บทที่ 2 : เจรจาต่อรอง 3

1662 Words
“ไม่! ผมจะไม่ไปและไม่ให้อะไรกับคุณทั้งนั้น ผมให้เวลาคุณตัดสินใจหนึ่งนาทีถ้าตกลงก็เดินไปหาผมหน้าร้าน แต่ถ้าภายในหนึ่งนาทีคุณไม่เดินออกมาผมจะถือว่าก่อนหน้านี้เราไม่ได้คุยหรือรู้จักกัน” คริสเตียนบอกกับหญิงสาวก่อนจะลุกขึ้นเต็มความสูง ก้าวยาวๆออกจากร้านกาแฟไปทันที ‘อีตาบ้านี่ แบบนี้เขาเรียกว่าบีบบังคับกันชัดๆเลย’ หญิงสาวบ่นในใจด้วยความกระวนกระวายมองตามร่างสูงสง่าที่จะหลุดลอยไปอย่างแสนเสียดาย ใจหนึ่งบอกให้ปล่อยไป แต่อีกใจกลับบอกให้รีบคว้าไว้ เพราะโอกาสที่จะหาคนสมบูรณ์แบบไร้ที่ติอย่างเขาได้นั้น ยากยิ่งกว่าการงมเข็มในสมุทรเสียอีก และแล้ววินาทีสุดท้ายหญิงสาวก็ตัดสินใจวางเงินสดลงบนโต๊ะเพื่อชำระค่ากาแฟ ก่อนที่ร่างอรชรจะลุกพรวดออกจากเก้าอี้ด้วยความรีบรนแล้ววิ่งตามออกมา ผลัวะ! ทันทีที่เปิดประตูร้านออกมา ดวงตาคมกริบสีสนิมเหล็กที่ยืนรออยู่ก่อนแล้วฉายแววประกายวับแห่งความยินดี คริสเตียนยอมรับว่าตั้งแต่เกิดมาไม่เคยต้องลุ้นอะไรเท่านี้มาก่อนในชีวิต ไม่ใช่แค่เจ้าหล่อนที่ร้อนรนใจ เขาเองก็ภาวนาทุกวินาทีให้เธอตัดสินใจออกมาให้ทันเวลา แต่ด้วยความรีบร้อนก้าวข้ามออกจากประตูให้ทันเวลา จังหวะนั้นเท้าเล็กในร้องเท้าส้นสูงแหลมปรี๊ดก็สะดุดกับขาตัวเองจนร่างอรชรพุ่งคะมำไปข้างหน้า “ว้ายยย!” หญิงสาวร้องเสียงหล่นด้วยความตกใจพร้อมกับปล่อยกระเป๋าถือใบหรู ราคาแพงหูฉี่ร่วงหล่นพื้นเสียงดังตุบ ทว่าร่างสูงสง่าที่ยืนอยู่ไม่ไกล ก็ต้องรีบคว้าเอวคอดเล็กของคนเสียหลักจะล้มหน้าคะมำมาแนบอกไว้ได้อย่างเฉียดฉิว คริสเตียนกอดร่างอรชรที่สั่นจากอาการตื่นตระหนกเอาไว้แน่น ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย “เป็นอะไรมากหรือเปล่าโรส” หญิงสาวที่ยังอยู่ในอาการตกใจได้แต่สั่นหน้าเป็นคำตอบ กว่าที่สติจะกลับคืนมาหมดโรสศิรินก็แทบจะหยุดหายใจเมื่อสัมผัสได้ถึงอกแกร่งที่เต็มไปด้วยกล้ำเนื้อแข็งแรงของบุรุษเพศที่เธอกำลังแนบชิดอิงแอบ “ขอ..ขอบคุณค่ะ ฉันไม่เป็นไรแล้ว” หญิงสาวเอ่ยขอบคุณเสียงสั่น ขณะที่ดันร่างออกจากอกแกร่ง แต่แล้วก็ต้องนิ่วหน้าเมื่อรู้สึกเจ็บแปล๊บขึ้นมาตรงข้อเท้า จนร่างบางทำท่าจะเซล้มไปอีกครั้ง หากแต่ได้มือใหญ่ที่เพิ่งปล่อยเธอให้เป็นอิสระไม่ถึงเสี้ยววินาทีรั้งเอวเล็กไว้ได้ทัน “ไม่ไหวอย่าฝืน ว่าแต่คุณเจ็บตรงไหน” เสียงห้วนดุบอกพร้อมเอ่ยถาม ขณะที่สายตาคมกริบเลื่อนต่ำลงที่เท้าเล็กของเธออย่างอัตโนมัติ “เท้าค่ะ ฉันเจ็บเท้า” สิ้นเสียงหวาน ร่างอรชรก็ถูกช้อนลอยหวือขึ้นมาด้วยแขนแข็งแรงเพียงข้างเดียวราวกับร่างของเธอเป็นเพียงปุ้ยนุ่นไม่ได้หนักหนาอะไร ก่อนที่ร่างสูงสง่าจะย่อตัวลงแล้วคว้ากระเป๋าถือที่ร่วงอยู่บนพื้น แล้วก็เดินอาดๆตรงไปยังรถตู้ของโรงแรมที่จอดรออยู่หน้าโรงแรมตรงข้ามกับร้านกาแฟ “อุ้ย! คุณจะทำอะไรเนี่ย ปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี้นะ” โรสศิรินร้องโวยวายพร้อมออกแรงดิ้นขัดขืนด้วยความตื่นตกใจที่จู่ๆเธอก็ถูกคนตัวใหญ่อุ้มราวกับเด็กน้อยสามขวบ “ถ้าไม่อยากถูกตีก้นก็อยู่นิ่งๆไว้” จบประโยคห้วนๆนั้น ร่างอรชรต้องหยุดดิ้นแทบจะทันที ถึงแม้ว่าปกติเธอจะไม่เชื่อฟังใครง่ายๆ แต่น้ำเสียงดุจริงจังนั้นทำให้เธอไม่กล้าที่จะล้อเล่นด้วย เธอเลยทำได้เพียงเกาะไหล่แข็งแรงของเขาเอาไว้แล้ววางคางอยู่กับบ่ากว้างนิ่ง ยอมให้เขาพาก้าวยาวๆข้ามถนนแต่โดยดี เมื่อมาถึงรถตู้คันใหญ่ คริสเตียนก็วางเธอลงบนเบาะโดยมีคนขับรถตู้ของโรงแรมเปิดประตูรออยู่ก่อนแล้ว “ออกรถกลับโรงแรม ระหว่างทางช่วยแวะคลีนิคด้วย” ชายหนุ่มออกคำสั่งกับคนขับรถเป็นภาษาอิตาเลี่ยน ก่อนจะหันมาให้ความสนใจกับเท้าเล็กขาวเนียนแล้วเอ่ยถาม “เจ็บเท้าข้างไหนโรส” “คุณรู้ได้ยังไงคะว่าฉันนั่งรถของโรงแรมนี้มา” หญิงสาวไม่ยอมตอบ แต่กลับเอ่ยถามด้วยความสงสัย เพราะเธอมั่นใจว่าเขาไม่เห็นเธอตอนลงจากรถตู้ของโรงแรมแน่ “ผมไม่รู้ แต่ผมแค่จะกลับโรงแรมเซสเตียน เห็นรถของโรงแรมจอดอยู่ก็เลยพาคุณมาด้วย” “ไม่ยักรู้ว่าคุณก็พักโรงแรมเซสเตียน แต่เอ๋…คุณเป็นพนักงานของโรงแรมนี้ไม่ใช่เหรอ หรือว่าคุณรับจ๊อบพิเศษ” “เลิกสนใจงานของผม แล้วให้ความสนใจกับเท้าตัวเองก่อนดีกว่าไหมแม่คุณ เมื่อกี้ยังไม่ได้ตอบคำถามผมเลยนะว่าเจ็บเท้าข้างไหน” แม้ยังไม่หายข้อสงสัย แต่นัยน์ตาสีสนิมเหล็กคมเข้มที่จ้องมานิ่งจริงจังราวกับรอฟังคำตอบอย่างตั้งใจนั้น ทำให้หญิงสาวไม่กล้าเอ่ยถามอะไรต่อ จึงได้แต่ตอบออกไปเบาๆ “ข้างขวาค่ะ ฉันเจ็บเท้าข้างขวา” คริสเตียนทรุดลงนั่งพื้น แล้วคว้าเท้าเล็กมาวางบนต้นขาโดยไม่พูดหรือถามอะไรอีก ด้านโรสศิรินที่เอาแต่หลุบตาลงหลบดวงตาคมกริบก็ต้องสะดุ้งสุดตัว พร้อมกับยกเท้าหนีโดยอัตโนมัติ เพราะไม่คิดว่าชายหนุ่มจะทำอะไรแบบนี้ “คุณจะทำอะไรคะ ไม่ต้อง…” พูดยังไม่ทันจบประโยคก็ต้องรีบหุบปากแทบไม่ทัน เมื่อแววตาคมกริบเงยหน้าขึ้นมาจ้องหน้าเธอดุๆ โรสศิรินรีบเบือนหน้าไปอีกทางเพราะเห็นแววตาดุๆของเขาทีไร รู้สึกใจคอไม่ค่อยดีทุกที เธอยอมอยู่นิ่งๆเงียบๆให้อีกฝ่ายปลดรองเท้าส้นสูงออกจากเท้าของเธออย่างเบามือ ก่อนจะได้ยินเสียงทุ่มเอ่ย “ถ้ารองเท้าส้นสูงมันอันตรายมาก วันหลังก็เลือกรองเท้าส้นเตี้ยใส่ก็พอ จะได้ไม่เกิดอุบัติเหตุเหมือนอย่างวันนี้อีก” ‘ได้ไงละคะ รองเท้าส้นสูงเป็นของคู่กับผู้หญิง ถ้าไม่ได้ใส่ก็ไม่มีความมั่นใจนะสิ คุณเป็นผู้ชายจะเข้าใจอะไร’ นั่นเป็นสิ่งที่โรสศิรินอยากจะเถียงออกไป แต่ก็ทำได้แค่เถียงในใจ เพราะตอนนี้เธอตระหนักได้ว่าผู้ชายคนนี้นอกจากจะหล่อร้ายแล้วยังน่ากลัวเกินกว่าที่จะต่อล้อต่อเถียงเล่นอีกด้วย ฉะนั้นสิ่งที่เธอทำได้ตอนนี้คือนั่งมองการกระทำที่แสนจะอ่อนโยนของเขาอย่างเงียบๆ ด้วยหัวใจที่สั่นไหวแปลกๆ ทว่ากลับอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก เพราะตั้งแต่เด็กจนอายุปาเข้าไปเลขสาม ยังไม่เคยมีผู้ชายคนไหนทำอะไรให้เธอแบบนี้มาก่อน จะมีก็แต่คุณยายและพี่เลี้ยงสาวที่คอยอยู่เคียงข้างและดูแลยามเจ็บป่วยเท่านั้น “ผมจะไม่อ้อมค้อมนะโรส” เมื่อปลดรองเท้าให้เธอเรียบร้อยแล้ว คริสเตียนก็ขยับขึ้นมานั่งข้างๆแล้วเริ่มเข้าเรื่องทันที “ค่ะ” “ในเมื่อคุณเลือกที่จะออกมาตามเวลาที่ผมกำหนด ผมก็จะถือว่าคุณตกลงรับข้อเสนอของผมแล้ว” “อันที่จริงฉันอยากจะออกมาต่อรองกับคุณมากกว่า” “ต่อรองอะไร” ชายหนุ่มผู้กำลังจะถูกต่อรองเอ่ยถามพลางขมวดคิ้วมองใบหน้างามนิ่ง ตอนแรกเขาเข้าใจว่าที่เธอเดินออกมาเพราะเธอยอมตกลงแล้วซะอีก แต่ดูเหมือนเขาจะเข้าใจผิด “ฉันอยากจะให้เราเจอกันคนละครึ่งทาง” “ยังไง” “ถ้าฉันตกลงใช้ชีวิตอยู่กับคุณ อาทิตย์หน้าคุณต้องไปตรวจร่างกายกับฉันที่โรงพยาบาลเพื่อเป็นหลักประกันว่าคุณจะไม่คิดตุกติกกับฉัน” โรสศิรินบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง บ่งบอกว่าเธอไม่ได้คิดจะล้อเล่นกับเรื่องที่คุยกับเขาก่อนหน้านี้ และเธอก็ต้องการในสิ่งที่ขอไปจริงๆ “เรื่องนั้นอย่ากังวลไปเลยโรส แต่ผมว่าสิ่งที่ควรกังวลควรจะเป็นเรื่องอื่นมากกว่านะ” “เรื่องอะไรคะ” ดวงตาคู่สวยหรี่แคบลงเล็กน้อย ขณะรอฟังคำตอบจากชายหนุ่มอย่างตั้งอกตั้งใจ “ก็เรื่องหัวใจคุณไงโรส ผมเกรงว่าคุณจะใจอ่อนให้ผมแล้วตกหลุมรักผมเร็วกว่าเวลาที่ผมกำหนดเอาไว้แต่แรกนะสิ เพราะถ้าเป็นแบบนั้นจริงเราคงไม่ต้องพึ่งหลักการทางวิทยาศาสตร์ทำลูกแล้วมั่ง เอาวิธีธรรมชาติเนี่ยแหละ” “คุณคริสเตียน!” เสียงหวานเรียกชื่อเขาเสียงดังลั่น ขณะที่ใบหน้าขาวเนียนเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงลามไปถึงใบหูเล็ก อายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนีให้รู้แล้วรู้รอด “เรียกผมว่าคริสเฉยๆก็ได้ ผมอนุญาต” นอกจากจะไม่สะทกสะท้านกับคำพูดของตัวเองก่อนหน้านี้แล้ว เขายังเอ่ยบอกเธอราวกับเรื่องที่เขาพูดนั้นไม่ได้มีอะไรให้สะดุดหูเลยสักนิด “นี่ฉันคิดผิดหรือคิดถูกกันเนี่ยที่เลือกคุณเป็นพ่อของลูก” โรสศิรินบ่นพึมพำกับตัวเองขณะมองใบหน้าหน้าหล่อเหลาอย่างค้อนๆ ก่อนจะเบือนหน้าไปทางอื่นเป็นการตัดบทสนทนา โดยที่ชายหนุ่มมองตามยิ้มๆ ไม่น่าเชื่อว่าสาวสวยแปลกหน้าคนนี้จะมาทำให้เขารู้สึกดีได้ในวันที่ชีวิตต้องมาเจอกับความซวยแบบนี้
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD