Chapter 1
ประตูอัลลอยเปิดออกด้วยรีโมทคอลโทล ซึ่งคนนั่งกดจากในรถโดยไม่ต้องลงไปเปิดเองให้เหนื่อย เมอร์เซเดส-เบนซ์ อี-250 อาว็อง-การ์ด เอสเตส แล่นผ่านเข้าไปอย่างเชื่องช้า หญิงวัยสี่สิบต้นๆ ก้าวออกมายืนอยู่ไม่ห่างรถนัก
เครื่องแต่งกายสีดำล้วนช่วยส่งให้ใบหน้าที่ผอมซูบตรอบดูไร้ชีวิตชีวามากขึ้นได้ไม่ยากเย็นนัก ยิ่งมีหนุ่มน้อยวัยสิบขวบกับสุภางค์ผู้เป็นแม่บ้านในเครื่องแต่งกายสีเดียวกันแล้ว ยิ่งทำให้บ้านหลังใหญ่โตโอ่อ่า ดูเงียบเหงาเศร้าซึมและอ้างว้างขึ้นอย่างเห็นได้ชัด พัณนิดา รัตน์คุณ หันหน้าไปทางประตูอัลลอยช้าๆ เมื่อหูแว่วเสียงที่ไม่คุ้นขึ้นมา
“เข้าบ้านเถอะครับคุณแม่”
พชร รัตน์คุณ ผู้เป็นลูกชายเพียงคนเดียวเดินเข้ามาประคองแม่ด้วยอาการห่วงใยไม่น้อย พัณนิดาจึงหันไปหาลูกแล้วเดินเข้าบ้านอย่างไม่เกี่ยงงอน และลืมเลือนเสียงแปลกปลอมที่แล่นเข้าหูในทันที เพราะรู้ดีว่าตัวเองคงจะหูแว่วไป แต่พอกลางดึก ท้องฟ้าแปรปรวนด้วยลมกับละอองฝน เสียงเมื่อหัวค่ำก็ดังลอดเข้ามาถึงในห้องนอนอีก จนพัณนิดาต้องออกมายืนตรงระเบียง เพื่อฟังให้แน่ใจว่าหูไม่ฝาด
ร่างในชุดนอนที่มีเสื้อคลุมสวมทับไว้ต้องรีบเดินออกจากห้องเมื่อแน่ใจในเสียง สุภางค์ที่เพิ่งจะตรวจตราความเรียบร้อยอยู่ด้านล่างเสร็จ ก็รีบวิ่งไปหยิบร่มตามคำสั่งเจ้านาย ทั้งคู่ก็เดินตรงไปหาประตูรั้ว เสียงร้องของทารกยิ่งใกล้เข้ามาทุกทีๆ เมื่อไฟตรงเจดีย์ประตูเล็กเปิดออกทั้งสองต่างตกตะลึงจนแทบจะทำอะไรไม่ถูก เมื่อมีทารกน้อยถูกทิ้งให้นอนตากฝนจนส่งเสียงร้องไม่หยุดหย่อน
“ใครกันเอาเด็กมาทิ้งตากฝนไว้ ใจร้ายจริงๆ สุถือร่มไว้ฉันจะเอาเด็กเข้าบ้าน”
ใบหน้าอันแดงกร่ำของเด็กน้อย บ่งบอกให้รู้ว่าถูกทิ้งมานานเป็นชั่วโมงแล้ว พชร รีบวิ่งลงมาเมื่อได้ยินเสียงแปลกๆ แล้วทั้งบ้านก็ต้องโกลาหลเพราะชีวิตน้อยๆ ซึ่งหาที่มาและที่ไปไม่ได้ แม้เวลาจะผ่านมาเป็นอาทิตย์ ตำรวจก็ยังไม่มีความคืบหน้าเรื่องเด็กหายแต่อย่างใด สุดท้ายพัณนิดาจึงตัดสินใจรับเด็กน้อยไว้เป็นบุตรบุญธรรมเพราะความสงสาร
“แม่จะตั้งชื่อหนูว่า พิรุณญานะจ้ะ เพราะหนูมาพร้อมสายฝน” พัณนิดาหันไปยิ้มให้แม่บ้านกับลูกชายที่กำลังนั่งมองเด็กน้อยด้วยความเอ็นดูไม่แพ้กัน
“แล้วชื่อเล่นล่ะครับคุณแม่ พีทต้องเรียกน้องว่ายังไง” พชรตั้งคำถามที่ผู้แม่ก็กำลังใช้ความคิดในข้อนี้เหมือนกัน สุภางค์เหมือนจะคิดออกก่อนจึงรีบเสนอ
“ชื่อฝนดีมั้ยคะคุณผู้หญิง ไหนๆ ก็มาพร้อมฝนแล้วนี่คะ”
สองแม่ลูกหันไปมองหน้ากันแล้วยิ้มออกมาด้วยความชอบใจในชื่อนี้ แต่ก็ยังมีอีกสามสี่คนที่ไม่ใคร่จะชอบใจ และไม่ใคร่เห็นด้วยนักกับการที่พัณนิดาจะนำเด็กน้อยเข้ามาอยู่ร่วมชายคา นั่นคือ พร้อมพงษ์ ฉัตรมงคลกุล น้องชายคนเดียวของพัณนิดา และเป็นผู้สืบทอดมรดกของวงศ์สกุล เมื่อเขารู้ข่าวแล้วจึงรีบพา จันทภาผู้เป็นภรรยา และ พริ้มพราวผู้เป็นน้องคนเล็กมาเยี่ยมพี่สาว เพื่อถามข่าวคราวทันที
“จะดีเหรอครับพี่พัณ โบราณว่าเอาลูกเขามาเลี้ยงเอาเมี่ยงเขามาอมมันไม่ดีนะครับ”
เขาทักท้วงด้วยความเป็นห่วง ไม่ต่างจากเมียกับน้องสาวนักที่เห็นเป็นเช่นเดียวกันนี้ จันทภาจึงรีบเอ่ยสมทบคำของสามีด้วยความหวังดีไม่แพ้กัน
“นั่นสิคะพี่พัณ ลูกเต้าเหล่าใคร พ่อแม่เป็นยังไงเราก็ไม่รู้จัก”
พริ้มพราวผู้เป็นคนพูดตรงทำจริง ไร้เหตุผลแถมอารมณ์กว่าพี่ๆ และหมายมั่นปั้นมือว่าจะมาขัดขวางพี่สาวให้ได้ ก็ไม่รอช้ารีบขวางเอาไว้ ด้วยถ้อยคำที่ค่อนข้างรุนแรงกว่าใครเพื่อนอย่างไม่ยั้งคิดเช่นทุกครั้งที่เป็นมา
“จริงด้วยพี่พัณ ลูกเสือลูกตะเข้ที่ไหนก็ไม่รู้ เอามาเลี้ยงๆ ไว้ พอมันโตขึ้นมาหน่อยไม่รู้จะเห็นค่าข้าวแดงแกงร้อนหรือเปล่า ยิ่งพี่ไพฑูรย์เพิ่งจะจากไปแบบนี้ ในบ้านก็เหลือกันแค่สองแม่ลูกกับแม่บ้านแก่ๆ มีอะไรขึ้นมาใครจะช่วยได้คะ”
พัณนิดาหันไปยิ้มให้น้องคนเล็ก แม้จะขัดใจแค่ไหนก็ไม่ปริปากบ่นออกมาด้วยถ้อยคำรุนแรงแต่อย่างใด กลับใจเย็นอธิบายให้น้องเข้าใจ
“พี่คิดดีแล้วจ้ะ ถ้าเราทำดีเราก็ไม่ต้องหวังผลตอบแทนอะไร เด็กก็เหมือนผ้าขาว เราระบายสีอะไรลงไปก็ต้องได้สีนั้น พี่ตัดสินใจแล้ว น้องๆ อย่าขัดขวางพี่เลยนะ บางทีพระผู้เป็นเจ้าอาจจะประทานเด็กคนนี้มาให้พี่ เพื่อชดเชยที่เพิ่งเสียคุณฑูรย์ไปก็ได้ พี่พอมีเงินมีทองคงจะเลี้ยงไม่ยากเย็นนัก แต่ยังไงพี่ก็ขอบใจนะที่ห่วงพี่”
เด็กหญิงพิรุณญา รัตน์คุณ จึงกลายเป็นแก้วตาดวงใจของพัณนิดานับตั้งแต่นั้นมา พชรก็รักน้องสาวต่างสายเลือดไม่แพ้ผู้แม่ เพราะเขาปรารถนาที่จะมีน้องมานานแล้ว แต่โชคร้ายที่แม่มีเขาเพียงคนเดียว ดังนั้นเมื่อมีน้องมาเพิ่มเขาจึงเต็มใจอย่างยิ่ง ที่จะให้แม่แบ่งปันหัวใจให้ไปรักน้อง แม้แต่สุภางค์เองก็รักและเอ็นดูเด็กน้อยอย่างมาก เพราะเป็นเด็กเลี้ยงง่ายไม่ร้องไห้กระจองอแงเลย
กินอิ่มก็หลับปุ๋ยแทบจะทันที สุภางค์จึงมีเวลาได้ทำงานบ้านเหมือนเมื่อก่อน จะเสียเวลาก็แค่ต้องป้อนข้าวป้อนน้ำเด็กน้อยเท่านั้น พอตกเย็นพินนิดากลับจากทำงานก็จะรับหน้าที่นี้ไป พชรกลับจากโรงเรียนก็จะตรงดิ่งมาเล่นกับน้องแทบทุกเย็น สองแม่ลูกจึงลืมเลือนความเสียอกเสียใจจากการเสียผู้นำครอบครัวอย่างกระทันหันด้วยอุบัติเหตุได้บ้าง เมื่ออยู่ใกล้ๆ หนูน้อย