนนี้ทำโรงแรม”
งงสิคะ! ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่พูดค้างเอาไว้สักนิด หรือว่าพ่อต้องการจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปเป็นเรื่องของธุรกิจ ซึ่งเป็นหัวข้อเดียวที่ฉันกับพ่อสนทนากันได้นานที่สุด
“วังสุรีรัตน์” ฉันบอกและระบายยิ้มออกมาบางๆ
เพียงเห็นรูปภาพ ทายาทอสังหาริมทรัพย์แบรนด์อย่างฉันก็รู้ว่าพื้นที่ตรงนั้นเป็นแผ่นดินทองของนักธุรกิจ และวังเก่าแก่แห่งนั้นฉันก็ขับรถผ่านและมองอย่างชื่นชมอยู่บ่อยครั้ง
“เดี๋ยวดาวขอหารายละเอียดและจะติดต่อขอซื้อไปนะคะ คุณพ่อมีราคาในใจหรือเปล่า” ฉันรับผิดชอบเกี่ยวกับการตลาดทั้งหมดของโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ในเครือ ระยะหลังพ่อเริ่มถ่ายเทงานด้านบริหารมาที่ฉันมากขึ้น ท่านเริ่มวางแผนให้ฉันเรียนรู้ด้านการจัดซื้อและมองหาทำเลเพื่อขยายช่องทางธุรกิจ ซึ่งการเจรจาต่อรองเป็นเรื่องถนัดที่สุดอยู่แล้ว
“เขาไม่ขาย ไม่ว่าใครจะเสนอราคาสูงแค่ไหนก็ตาม” น้ำเสียงเนิบนาบของประมุขอาณาจักรพิมานยากแก่การคาดเดา แต่ฉันก็ไม่แปลกใจที่ได้ยินประโยคนั้นจากปากของพ่อ เพราะขึ้นชื่อว่า “วัง” ก็หมายถึงสมบัติของราชสกุลเก่าแก่ พวกเขาคงไม่มีวันยอมขายง่ายๆ แต่มันก็ไม่ยากสำหรับฉันเช่นกัน ฉันผ่านงานหินๆ มานับไม่ถ้วน
“พ่อก็รู้ว่าดาวมีวิธี ยากกว่านี้ก็ทำมาได้แล้ว”
“แต่ฉันมีวิธีที่ง่ายกว่านั้น”
ฉันหันกลับไปมองและตั้งใจฟัง เป็นครั้งแรกที่เห็นรอยยิ้มที่มุมปากของพ่อ “วังสุรีย์รัตน์มีทายาทอยู่เพียงคนเดียวคือหม่อมหลวงเทวานุพงศ์”
แววตาของพ่อทำให้ฉันถึงบางอ้อ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะต้องแต่งงานเพราะถูกคลุมถุงชนหรือเพราะธุรกิจ
“คุณพ่อหมายความว่า...เจ้าของวังเหรอคะที่พ่อจะให้ดาวแต่งงานด้วย” นึกยังไงก็นึกไม่ออกว่าในวังนั้นมีทายาทเป็นผู้ชายด้วย
“เรื่องแค่นี้แกคิดไม่ออกเหรอ”
“แต่ดาวไม่ใช่สินค้า ไม่ใช่สิ่งแลกเปลี่ยนเพื่อธุรกิจนะคะ”
“ฉันก็ไม่ได้บอกว่าแกเป็นสินค้า แต่ฉันอยากเห็นแกแต่งงานมีครอบครัวต่างหาก”
“แต่ดาวจะไม่ยอมแต่งงานเพราะเหตุผลอื่นนอกจากความรักเด็ดขาด ที่สำคัญดาวไม่รู้จักเขามาก่อน”
“ก็ไปทำความรู้จักเสียสิ”
“พ่อพูดเหมือนง่ายนะคะ”
“จะทำอะไรให้มันยากเหรอ”
ฉันลอบถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า จนปัญญาที่จะดันทุรังต่อล้อต่อเถียง หัวคิ้วของฉันขมวดเข้าหากันในสภาวะจำยอม ถามพ่อด้วยน้ำเสียงที่เบาลง “เท่าที่ดาวรู้มา ธุรกิจของตระกูลนั้นก็ไม่ค่อยจะสู้ดี เขาน่าจะยอมขายวังหากตกลงราคากันได้นะคะ”
“หม่อมพิศพิไลอยากจะขายวังใจจะขาด แต่ติดที่ลูกชายและพินัยกรรม”
“ดาวก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี”
“หม่อมราชวงศ์เทวนพได้ระบุในพินัยกรรมว่าห้ามทำการซื้อขายวังให้ตกเป็นของบุคคลอื่น ไม่เช่นนั้นทุกอย่างจะตกไปเป็นสมบัติของมูลนิธิที่ต้นราชสกุลก่อตั้งขึ้นมาทั้งหมด”
พิมานไม่ได้บอกลูกสาวต่อว่า...วังสุรีรัตน์ถูกยกให้เป็นสินสอดรุ่นต่อรุ่น แต่จะตกเป็นสินสมรสอย่างสมบูรณ์ตามพินัยกรรมก็ต่อเมื่อมีทายาทให้สุรีรัตน์ เพราะเชื้อสายจากต้นสกุลมีปัญหาเรื่องทายาทสืบสกุล ตั้งแต่รุ่นปู่ทวดสมัยรัชกาลที่ 5 ก็มีทายาทเพียงคนเดียวมาทุกรุ่น
นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้คนในราชสกุลสุรีรัตน์ต้องเฟ้นหาสะใภ้ที่เพียบพร้อมและเหมาะสม หากมีทายาทจะต้องเกิดจากผู้หญิงที่ไม่มีความด่างพร้อย