หยางกั๋วชิ่งเดินเข้ามาในห้องของพี่ชาย โดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายกำลังหลับตาเอนหลังพิงอ่างอาบน้ำอยู่ อาลี่-บ่าวรับใช้ยืนหน้านิ่งอยู่ไม่ไกลนัก เขารับรู้การเข้ามาของคุณชายรองสกุลหยางพร้อมกระดาษรายการในมือ อาลี่ค้อมศีรษะลงถอยออกไปอย่างรู้หน้าที่
“สินค้าที่เจ้าสั่งซื้อ ข้าซื้อร้านเดิม” หยางเหลาหู่เอ่ยก่อนที่น้องชายจะขยับปากส่งเสียงถาม
“ข้าตรวจสอบแล้ว สินค้าที่ให้พี่ใหญ่ซื้อมาครบทุกรายการขาด
ไปหนึ่งรายการ”
“หือ?” คราวนี้หยางเหลาหู่เลิกคิ้วขึ้นอย่างฉงน “ขาดสิ่งใด”
“หญิงรับใช้” หยางกั๋วชิ่งไหวไหล่ “ข้ายังไม่เห็นเลย ตกลงพี่ใหญ่ได้ซื้อมาหรือไม่”
“ข้าซื้อมาแล้ว หิ้วขึ้นรถมาเองกับมือ จะหายไปได้อย่างไร” ชายหนุ่มลืมตาแล้วพลิกตัวหันมาเผชิญหน้ากับน้องชายที่อายุน้อยกว่าเพียงแค่สองปี “เจ้ายังไม่เห็นนางรึ”
“ข้ายังไม่เห็นถึงได้มาสอบถาม” เขาตรวจรายการสินค้าอีกครั้งก่อนพับกระดาษแผ่นนั้น “แน่ใจว่าพี่ใหญ่มิได้ทำตกหล่นระหว่างทาง”
“เมื่อเช้ามาถึง ข้าเห็นนางลงจากรถม้าอยู่เลย”
เขานึกถึงหญิงสาวร่างเล็กที่หิ้วขึ้นรถม้ามาด้วย ตัวนางทั้งผอมทั้งบางไม่รู้จะทำงานไหวหรือไม่ แต่เอาเถิดให้นางมาอยู่กับบรรดาบ่าวชราเหล่านั้นคงไม่ถึงกับกลั้นใจตายไปเสียก่อน
“นางยังไม่ได้มารายงานตัวกับข้า” หยางกั๋วชิ่งพูดอย่างไม่ค่อยพอใจนัก นอกจากจะเป็นคุณชายรองแห่งป้อมพยัคฆ์ทมิฬแล้วเขายังรับตำแหน่งสมุหบัญชีอีกด้วย รวมทั้งจัดเก็บประวัติคนที่เข้ามาทำงานที่นี่ ใครเข้าใครออกป้อมพยัคฆ์ทมิฬต้องทำประวัติเก็บไว้เสมอ
“ลองถามคนอื่นที่กลับมาพร้อมข้าก็แล้วกัน” หยางเหล่าหู่ไม่ค่อยสนใจนัก เขาถือว่าตนเองทำหน้าที่ของตัวเองเรียบร้อยอย่างดียิ่งแล้ว
“แล้วพี่ใหญ่ไปได้นางมาจากไหน” ป้อมพยัคฆ์ทมิฬมีกิจการหลายอย่าง ขึ้นชื่อที่สุดคือสำนักคุ้มภัยพยัคฆ์ทมิฬที่ซื่อสัตย์ เที่ยงตรง คุณธรรม แม้คนที่พี่ใหญ่รับมาทำงานด้วยนั้นจะดูที่ฝีมือและความซื่อสัตย์เป็นหลัก แต่เขาเป็นคนตรวจสอบประวัติเพื่อป้องกันความผิดพลาด อาจมีคนนอกประสงค์ร้ายกับสกุลหยางได้
“ให้เสี่ยวหงหามาให้”
“หา!”
“เจ้าหาสิ่งใด” หยางเหลาหู่ส่ายหน้าไปมากับท่าทางตกใจของน้องชาย
“ให้เสี่ยวหงหามาให้ เช่นนั้นพี่ใหญ่ได้หญิงบำเรอมารึ”
“เจ้าเห็นข้าเป็นคนเช่นไร ข้ามิพาผู้หญิงเช่นนั้นเข้าบ้านหรอก”
ความหมายของเขาคือไม่ชอบให้มีเรื่องปวดหัวเพิ่มขึ้นมาอีก เขาย่อมพอใจกับการไปหอนางโลมอย่างเปิดเผยและเป็นครั้งคราวมากกว่าพาหญิงใดมาเลี้ยงดูในฐานะหญิงบำเรอ
“พี่ใหญ่ตรวจสอบสินค้าแล้ว?” หยางกั๋วชิ่งก็ยังมิอาจวางใจนัก
“แรกทีเดียวเสี่ยวหงก็หาหญิงบำเรอมา แต่โดนข้าขู่ตะคอกกลับไปก็กลัวจนตัวสั่นส่งหญิงรับใช้จริงๆมาให้ เขาหิ้วนางขึ้นรถมาทันทีเพราะเกรงว่าออกจากเมืองช้า จะทำให้เสียเวลาเดินทางมากขึ้น แล้วสินค้าอื่นที่เจ้าสั่งซื้อได้รับล่าช้าหรือเสียหายไปด้วย”
“สรุปว่าพี่ใหญ่เห็นดีแล้ว”
“เท่าที่เห็นก็นับว่าดี มีสองมือสองขาน่าจะทำงานได้ไหวอยู่”
“เอาเถอะๆ เช่นนั้นข้าจะเรียกนางมาตรวจสอบอีกที ถ้าไม่ไหวก็ส่งกลับพร้อมสินค้ารอบหน้า” หยางกั๋วชิ่งไหวไหล่อีกครั้ง
“รอบหน้า?”
“พี่ใหญ่เพิ่งกลับมาถึงพักผ่อนก่อนเถอะ เรื่องงานไว้คุยทีหลัง” หยางกั๋วชิ่งตัดบทไปเสียก่อน “อ้อ! รีบขึ้นจากน้ำใส่เสื้อผ้าเสีย ท่านพ่อท่านแม่รอกินข้าวพร้อมพี่ใหญ่”
“ฮืม”
หยางกั๋วชิ่งหมุนตัวเดินออกไปแล้ว อาลี่จึงเดินกลับมาเข้ามาเป็นจังหวะที่หยางเหลาหู่ขึ้นจากอ่างอาบน้ำ อาลี่ใช้ผ้าซับน้ำให้คุณชายใหญ่แล้วช่วยแต่งกายอย่างเคยชินด้วยใบหน้าเรียบเฉย อาลี่เป็นบ่าวรับใช้ชายวัยสิบเจ็ดแล้ว ทว่ารูปร่างเล็กและผอมบาง ปากนิดจมูกหน่อยผิวขาวเหมือนเด็กผู้หญิง หากไม่เพราะบนใบหน้ามีแผลเป็นจากไฟไหม้ที่หน้าผาก เขาคงเป็นชายหนุ่มที่มีใบหน้าอ่อนหวานดุจหญิงสาวเลยทีเดียว
“อาลี่ ข้าไม่อยู่สองเดือนทุกอย่างในบ้านเรียบร้อยดีหรือไม่”
“ขะ...ขอรับ” ไม่เพียงแค่ใบหน้าเสียโฉมแล้ว อาลี่ยังบาดเจ็บจนพูดได้ไม่ถนัดชัดเจนเช่นคนปกติทั่วไป
“มีใครรังแกเจ้าหรือไม่”
“มะ...ไม่มี...ขะ ขอรับ”
“ดี เจ้าต้องหัดดูแลตัวเองได้แล้ว เจ้าไม่ใช่เด็กแล้ว” หยางเหลาหู่วางมือบนศีรษะของอาลี่แล้วโยกไปมา ปากบอกว่า ‘ไม่ใช่เด็ก’ แต่ทำเหมือนอีกฝ่ายเป็นเด็กเขาหิ้วขึ้นมาจากข้างทาง
คราวนั้นอาลี่อายุสิบสาม เนื้อตัวเต็มไปด้วยโคลนและบาดแผลฉกรรจ์หลายแห่ง เรียกว่ารอดชีวิตได้อย่างปาฏิหาริย์ หยางเหลาหู่ในคราวนั้นเป็นชายหนุ่มที่เติบโตอย่างองอาจ เขาทำงานเดินทางคุ้มกันสินค้าด้วยตนเองแทนบิดามา พบเห็นเรื่องมากมาย แม้ไม่ใช่คนจิตใจมีเมตตา แต่เมื่อพบเจอเรื่องใดที่ตนเองพอช่วยเหลือได้ก็เต็มใจทำ
เช่นเดียวกับครั้งนี้ที่พบอาลี่ในสภาพปางตาย เขาหิ้วคอเสื้อของอาลี่เหวี่ยงใส่รถม้ากลับมาที่ป้อมพยัคฆ์ทมิฬ ให้บรรดาบ่าวหญิงชราช่วยดูแลรักษา อาลี่ไม่พูดเรื่องของตัวเอง เขาไม่ถามหรือสืบสาวเอาเรื่องเอาราวใด มีแค่หยางกั๋วชิ่งที่สอบถามประวัติที่มาที่ไป แต่เพราะอาลี่ตัวเล็กเหมือนเด็กหญิงและถูกคนอื่นหยอกล้ออยู่เสมอ เขาจึงหิ้วคอเสื้ออาลี่ให้มาเป็นบ่าวรับใช้ส่วนตัว ใช้เวลานานนับปีกว่าบาดแผลจะหายดี เหลือแผลเป็นตามร่างกาย แต่กลายเป็นคนพูดจาติดขัด เขาตรวจสอบดูแล้วอาลี่ไม่เป็นวรยุทธ แม้บังคับให้เขาฝึกฝนเพื่อป้องกันตัวเองก็ทำได้เพียงเล็กน้อย เขาไม่ชอบฝืนใจใครจึงไม่ได้บังคับให้อาลี่ฝึกวรยุทธอีก
อาลี่ช่วยหยางเหลาหู่แต่งกายและเกล้าผม เมื่อเสร็จแล้วจึงถอยห่างอย่างรู้หน้าที่ บุรุษหนุ่มร่างสูงใหญ่กำยำจึงก้าวเดินตรงไปห้องโถงเพื่อกินมื้อเย็น เพราะกฏที่ท่านแม่บัญญัติไว้คนในครอบครัวกินข้าวเย็น
พร้อมหน้าพร้อมตากัน เว้นเสียว่าจะติดงานอื่นที่ไม่อาจมาได้
หยางต๋าและฮูหยินหยุนผิงนั่งรออยู่ก่อนแล้ว หยางกั๋วชิ่งที่เดินเข้ามาเกือบจะพร้อมกัน สองพี่น้องมองอาหารบนโต๊ะ ทั้งเนื้อผักปลาแม้หน้าตาดูเหมือนเดิมแต่กลิ่นหอมนั้น ทำให้พวกเขารีบนั่งลงเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ในตำแหน่งรองกันลงไป
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือไม่เหลาหู่” บิดาเอ่ยถามราวกับธรรมเนียมปฏิบัติไปแล้ว
“เรียบร้อยดี” เขาตอบแล้วคีบอาหารเข้าปาก เดินทางมาทั้งเหนื่อยทั้งเพลีย กินอาหารก็เพียงแค่ให้อิ่มมิได้รู้รสความเอร็ดอร่อยอะไรนัก ทว่าพอคำแรกเข้าปาก เขาก็ขมวดคิ้ว เมื่อไม่มั่นใจจึงคีบอีกคำเข้าปากไปอีกคำ หากลิ้นเขาไม่ผิดปกติก็ต้องเป็นอาหารในจาน เขาเหลือบตามองน้องชายที่มีสีหน้าไม่ต่างกันนัก
“ป้าอิงอู่” หยางเหลาสู่อดไม่ได้เรียกหาแม่ครัวประจำบ้านและยังควบตำแหน่งดูแลบ้านไปอีกด้วย รออยู่อึดใจเจ้าของชื่อก็เดินมา
“คุณชายใหญ่มีอะไรรึเจ้าคะ” ป้าอิงอู่พาร่างอวบอ้วนเดินเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตกใจ
“อาหารนี้?”
“มีสิ่งใดผิดปกติรึ”
หยางเหลาหู่หันไปทางหยางกั๋วชิ่ง เขาไม่ถนัดเลือกใช้คำพูดเหมือนน้องชาย เขาเป็นคนจำพวกพูดจาโผงผางขวานผ่าซากเกรงว่าพูดตรงเกินไปทำให้เข้าใจผิด น้องชายเข้าใจสีหน้าย่ำแย่ของพี่ชายจึงเอ่ยปากถามในสิ่งที่ตนประหลาดใจเช่นกัน
“อาหารมื้อนี้มีผู้ใดช่วยป้าอิงอู่ทำรึ”
“อ้อ! เป็นเสี้ยวเวยที่เข้ามาช่วยงานในครัว”
“เสี้ยวเวย?”
“ผู้หญิงที่คุณชายใหญ่พามาด้วยเจ้าค่ะ”
เพียงเอ่ยปากว่าเป็นผู้หญิงที่หยางเหลาหู่พามาทำให้ทุกคนที่กำลังรุมแย่งกินอาหารบนโต๊ะนิ่งไป ป้าอิงอู่ถอนหายใจเบาๆ ให้คนไปตามเสี้ยวเวยเข้ามา ไม่นานนักร่างเล็กในชุดสาวใช้มีผ้ากันเปื้อนคาดทับรีบเร่งเดินเข้ามาราวกับจะวิ่งเลยทีเดียว
แม้สวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบ แต่โครงหน้าอ่อนหวานและดวงตาเป็นประกายดุจหยด ทำให้ผู้ที่สบตาด้วยไม่อาจถอนสายตาไปจากนางได้
“เหลาหู่นี่เจ้าพาเมียมาให้พ่อแม่รู้จักแล้วเรอะ!” หยางต๋าส่งเสียงดังด้วยความยินดี เห็นเพียงแวบแรกกลับพอใจที่จะได้ลูกสะใภ้หน้าตาน่ารักเช่นนี้
คำพูดของชายวันหกสิบเจ็ดทำเอาหลัวเสี้ยวเวยหน้าแดงขึ้นมา นางยกมือขึ้นโบกไปมาปฏิเสธทันที
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ บ่าวเป็นสาวใช้”
“ตายจริง! เหลาหู่! เจ้าไปเอาน้องมาจากไหน ตัวเล็กแบบนี้จะ
ทำงานหนักได้อย่างไรกัน นางเป็นผู้หญิงของเจ้าก็บอกมาเถอะ อายุขนาดนี้แล้วพ่อกับแม่รับได้”
เพราะทั้งสองมีบุตรเมื่อตอนที่อายุมากแล้ว และหยางต๋าไม่รับอนุ มีเพียงฮูหยินผู้เดียวจึงมีบุตรชายที่เอาใจยากอยู่สองคนเพียงแค่นี้
หยางเหลาหู่ได้ยินบิดามารดาพูดเช่นนั้นถึงกับยกมือขึ้นกุมขมับ