จิวซินเร้นกายเข้าไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าคราวนี้ม่านถูกนำมากลางกั้นรอบทิศทาง
ฮุ่ยโม๋เดินมือไพล่หลังด้วยท่าทีเรียบเฉยปราศจากพิรุธ แต่ทว่าใบหน้า และแววตาตื่นเต้นจนเห็นได้ชัด
“ข้าบังเอิญผ่านมา ได้ยินเสียงเอะอะ” ตีสีหน้าเรียบเฉยได้อย่างประหลาด จิ่นฉินเหลือบตามองมีดสั้นที่ด้ามโผล่พ้นชายเสื้อของฮุ่ยโม๋อย่างที่ฮุ่ยโม๋ไม่ทันได้ระมัดระวังตัว
“มีคนร้าย ...ผู้บุกรุกขณะที่องค์ชายของเรากำลังแช่น้ำ” องค์ชายห้ากระตุกยิ้มที่ริมฝีปาก หมิงหลินเอ่ยคำ สายตาคมดุจพญาเหยี่ยวเหลือบตามองหมิงหลินเพียงครู่ความคิดว่องไวปานสายฟ้า หญิงรับใช้คนนี้ ใบหน้าหมดจดงดงาม คงเป็น สาวใช้ที่ ถูกกล่าวถึงเป็นแน่ องค์ชายสิบสองนิยมหญิงงาม
“องค์ชายใหญ่เป็นอย่างไรบ้าง” น้ำเสียงอ่อนโยนลงอย่างเห็นได้ชัด ชง” ไฉ่จับน้ำเสียงได้ถนัดชัดเจนพี่ห้าไม่เคยสนใจผู้ใดมาก่อน วันๆ เอาแต่ฝึกวิทยายุทธจน ซ่ำซองหากแต่วันนี้กับมีความห่วงใยออกมาให้เห็น
“พี่ห้า ใจตรงกันท่านเพียงแค่ผ่านมาหรือว่าจงใจกันแน่” จิ่นฉินรู้สึกว่าคำถามที่เขาอยากถามโดนชงไฉ่เอ่ยไปก่อน
“ข้าเพียงแค่ลัดเลาะเรื่อยเปื่อยบังเอิญนึกขึ้นได้ว่าองค์ชายใหญ่เมาหนักตั้งแต่เมื่อคืนป่านนี้จะสร่างหรือยัง” แก้ตัวได้ดี
“ผู้คนล้วนมีโฉมหน้าสองประการ” จิ่นฉินเอ่ยปาก
องค์ชายห้าฮุ่ยโม๋ขมวดคิ้ว หงุดหงิดกับคำกล่าวของจิ่นฉิน
“เช่นนั้นนายของเจ้าก็มีโฉมหน้าสองประการไม่มียกเว้น หากแต่เป็นโฉมหน้าสองประการแบบไหน เปลือกนอกดีงามภายในลึกซึ้งชั่วร้าย หรือว่าเปลือกนอกแข็งแกร่งภายใน อ่อนหวานงดงาม” จิ่นฉินระงับอารมณ์โกรธด้วยว่าองค์ชายของไห่ตงหยวนไม่ใช่ผู้ที่เขาจะปะทะคารมด้วยอย่างใดเพียงแค่กล่าวความในให้สะกิดใจบ้างก็พอ
“พี่ห้าสายตาเฉียบคม” ชงไฉ่ พยักหน้าหงึกหงักชื่นชมฮุ่ยโม่จนเด่นชัด
“อาชาตัวหนึ่งเพียงได้ทะยานไปข้างหน้าก็พอแล้ว ไม่สนใจ กรวดหินหรือข้างทางรกเรื้อ” จิวซินออกมาทันเวลาพอดี
“เจ้านี่เหมือนจะซุกซ่อนความขมขื่นไว้ภายใน” ชงไฉ่จับน้ำเสียงของจิวซินที่อ้างว้างและสันโดษ
“ตัวข้ามีเพียงแสวงหาความสุขสำราญจากการสะกดกลั้นจึงเป็นความสุขที่แท้จริง” พูดหมายให้จิ่นฉินเข้าใจและทำตาม แต่องค์ชายห้าฮุ่ยโม๋กลับกลืนน้ำลายลงคอนึกสงสารจิวซินจับใจ นางเป็นใครถึงทำการใหญ่เช่นนี้ได้หญิงงามไร้ที่ติแต่กลับนำตัวเองเดินเข้าสู่ลานประหารด้วยความจงใจและเด็ดเดี่ยว
“สุราและอาหารเลิศรส ย่อมเป็นสิ่งกระตุ้นความสุขสำราญได้เหมือนกันข้าอยากให้องค์ชายใหญ่หลุดพ้นจากการสะกดกลั้นที่เป็นความสำราญชั่วคราวหากหาความสำราญจากการสะกดกลั้นยิ่งจะรวดร้าวทรมาน” จิวซินยิ้มคมที่มุมปากตามแบบที่ฝึกปรือมา
“สำหรับข้าจิ่นเกอ การได้ฝึกฝนเคล็ดวิชา ที่เยี่ยมยอดก็เป็นอีกหนทางที่จะแสวงหาความสุข”
“ชงไฉ่มากความสามารถ ใช้เพียงนิ้วมือเดียวก็สามารถหยุดกระบี่ว่องไวได้” จิวซินเลิกคิ้วสูงมององค์รัชทายาทด้วยไม่อยากเชื่อสายตาแบบเผลอไผลทำให้ใบหน้าสวยน่ามองดวงตากลมโตมีแววประหลาดใจ องค์ชายห้าฮุ่ยโม๋มองด้วยความชื่นชมจะหาหญิงใดงามได้เทียมเคียงนางไม่ เขาจะต้องรู้ให้ได้ว่านางเป็นใคร
“ภายในขององค์ชายสิบสอง ช่าง คาดเดามิได้เสียจริง” จิวซินออกปากชมแกมเหน็บแนม
“ภายในหุบเขาจะเจอสิ่งใด หากเจ้าเดินอยู่เพียงภายนอก”
“เช่นนั้นข้าจิ่นเกอ คงต้องให้ท่านช่วยชี้แนะเพื่อความสำราญของข้า” จิวซินผายมือยังลานกว้างด้านนอก
จิวซิท่วงท่าเฉียบคมชักกระบี่คมกริบชงไฉ่ใช้มือเปล่าในการประมือ เขาองอาจผ่าเผยสงบเยือกเย็นอาจปราศจากไหวพริบปราดเปรื่องเหมือนฮุ่ยโม๋ หากแต่แนววิชาเปิดเผยหมดจด จิวซินทะยานเข้าใส่ชงไฉ่ตั้งมั่นมิพรั่นพรึง หากมิถึงคราวจำเป็น เขาก็มิได้ลงมือเฉียบคมรุนแรงกับจิวซิน ใบหน้าหวานอยู่ในสายตาไม่คลาดเคลื่อน ชงไฉ่เฝ้ามองร่างพลิ้วไหวที่ทะยานใส่เขาช้ำแล้วช้ำเล่าอย่างไม่มีเหนื่อยความเกรี้ยวกราดรุนแรงของกระบวนท่าของจิวซินต่อให้เป็นคนตาบอดก็คำนวนได้ไม่ยากด้วยความโมโหหุนหันนั้น ชงไฉ่ไม่เพลี่ยงพล้ำจิวซินยิ่งถาโถมกำลังเข้าใส่
ชงไฉ่แนววิชาเปิดเผยหมดจด เพียงสุดท้ายร่างบางเซทรุด ชงไฉ่คว้าไว้ทัน ตาคมประสานสายตาอ่อนหวานกลมมน มิผิดดวงตาของอิสตรีชงเผลอไผลรวบเอวบางแน่นกว่าเดิมด้วยความลืมตัวใบหน้าโน้มใกล้ใบหน้างดงาม หากตอนนี้เขาเบิกบานใจไร้ทุกข์โศกกังวลต่อให้จิวซินก้าวร้าวล่วงเกินยิ่งกว่านี้เขาก็ไม่นำพา จิวซินหมายปะทะหักล้างฝ่ายตรงข้ามแม้จะเป็นกระบวนท่าใดก็หุนหันจนน่าตกใจต่างจากจิวซินคนเดิมที่เคยพานพบกระบี่ของจิวซินไร้น้ำใจที่สุดในยามนี้ แต่ก็ไม่สามารถคุกคามชงไฉ่ได้แต่อย่างใด
ชงไฉ่ยังคงมีลูกเล่นยื้อยุดไม่ปล่อยวงแขนโอบรอบเหมือนแกล้งให้อีกฝ่ายปิดป้องปัดป้ายแต่เขากลับถาโถมเข้าประชิดสุขุมหนักแน่น
องค์ชายห้าฮุ่ยโม่ปรบมือเปราะแประเมื่อเห็นอาการโกรธขึ้งของ จิวซินแม้จะน่ามองเพียงใดหากแต่จะทำให้เกิดความบาดหมางและเนื้อตัวจิวซินที่แนบชิดกับชงไฉ่ทำเอาเขากระอักกระอ่วนใจ รู้สึกไม่พอใจขึ้นมา
“น้องสิบสองท่วงท่างดงามเปิดเผย องค์ชายใหญ่เองก็น่าสะพรึงกลัว มิได้เป็นรอง” ชงไฉ่ผสานมือคารวะองค์ชายห้า
“มิกล้ามิกล้าพี่ห้ากล่าวเกินไปแล้ว” จิ่นฉินยังคงเงียบมีเพียงสายตาที่ห่วงใยเกินจะกล่าวเข้าไปฉุดร่างจิวซินที่เปรอะเปื้อนฝุ่นผง
“องค์สิบสองกระบวนท่าไม่ต่างจากคนตาย” องค์ชายห้าอกมือข้างหนึ่งขึ้นปิดปากกลั้นหัวเราะ
“เช่นไรที่เจ้าว่ากระบวนท่าไม่ต่างจากคนตาย”
“แม้มีหญิงงามเปลื้องผ้าตรงหน้าท่านก็ไม่อาจขยับตัวเกินกว่านี้” คราวนี้ทั้งองค์ชายห้าและชงไฉ่หัวเราะเสียงดังพร้อมกัน จิ่นซินรู้อารมณ์ของจิวซินดีแต่ก็อดจะขำกับท่าทางแง่งอนนั้นไม่ได้
“องค์ชายใหญ่ ท่านว่ากล่าวองค์รัชทายาท เกินจริงองค์รัชทายาทมีหญิงงามนับสิบนับร้อยในตำหนักหากไม่เคลื่อนไหวหรือขยับตัวจะมีพวกนางไว้ทำไม” จิวซินยิ้มอย่างมีชัย
“ถูกต้องอย่างที่เจ้าว่าจิ่นฉิน มิผิดแต่อย่างใด” องค์ชายห้าฮุ่ยโม๋ว่ากล่าวด้วยรอยยิ้ม
“นับถือท่านเป็นสหายแน่แล้วองค์ชายห้า” จิวซินประสานมือคารวะองค์ชายห้าที่แววตาไหวระริก
“พวกท่านว่ากล่าวผิดไปเพียงแต่กระบี่ขององค์ชายใหญ่ไร้ปรานีเพียงข้าหลับตาก็สามารถฟังเสียงกระบี่คร่ำครวญได้ไม่ยากเสียงคมกระบี่ยามต้องลมเหมือนสายน้ำยามไหลริน”
“ข้ากับท่านถือว่าเสมอกันคราวนี้ข้ายอมให้ท่านเนื่องด้วยคราวก่อนกระบวนท่าเหนือกว่าต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้คราวนี้แม้เป็นการต่อสู้เพื่อความบันเทิงหากแต่ข้าก็ถือว่าข้าเพลี่ยงพล้ำหากฝึกฝนให้มากกว่านี้ท่านก็คงนำหน้าข้าไปอยู่ดีหากท่านฝึกฝนเคี่ยวกรำเหมือนกัน”
“นับว่าเป็นความพยายามที่น่าชื่นชมน้องสิบสองเจ้าต้องจำคำขององค์ชายใหญ่ไว้ผู้ที่อยู่เหนือกว่าหากฝึกฝนย่อมเหนือกว่า” จิวซินยิ้มละลายความขุ่นเคืองไปสิ้นทุกอย่างที่ทำเพื่อไห่ตงหยวนหาใช่ตัวเองไม่
ราชโองการถูกส่งยังเหอตงหยวนอย่างเร่งด่วนอาชาทะยานป่านลูกธนูเข้าสู่เป้าหมาย
เหอหยวนกำมัดทุบลงบนโต๊ะเสียงดังสนั่นเมื่อขันทีอ่านราชโองการจบลง
“ไห่หยวนเจ้าไม่เหลือทางเลือกใดให้ข้าแม้สักเพียงนิด องค์หญิงเป็นอย่างไรบ้าง” ถามไถ่ถึงจิวซิน
“องค์หญิงยังพำนักอยู่ในตำหนักด้วยอาการป่วยฝ่าบาท” เหอหยวนถอดหายใจก่อนจะส่งเสียงไอออกมาสองสามทีด้วยอาการป่วย เขาเกือบจะลืมไปแล้วว่าจิวซิน ไม่ได้อยู่ที่นี่นางอาสาจากไปพร้อมกับแบกรับความทุกข์ระทมของเขาไว้ ราชโองการของไห่หยวน กดดันเหอหยวนยิ่งนักคนผู้นี้ไม่อาจจะนับเป็นสหายหรือเยื่อใยที่มีต่อกันจะคงอยู่อีกต่อไป