บทนำ
ท่ามกลางบรรยากาศสลัวในร้านอาหารย่านชานเมืองแห่งหนึ่ง ซึ่งเต็มไปด้วยคู่รักที่แวะเวียนมาใช้บริการ หนึ่งในนั้นคือหญิงสาว เจ้าของใบหน้าอ่อนหวาน ทว่าดวงตาของเธอนั้นกลับฉายชัดให้เห็นถึงความเศร้าได้อย่างชัดเจน และที่มันเป็นแบบนั้น...ก็เพราะว่าค่ำคืนนี้ เธอจำต้องบอกบางสิ่งกับคนรัก
บางสิ่งที่เธอตัดสินใจมาดีแล้ว
และจะไม่มีอะไรมาเปลี่ยนใจเธอได้ ไม่ว่าจะเป็นเวลาคบหากันอย่างเนิ่นนาน หรือแม้แต่คำขอโทษของเขา ทั้งหมดที่ว่ามานั้นจะไม่มีผลต่อความรู้สึกของเธออีกแล้วนับจากนี้ไป!
“ขอโทษครับอุ้ม ผมประชุมเสร็จก็รีบมาเลย รอนานไหมครับ” เฝ้ารอไม่นานร่างสูงใหญ่ก็ปรากฏตัวขึ้น แม้จะรู้ดีว่าการผิดนัดคนรักไม่ใช่เรื่องที่ควรทำ แต่ ‘พิชญ์’ ก็ไม่อาจละทิ้งหน้าที่ของตัวเองไปได้เช่นกัน ยิ่งเมื่อเขาขึ้นมารับตำแหน่งประธานแทนผู้เป็นพ่อ เวลาที่ควรจะแบ่งปันไปให้คนรัก ก็เหมือนจะยิ่งลดน้อยถดถอยลงมากไปทุกที
“ช่างมันเถอะค่ะพิชญ์...อุ้มชินแล้ว” แม้ปากจะบอกออกไปแบบนั้น แต่ทว่าความจริงแล้ว ไม่มีใครทนได้ที่ต้องมาถูกลดทอนความสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคนที่ทำคือคนที่เธอรักหมดหัวใจด้วยแล้วล่ะก็ เธอยิ่งยอมไม่ได้ไปกันใหญ่
กี่ครั้งแล้ว ที่เขาทำเหมือน ‘เวลา’ ไม่สำคัญ
กี่ครั้งแล้ว ที่เขาปล่อยให้เธอต้องนั่งรอ ในขณะที่เวลาส่วนใหญ่ของเขา คงจะมีแต่งานกับงานเท่านั้นที่มันสำคัญ!
“โกรธเหรอครับ ผมขอ...”
“เราเลิกกันเถอะค่ะพิชญ์!”
ทว่ายังไม่ทันที่คำขอโทษจะถูกหยิบมาใช้เหมือนทุกครั้ง อีกฝ่ายก็สวนกลับกัน ด้วยคำพูดที่ทำให้เขาถึงกลับนิ่งไป
“อุ้มทนไม่ไหวอีกแล้วค่ะ ตลอดเวลาที่ผ่านมาอุ้มพยายามเข้าใจคุณมาโดยตลอด อุ้มรู้! ว่าคุณต้องทุ่มเทอย่างหนักเพื่อบริษัท แต่บางครั้งอุ้มก็อดคิดไม่ได้...ว่าคงมีแต่เรื่องของอุ้ม ที่มันไม่สำคัญกับคุณ” มือบอบบางถูกจับขึ้นเบาๆ หลังจากนั้น แต่ไม่นานมันก็ยื้อกลับคืนไปโดยผู้ซึ่งเป็นเจ้าของ
วันนี้..เธอไม่อาจทนอยู่กับเขาในสภาพแบบนี้ได้อีกแล้ว
ตลอดสี่ปีที่ผ่านมาเขาเป็นคนรักที่ดี เรื่องนั้นเธอไม่กังขาเลยสักนิด ความสัมพันธ์ที่มีจุดเริ่มต้นขึ้นมาจากความเป็นเพื่อน ก่อนจะค่อยๆ ไต่ระดับกลายมาเป็นคนรักในสองปีให้หลัง ช่วงเวลาเหล่านั้นเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับเธอทั้งคู่ จนกระทั่งพ่อของคนรัก มาด่วนจากไปด้วยอุบัติเหตุเครื่องบิน นั่นเองที่ทุกอย่างระหว่างเธอกับเขา ถึงได้ค่อยๆ เริ่มเปลี่ยนไป
พิชญ์จำเป็นต้องเข้าไปเรียนรู้งาน ก่อนจะขึ้นดำรงตำแหน่งประธานแทนพ่อของเขา แผนการที่คิดไว้ว่าจะไปเรียนต่อด้วยกันก็มีอันต้องถูกยกเลิกตามไปด้วย ซึ่งเธอเองก็เข้าใจในจุดที่ว่านั้นของเขาดี เข้าใจกระทั่งว่าสิ่งที่เขาต้องแบกรับนั้น มันหนักหนาสาหัสแค่ไหน แต่ถึงอย่างนั้นในฐานะคนรัก เธอก็ยังต้องการเวลาจากเขาอยู่ดี
ความห่างเหินที่นับวันยิ่งเพิ่มมากขึ้นทำให้เธอเริ่มที่จะหันกลับมามองตัวเองอีกครั้ง ก่อนจะได้คำตอบถึงสิ่งที่ตัวเองต้องการ แน่นอนว่ามันไม่ใช่คำขอโทษ
ไม่ใช่ดอกไม้ช่อใหญ่ หรืออะไรก็ตามแต่ ที่เขาคิดว่ามันจะสามารถชดเชยต่อความเมินเฉยที่มีต่อเธอไปได้ แต่เธอต้องการอะไรที่มันมากกว่านั้น บางสิ่งที่เขายังไม่มอบให้ ไหนเลยจะแรงกดดันจากคนในครอบครัวที่บีบรัด จนบางครั้งเธอก็เหนื่อยที่ต้องบ่ายเบี่ยงต่อคำถามที่มักจะเกิดขึ้นจากพ่อกับแม่
หรืออย่างน้อย ถ้าเขายังไม่พร้อมจะแต่งงานสร้างครอบครัวด้วยกันตอนนี้ เธอก็อยากใช้เวลาร่วมกันกับเขาในฐานะคนรักบ้าง แต่ดูเหมือนสิ่งที่เธอกำลังปรารถนาอยู่นั้น มันจะกลายเป็นเรื่องที่ยากเย็นสำหรับเขาเหลือเกิน
และทั้งหมดที่ว่ามานี้
คือเหตุผลที่เธอจำต้องขอเลิกกับเขาในวันนี้ ในเมื่อเขาให้ในสิ่งที่เธอต้องการไม่ได้อีกแล้ว เขาก็ควรต้องปล่อยเธอไป!
“ใจคอคุณจะไม่พูดอะไรหน่อยเหรอคะพิชญ์!” แค่เพียงวูบหนึ่งเท่านั้นที่หญิงสาวคาดหวังจะได้เห็นสีหน้าเจ็บปวดของคนตรงหน้า
แต่สิ่งที่ได้เห็นอยู่ขณะนี้ มันมีแต่ความว่างเปล่า ราวกับว่าเขาไม่ได้รู้สึกอะไรต่อคำ‘บอกเลิก’ เมื่อครู่ของเธอเลยสักนิด
“ถ้าคุณคิดมาดีแล้ว...”
พิชญ์ชะงักคำพูดไปชั่วครู่ ก่อนจะเอ่อยประโยคให้จบด้วยท่าทีปกติตามนิสัยที่ไม่ค่อยแสดงความรู้สึก แต่นั่นก็ใช่ว่าเขา จะไม่รู้สึกรู้สาต่อคำบอกเลิกของคนรักเมื่อครู่นี้เสียทีเดียว
”ผมก็ตามใจอุ้มครับ...”
ในหนึ่งปี พิชญ์จะต้องหาเวลาว่างเพื่อบินกลับมาเยี่ยมย่าที่เชียงรายสามครั้งเป็นอย่างต่ำเพื่อไม่ให้ท่านต้องรู้สึกเหงาจนเกินไป และทุกครั้งที่มาเขาก็มักจะคนรักมาด้วยทุกครั้ง หากแต่ครั้งนี้ มันคงจะเป็นครั้งแรก...ที่เขาไม่ได้พาเธอมาด้วย
“ทำไมมาคนเดียว แล้วหนูอุ้มล่ะ ไม่ได้ด้วยกันหรอกรึ” คุณจรัสแสงเอ่ยถามหลานชายอย่างอดสงสัยไม่ได้ ไหนเลยจะเรื่องข่าวลือที่นางเองก็จะพอได้ยินมาจากหลายๆ ช่องทาง แต่กระนั้นก็ยังอยากได้ยินจากปากของหลานชายมากกว่า และการที่อีกฝ่ายมาที่นี่คนเดียวนั้น ก็เป็นการตอกย้ำ ‘ข่าวร้าย’ ให้มีความน่าจะเป็นไปเกินครึ่ง
“ผมกับอุ้ม...เราเลิกกันแล้วครับย่า”
ไม่ช้าก็เร็วย่าของเขาก็ต้องได้รู้ความจริงนี้อยู่แล้ว สู้ให้ท่านได้รู้มันจากปากของเขาเองจะดีกว่า ชายหนุ่มคิด ก่อนจะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่บางเบา
“ย่าเสียใจนะที่ได้ยินแบบนี้ แต่ก็เอาเถอะ คนเราน่ะนะพิชญ์ ถ้าลองเกิดมาคู่กันแล้ว คงไม่แคล้วกันหรอก” แม้จะเสียดาย แต่ในเมื่อหลานชายกับอดีตคนรักของเขาได้เลือกแล้ว นางก็ต้องทำใจรับ สิ่งเดียวที่ติดอยู่ในหัวตอนนี้ คือขนาดหนูอุ้มที่เป็นคนใจเย็นขนาดนั้นยังทนพฤติกรรมบ้างานของหลานชายนางไม่ได้ แล้วใครที่ไหนจะทนไหว!
“แบบนี้เรื่องที่ย่าหวังจะได้อุ้มเหลน...ก็คงต้องรอต่อไปสินะ” ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางเฝ้าฝันอยากจะได้เหลนสักคนจากหลานชาย แต่ก็ต้องพบกับผิดหวังอยู่ทุกครั้ง เพราะเจ้าตัวยืนยันเสียงแข็ง ว่ายังอยากทำงานไปอีกหน่อย ซึ่งนางก็เข้าใจถึงสิ่งที่หลานจำใจต้องแบกรับ ไม่มีใครอยากให้เรื่องร้ายเกิดขึ้น โดยเฉพาะคนเป็นที่ต้องมามองเห็นลูกชายจากไปอย่างไม่มีวันกลับ การจากไปของณดล ลูกชายสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ต่อครอบครัวเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะกับพิชญ์ ที่ต้องละทิ้งความฝันที่อยากเป็นหมอ เพื่อก้าวเข้าสู่อาชีพนักธุรกิจอย่างเต็มตัว และแม้จะไม่ใช่ทางเดินที่เลือกแต่ก็ต้องยอมรับว่าหลายปีที่ผ่านมานี้หลานชายของนางทำได้ดี