เหนือเมฆ 1.3

2310 Words
ช้องนางเดินลงมาจากชั้นบนของบ้าน ยังไม่ทันที่หล่อนจะเดินมาถึงตีนบันได พิกุลที่กำลังขึ้นไปตามหญิงสาวยืนยิ้มอยู่ด้านล่าง “คุณนะ...เอ๊ย! คุณเดชรอกินอาหารเช้าอยู่ที่ระเบียงค่ะ” พิกุลเกือบพลั้งปากไปแล้ว “คุณรีบไปที่โต๊ะเถอะคะ คุณเดชกับพี่เหนือรอกินข้าวค่ะ” ช้องนางพยักหน้ารับรู้ เดินตามพิกุลออกไปนอกบ้าน และทันทีที่เห็นทัศนียภาพด้านนอก หล่อนถึงกับร้องว้าวเบาๆ เนื่องจากภาพตรงหน้าหล่อนไม่มีโอกาสได้เห็นในกรุงเทพ จะได้เห็นก็ต่อเมื่อมาเที่ยวต่างจังหวัด ซึ่งหนึ่งปีหล่อนจะเที่ยวสักครั้ง “นั่งสิ” เหนือเมฆบอกช้องนาง “ที่นี่สวยจังค่ะ กุ้งไม่เคยเห็นภาพแบบนี้นานมากแล้วค่ะ” ช้องนางพูดขณะทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับเหนือเมฆ “อากาศตอนเช้าที่นี่ดีมาก ลมเย็นๆ แดดอ่อนๆ กลิ่นดินกลิ่นหญ้ามันทำให้รู้สึกมีพลัง คุณเดชกับฉันเลยกินอาหารเช้าที่นี่ทุกวัน” เหนือเมฆพูด “อากาศดีตามที่พี่เหนือว่ามาจริงๆ ค่ะ” ช้องนางเห็นด้วย “ขอบคุณคุณเดชมากนะคะที่ให้ที่พักพิงกับกุ้งเมื่อคืนนี้” “เอ่อ...ไม่เป็นไรครับ” เดชดวงตอบไม่เต็มเสียงนัก หันไปมองหน้าเหนือเมฆที่ใช้เท้ากระทุ้งขาตนเบาๆ เป็นเชิงเตือน ว่าอย่าหลุด “ผมว่ารีบกินข้าวดีกว่าครับ ผมมีธุระต้องเข้าไปในเมืองด้วย ผมจะให้เหนือไปส่งคุณกุ้งที่กรุงเทพนะครับ” “แค่นี้กุ้งก็เกรงใจคุณเดชกับพี่เหนือมากแล้ว ให้พี่เหนือไปส่งกุ้งที่ท่ารถก็ได้ค่ะ กุ้งนั่งรถบขส.กลับกรุงเทพเองได้ค่ะ” ช้องนางกล่าวอย่างเกรงใจ “ไม่ต้องเกรงใจหรอก วันนี้ฉันต้องเข้ากรุงเทพไปทำธุระให้คุณเดชพอดี จริงไหมครับคุณเดช” เหนือเมฆหันมาถามเดชดวง “อ้อ...ใช่ครับใช่ เหนือต้องไปทำธุระให้ผมครับ” เดชดวงไหลไปตามน้ำ “ผมกับเหนือจะสบายใจมากถ้าให้เหนือไปส่งคุณหน้าบ้าน อย่าปฏิเสธความหวังดีของเราสองคนเลยนะครับ” “ค่ะ ก็ได้ค่ะ” “กินข้าวเถอะ อาหารจะเย็นหมดแล้ว” เหนือเมฆพูด ทั้งสามจึงลงมือทานอาหารที่มีอยู่สามอย่างบนโต๊ะ ระหว่างที่ทานอาหารเช้า เหนือเมฆเล่าเรื่องราวเมื่อคืนให้ช้องนางฟัง หล่อนโล่งอกและโล่งใจที่เหนือเมฆเข้าช่วยเหลือตนได้ทัน ไม่เช่นนี้ช้องนางคงเกิดนรกในใจไปตลอดชีวิตแน่นอน การสนทนาเรื่องนี้ยุติลงเพราะเหนือเมฆไม่อยากตอกย้ำความเจ็บปวดให้ช้องนาง และเมื่ออาหารเช้าทำให้ทุกคนอิ่มท้อง เดชดวงก็ปลีกตัวไปทำหน้าที่ตนทันที เหนือเมฆกับช้องนางพากันเดินมายังโรงรถที่มีรถหรูจอดอยู่สามคัน ราคาต่อคันไม่ต่ำกว่ายี่สิบล้านบาท และมีรถกระบะแบบสองประตูและสี่ประตูว่าไว้ใช้งานในไร่อีกอย่างละสองคัน ไม่รวมรถจิ๊บที่จอดอยู่หน้าบ้าน ไร่เมฆาใช้รถเปลืองจริงๆ “คุณเดชมีรถหลายคันจังเลยนะคะ” “เจ้าสามคันนี้เป็นคันโปรดของเจ้าของไร่ ส่วนคันอื่นๆ ก็เอาไว้ใช้งานในไร่ ยังมีรถบรรทุกหกล้อเอาไว้ขนสินค้าไปส่งที่กรุงเทพและที่อื่นๆ ด้วยนะ” เหนือเมฆไม่ได้คุยโว เขาเพียงบอกให้หล่อนรู้ “งานในไร่ต้องใช้รถเยอะขนาดนี้เลยหรือคะ” ช้องนางถามเพราะความไม่รู้ “ถ้าระยะยาวพี่คิดว่า มีรถพวกนี้ไว้ใช้เองคุ้มกว่า ดีกว่าไปเช่ารถเขาที่ไม่ได้เลยตามต้องการด้วย ต้องรอคิวยาวเหยียด มีรถไว้ใช้เองจะใช้ตอนไหนก็ได้ การขนส่งไม่ล่าช้าด้วย” เขาตอบ “อ๋อค่ะ” ช้องนางทำเสียงรับรู้ “ขึ้นรถเถอะ สายแล้ว” เหนือเมฆบอกสาวสวย เปิดประตูรถสปอร์ตยี่ห้อที่หล่อนคิดว่า ชาตินี้ทั้งชาติไม่มีโอกาสได้เป็นเจ้าของ “ไปรถคันนี้หรือคะ” “ใช่สิ ทำไมล่ะ” “พี่เหนือบอกกุ้งเมื่อกี้ว่า รถคันนี้เป็นคันโปรดของคุณเดช พี่เหนือเอารถคันนี้ไปกรุงเทพ คุณเดชไม่ว่าหรือคะ” ช้องนางแอบหวั่น ไม่กล้านั่ง “ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้ คุณเดชสั่งพี่มาเองว่า ให้เอารถคันนี้ไป เพราะพี่ต้องไปติดต่องานให้คุณเดชที่โน่นด้วย ไปติดต่องานกับลูกค้าก็ต้องดูดีหน่อยไม่ใช่เหรอ ไปแบบซกมกได้ไง” จะว่าไป เหนือเมฆพูดถูก สมัยนี้ภาพลักษณ์เป็นเรื่องสำคัญในการทำธุรกิจ ไม่เพียงแค่เหนือเมฆเอารถสุดหรูเข้ากรุงเทพ การแต่งกายของเขาก็ต่างกับเมื่อครู่ใหญ่ลิบลับ ตอนนี้เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนกับกางเกงยีนส์ ชุดเรียบๆ ที่หล่อนเห็นผู้ชายหลายคนในเมืองหลวงใส่ จะต่างกันตรงที่ว่า เขาสวมชุดนี้ได้เท่มาก เท่ที่สุด “ไปติดต่อธุรกิจแต่พี่เหนือใส่กางเกงยีนส์เนี่ยนะ” “ใส่ตอนขับรถ จะเข้าไปติดต่องานก็เปลี่ยนไง ฉันเอากางเกงมาเปลี่ยนด้วยอยู่ท้ายรถน่ะ” เหนือเมฆตอบ “มีอะไรสงสัยอีกไหม ถ้าไม่มีก็ขึ้นรถได้แล้วครับเจ้าหญิง” ช้องนางหัวใจเต้นแรง แก้มรู้สึกร้อนผ่าวเมื่อเห็นรอยยิ้มของเหนือเมฆ มันทำให้หล่อนรู้สึกว่า ลืมไกรศรไปจากหัวใจจนหมดสิ้น ช้องนางสอดตัวเข้าไปนั่งเบาะหน้าข้างคนขับ อีกไม่กี่วินาทีต่อมา รถสุดหรูได้เคลื่อนตัวออกจากโรงจอดรถ ทะยานไปบนถนนมุ่งตรงเข้ากรุงเทพมหานคร รถสปอร์ตหรูแล่นด้วยความเร็วค่อนข้างสูงไปบนถนนสายหลักมุ่งตรงเข้ากรุงเทพมหานคร เมืองหลวงที่ใครๆ อยากแสวงหาความร่ำรวย ความสะดวกสบาย เพราะคิดว่า มันตอบโจทย์ทุกอย่างในชีวิต แต่หารู้ไม่ว่า เมืองหลวงฟ้าอมรไม่ได้เพอร์เฟคอย่างที่ใครหลายคนคิด หากดีจริงเหนือเมฆคงไม่หลบหนีความวุ่นวายไปใช้ชีวิตอันแสนสงบในไร่เมฆา มรดกที่ตกทอดมาตั้งแต่รุ่นทวด ภายในรถมีเพียงเสียงดนตรีจากเครื่องเสียงชั้นดีที่ติดมาพร้อมรถยนต์ เหนือเมฆทำหน้าที่ขับรถ ช้องนางนั่งนิ่งมองออกไปนอกหน้าต่าง ราวกับว่าทิวทัศน์ข้างนอกมีพลังดึงดูดให้หล่อนไม่อยากละสายตาไปไหน ทว่าสำหรับเหนือเมฆภาพด้านนอกเป็นภาพที่เขาเห็นจนชินตา ภาพในรถต่างหากที่เหนือเมฆเห็นเป็นครั้งที่สอง ครั้งแรกเมื่อคืนนี้ที่พาช้องนางมาไร่เมฆา เขาจึงหันมามองหล่อนเป็นระยะๆ “พี่ขอถามอะไรกุ้งสักสองสามข้อได้ไหม” เสียงของเหนือเมฆทำให้ช้องนางละสายตาจากนอกหน้าต่างรถ “ค่ะ พี่เหนืออยากถามอะไรคะ” “พี่จะถามเรื่องเมื่อคืน กุ้งเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นได้ยังไง” เหนือเมฆเอ่ยถามเรื่องที่ตนสงสัย “แต่ถ้ากุ้งไม่พร้อมจะเล่าให้พี่ฟัง ไม่ต้องเล่าก็ได้นะ” ช้องนางส่งยิ้มบางให้ผู้มีพระคุณที่ช่วยเหลือตนเมื่อคืน น้ำตาหล่อนคลอคล้ายกับว่า เรื่องเมื่อคืนนี้วิ่งเข้ามากระทบจิตใจหล่อนอย่างจัง เกิดความเจ็บปวดรวดร้าว “พี่ไม่อยากรู้แล้ว กุ้งไม่ต้องเล่าแล้วนะ” เหนือเมฆเห็นอารมณ์ทางสีหน้าของช้องนางแล้ว เขาไม่อยากรู้เรื่องนั้นแล้ว ให้มันแล้วให้แล้วไป “ไม่เป็นไรค่ะ ถือว่ากุ้งได้ระบายความรู้สึกออกไปบ้าง” ช้องนางวางใจและไว้ใจเหนือเมฆ ทั้งที่เขาเป็นคนแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักไม่ถึงหนึ่งวัน แต่ในความรู้สึก เขาน่าไว้ใจกว่าไกรศร คนที่หล่อนไว้ใจมากรองลงมาจากพ่อและแม่ “เอาที่สบายใจนะกุ้ง” “ค่ะ เรื่องมันคงเริ่มต้นจากความไว้ใจ ต้าร์เป็นแฟนของกุ้งค่ะ เป็นมาสองปีแล้ว กุ้งไว้ใจและเชื่อใจต้าร์ในฐานะแฟน แต่ไม่คิดว่า ต้าร์จะหลอกให้กุ้งมาที่บ้านของมัน หลอกมาให้มันข่มขืนแลกหนี้สินที่ต้าร์ติดไว้ แต่ดีที่พี่เหนือมาช่วยกุ้งได้ทัน ไม่อย่างนั้นกุ้งคงหมดอาลัยตายอยากกับชีวิตและอาจคิดสั้นด้วยค่ะ” ระหว่างที่ช้องนางเล่า น้ำตาหล่อนไหลเป็นทาง มือเรียวสวยปาดน้ำตานั้นทิ้งตลอดเวลา เหนือเมฆเห็นแล้วสงสารจับใจ นึกแค้นไกรศรที่หลอกคนรักไปให้เจ้าหนี้ ทำแบบนี้ไม่ยุติธรรมกับช้องนาง เพราะหล่อนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องหนี้สินสักนิดเดียว “แล้วกุ้งจะทำยังไงต่อ จะเอาเรื่องมันสองคนไหม พี่เป็นพยานให้นะ” “ไม่ค่ะ กุ้งไม่ได้เสียหายอะไรนอกจากเสียความรู้สึก อีกอย่างมันสองคนคงไม่กล้าทำอะไรแบบนั้นอีกแล้ว ที่สำคัญที่สุด กุ้งไม่อยากเกี่ยวข้องกับต้าร์อีกในทุกทางค่ะ” หล่อนรู้สึกเจ็บปวดเสียใจกับการกระทำของไกรศรเป็นที่สุด ความรักที่เคยให้ไกรศรเปลี่ยนเป็นความเกลียดเข้ากระดูกดำ เกลียดจนไม่อยากพบเจอ “แล้วถ้ามันมายุ่งกับกุ้งล่ะจะทำยังไง” “แต่กุ้งคิดว่า มันคงไม่กล้ายุ่งกับกุ้งอีก แต่ถ้ามันกล้า กุ้งจะแจ้งตำรวจจับมัน” ช้องนางรู้นิสัยไกรสรดีว่า เป็นคนไม่ค่อยกล้าเผชิญกับปัญหา ยิ่งรู้ว่าแผนของตนล้มไม่เป็นท่าก็ยิ่งกลัว กลัวว่าตนจะไปแจ้งตำรวจ ระยะนี้คงหนีหายไปสักพักเพื่อให้เรื่องเงียบถึงค่อยกลับมา “อย่าชะล้าใจไปนะ ถ้ามันคิดทำกับแฟนแบบนี้ได้ พี่เชื่อว่ามันก็ต้องกล้าทำชั่วอย่างอื่นอีก อย่าลืมนะว่า ไอ้ชั่วคนนั้นปล้ำกุ้งไม่สำเร็จ นั่นหมายความว่าหนี้สินระหว่างไอ้ต้าร์กับไอ้คนนั้นยังไม่จบสิ้น มันสองตัวอาจคิดไม่ดีกับกุ้งอีกก็ได้” เหนือเมฆกล่าวเตือน ช้องนางนิ่งคิด เขาพูดถูก สองคนนั้นคงไม่หยุดแค่นี้แน่ ได้ยินเช่นนี้แล้วใจหล่อนสั่นขึ้นมาทันใด “กุ้งจะระวังตัวค่ะ” “ระวังตัวหน่อยก็ดี อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน จะจนใจเอง คำโบราณคำนี้ใช้ได้ทุกยุคทุกสมัยนะ” เขาเตือน “แต่กุ้งไว้ใจพี่ได้นะ พี่ไม่ได้มีดีแค่หล่อล่ำ พี่ยังนิสัยดีด้วยนะ” ช้องนางอมยิ้มกับคำพูดของเหนือเมฆที่เยินยอตัวเอง แต่จะว่าไปเขาพูดถูก เหนือเมฆเป็นคนหล่อเข้ม ภาพที่หล่อนเห็นตอนที่เขาโชว์ท่อนบนเปลือยเปล่า อวดความอุดมของกล้ามเนื้อช่วงอก ท่อนแขนเขาก็ไม่น้อยหน้ากล้ามขึ้นเป็นมัดๆ หล่อนเห็นแล้วใจละลายกับความเซ็กซี่ หัวใจเต้นถี่แรงขึ้นมาทันใด ส่วนเรื่องนิสัย แม้ว่าหล่อนจะเพิ่งรู้จักเขาได้แค่หนึ่งวัน น่าแปลกที่หล่อนเชื่อใจเขามากกว่าไกรศรเสียอีก และเชื่อด้วยว่าเขานิสัยไม่เหมือนไกรศรแน่ๆ การสนทนาของทั้งคู่ดำเนินต่อไป เปลี่ยนเรื่องสนทนาเป็นเรื่องสบายๆ ชวนขบขันที่เหนือเมฆสรรหามาพูดคุยให้หล่อนฟัง ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องชวนปวดหัวในไร่เมฆา ทำให้หล่อนคลายความเครียด มีเสียงหัวเราะเป็นระยะ “จะให้พี่ไปส่งที่ไหนครับ” เหนือเมฆถามเมื่อขับรถเข้ามาในเขตกรุงเทพมหานคร “ตรงป้ายรถเมล์ข้างหน้าก็ได้ค่ะ เดี๋ยวกุ้งขึ้นรถเมล์กลับเอง พี่เหนือจะได้ไปทำธุระต่อ” “ได้ไง พี่ต้องส่งถึงที่สิ แล้วไม่ต้องห่วงเรื่องธุระของพี่ ธุระของพี่ไม่สำคัญเท่ากุ้งหรอกนะ” ประโยคนี้ทำให้ช้องนางหน้าแดง  หัวใจพองโตขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูกว่า ทำไมถึงได้รู้สึกว่า ตนเป็นคนสำคัญของเขา “ถ้าอย่างนั้นไปส่งกุ้งที่โรงแรมดีกว่าค่ะ ไปส่งที่บ้านเดี๋ยวพ่อกับแม่ถาม” “โรงแรมเหรอ” คำพูดของเขาเชิงถาม “โรงแรมที่กุ้งทำงานน่ะค่ะ ถ้าวันไหนกุ้งไม่กลับบ้าน พ่อกับแม่ก็จะคิดว่ากุ้งทำงานล่วงเวลา อยู่ดึกมากๆ ก็จะนอนที่ห้องพักของพนักงานที่ทางโรงแรมมีไว้ให้พนักงานพักผ่อนค่ะ” หล่อนตอบให้เขาเข้าใจ “อ๋อ” เหนือเมฆทำเสียงรับรู้ “แล้วโรงแรมมีชื่อว่าอะไรล่ะ” “โรงแรมมิราเคิลค่ะ” “โอเคพี่รู้จัก เดี๋ยวพี่ไปส่งให้ถึงที่เลย” เขาหันมายิ้มให้ช้องนาง ก่อนหันหน้าไปทำหน้าที่พลขับต่อไป อีกหนึ่งชั่วโมงครึ่งต่อมา รถคันหรูก็มาจอดด้านข้างโรงแรม เส้นทางเข้าทำงานของพนักงาน “ขอบคุณพี่เหนือมากนะคะที่มาส่ง และขอบคุณสำหรับเรื่องเมื่อคืนด้วยค่ะ” ช้องนางยกมือไหว้พร้อมคำขอบคุณ “ไม่เป็นไร พี่ยินดีและเต็มใจช่วย” เหนือเมฆยิ้ม “ว่าแต่กุ้งจะทำงานหรือว่าไงครับ” “วันนี้กุ้งเข้าบ่ายค่ะ ตอนนี้ยังไม่เที่ยง นั่งพักสักหน่อยค่อยแต่งตัวเข้าทำงาน” “เข้าบ่ายอย่างนี้เลิกงานคงดึกเนอะ” เหนือเมฆหลอกถามเวลาเลิกงาน “สี่ทุ่มค่ะ” “อ๋อสี่ทุ่ม” คราวนี้เขาก็รู้เวลาเลิกงานของช้องนางแล้ว “กุ้งไปก่อนนะคะ ขอบคุณอีกครั้งค่ะ” เหนือเมฆยิ้มให้สาวร่างเล็กที่ดึงดูดใจตั้งแต่แรกเห็น แม้ว่าหล่อนจะลงจากรถไปแล้ว ทว่าเขาก็ยังไม่ไปไหน เขานั่งมองช้องนางที่เดินเข้าไปในทางเข้าพนักงาน รอจนกว่าหล่อนเดินเลี้ยวเข้าไปในตัวอาคาร เหนือเมฆจึงวางใจ ขับรถไปยังที่ทำงานของตน  
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD