“ท่านแม่ยังไม่แก่เลยครับ ยังสวย ยังสาว เอาเป็นว่าชายตกลงไปเป็นเพื่อนท่านแม่ก็ได้ กี่โมงครับ”
“บ่ายสองโมงจ้ะ ขอบใจมากนะลูก ลูกชายแม่น่ารักที่สุดเลย” หม่อมเจ้าหญิงรวีวรรณยิ้มกว้างทันที สองมือประคองใบหน้าลูกชายสุดหล่อเอาไว้อย่างเอ็นดู
“ท่านแม่ครับ หลังจากนี้ชายจะต้องมีบินไปคุมงานที่ภูเก็ต พอกลับมาแล้วก็จะออกไปอยู่คอนโดเลยนะครับ ชายกลับบ้านไม่เป็นเวลา กลับทีก็ดึก ๆ ดื่น ๆ ไม่อยากให้ท่านแม่ต้องรอน่ะครับ” ชายหนุ่มเกริ่นขึ้นมา คนเป็นแม่ได้ยินเข้าก็ทำหน้าละห้อย แต่กระนั้นลูกชายยอมตกลงไปดูตัวแล้ว จึงไม่อยากจุกจิกให้มาก
“แต่ลูกต้องสัญญาว่าจะกลับมาหาแม่ทุกอาทิตย์นะลูก” หม่อมเจ้าหญิงรวีวรรณไม่พลาดที่จะมีข้อแลกเปลี่ยน เพราะถ้าไม่ทำแบบนี้ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคงไม่กลับบ้าน
“ครับท่านแม่ ผมขอตัวขึ้นห้องก่อนนะครับ”
“จ้ะลูก”
ผู้เป็นมารดามองดูแผ่นหลังหนาของลูกชายที่เดินขึ้นบันไดไปแล้วก็นึกภูมิใจ ภานุวัตน์มีดีทั้งหน้าตา การงาน และชาติตระกูล ขอเพียงได้แต่งงานกับคู่ครองดี ๆ หัวอกหล่อนก็พอใจแล้ว
เมื่อเวลาอาหารเย็นมาถึง รสาจึงอาสาแทนคนเป็นแม่ เดินขึ้นไปเรียกท่านชายภานุวัตน์ที่ห้องนอนของเขาด้วยตัวเอง
ก๊อก! ก๊อก!
“ท่านชายวัฒน์คะ อาหารเย็นพร้อมแล้วนะคะ” รสาส่งเสียงด้วยรอยยิ้มแม้บานประตูจะยังไม่เปิดออกก็ตาม
“ครับ เดี๋ยวลงไป” ภานุวัตน์ตอบกลับมา รสาซึ่งยืนรอยู่ด้านหน้าพยักหน้าตอบกลับ เธอมีความสุขทุกครั้งที่ชายหนุ่มกลับมาบ้านใหญ่
หญิงสาวยืนรออยูสักพัก ไม่นานชายหนุ่มก็เปิดประตูออกมา ภานุวัตน์ตกใจเล็กน้อยที่เห็นเธอยังคงยืนอยู่ แต่กระนั้นก็ไม่ได้เอ่ยทักอะไรออกไป
“ไปทานข้าวกันเถอะค่ะ วันนี้มีของโปรดท่านชายเยอะเลย” รสายังคุยจ้อไม่หยุด แต่เขากลับก้าวเดินอย่างนิ่งสงบ
เมื่อทั้งคู่เดินลงมาข้างล่าง หม่อมเจ้าหญิงรวีวรรณก็นั่งรออยู่ในห้องครัวแล้ว แม่บ้านเห็นภานุวัตน์กำลังจะเดินมาถึงโต๊ะ จึงรีบวางหม้อข้าวในมือลงและดึงเก้าอี้ให้เขานั่งอย่างรู้หน้าที่
“เชิญเพคะฝ่าบาท” แม่บ้านเอ่ยอย่างนอบน้อม แม้ภานุวัตน์จะไม่ชอบที่มีคนใช้ราชาศัพท์ด้วย แต่ถึงกระนั้นเมื่ออยู่ในวังสราวดี พ่อบ้านแม่บ้านก็จำต้องใช้ราชาศัพท์ด้วยเทิดทูนนายเหนือหัวของวัง
อาหารถูกจัดวางไว้หลายอย่าง ส่วนมากเป็นอาหารไทยรสดั้งเดิม ทุกคนนั่งกันอย่างเงียบ ๆ โดยมีรสาคอยดูแลตักกับข้าวให้ภานุวัตน์เป็นบางครั้ง ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ต้องการคนคอยเสิร์ฟอาหารให้ก็ตาม แต่ด้วยความที่คิดว่าเธอเป็นดั่งน้องสาวที่โตด้วยกันมา จึงไม่อาจจะปฏิเสธได้
“อันนี้อร่อยนะคะท่านชายวัตน์ ลองชิมดูค่ะ”
“อืม ขอบใจ”
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารดำเนินไปอย่างเรียบง่ายพร้อมกับรสชาติอาหารอร่อยถูกปาก แม้ภานุวัตน์จะนึกกระอักกระอ่วนที่รสาคอยเอาอกเอาใจเขาจนเกินพอดีก็ตามที
…
สำหรับมื้อเย็นของนิรดานั้น เธอโทรสั่งอาหารจากร้านอาหารด้านล่างขึ้นมา ก่อนหน้านี้เธอหลับไปสักพักหนึ่ง หลังจากวิดีโอคอลกับมัมแล้วรู้สึกแปลกดีเหมือนกันที่ต้องมาอยู่เงียบ ๆ คนเดียว
‘เหงาเหมือนกันแฮะ’
ตอนที่อยู่อิตาลีไม่เคยมีวันไหนที่เธอจะรู้สึกเงียบเลย ทุก ๆ วันมีคนอยู่เต็มบ้าน วันไหนว่าง ๆ หลังจากปรับตัวได้แล้วเธอก็อาจจะเข้าไปหาคุณตาคุณยายที่บ้านใหญ่ พอลองนึกดูก็นานนับปีแล้วที่ไม่ได้เจอกัน ล่าสุดที่พวกท่านบินไปอิตาลี เธอก็ดันติดสอบพอดีเลยคลาดกันไป
หญิงสาวหยิบชุดทำงานสำหรับวันพรุ่งนี้ออกมาแนบลำตัว ก่อนจะแขวนกลับเข้าไปในตู้อีกครั้ง
“โอเค ชุดพร้อม ต่อไปก็ลองหาข้อมูลบริษัทหน่อยดีกว่า”
นิรดาทิ้งตัวลงบนโซฟาตัวหรู ค้นหาข่าวเกี่ยวกับเจ้าของบริษัทที่เธอจะเข้าทำงาน ไม่มีสำนักข่าวไหนเล่นข่าวเกี่ยวกับเขามากนัก น่าจะเพราะว่าอิทธิพลค้ำฟ้าของเขาค่อนข้างมีผลกับแวดวงข่าวพอสมควร แต่พอเลื่อนดูสักพักก็เห็นข่าวควงนางแบบบ้างประปรายจากสำนักข่าวเล็ก ๆ ถึงแม้ภาพจะไม่ชัดเพราะเป็นภาพแอบถ่าย แต่ก็ชัดพอที่ทำให้รู้ว่าทั้งสองแอบคบหากัน
หญิงสาวนอนเล่นบนเตียงนอนขนาดใหญ่กลิ้งไปมา ขณะนั้นมีเสียงแจ้งเตือนดังขึ้น เป็นมัมที่ส่งข้อความมาพร้อมกับรูปถ่ายอาหารเช้า ตอนนี้ฝั่งอิตาลีเป็นเวลาแปดโมงเช้า รูปบอมโบโลนีกับกาแฟมัคคียาโต และบรูสเก็ตตากับลัตเตมัคคียาโต ทำให้เห็นแล้วก็อดหิวไม่ได้
นิรดาเห็นมัมกับแด๊ดมีรอยยิ้มอบอุ่นเช่นนั้นก็ได้แต่ยิ้มตาม ในใจอยากจะสวมกอดทั้งสองจริง ๆ เพิ่งห่างกันเพียงแค่วันเดียวแท้ ๆ แต่ภายในใจกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกเหงาและคิดถึงอย่างที่สุด
“ขนาดวันเดียวยังคิดถึงขนาดนี้ วันต่อไปจะอาการหนักขนาดไหนน้า”
นิรดาตัดพ้อกับตัวเองเบา ๆ ทว่าการได้ออกมาใช้ชีวิตแบบอิสระโดยไม่มีพ่อแม่คอยดูแลอย่างนี้ก็ถือว่าเป็นสิ่งดีที่เหมือนกัน ต่อไปเธอจะได้อยู่บนโลกนี้ได้อย่างไร้ปัญหา
หญิงสาวนั่ง ๆ นอน ๆ ไถโทรศัพท์อยู่นาน เลื่อนดูสัพเพเหระ เวลาที่ใช้ไปไวจนน่าตกใจ ครั้นเห็นว่าดึกมากแล้วจึงคิดได้ว่าพรุ่งนี้ต้องเริ่มงานใหม่ หากไปสายคงจะดูไม่ดีเท่าไรนัก