ตอนที่ 15 ให้โอกาส
สำนักงานกฎหมาย
ฉีเจ๋อวางเอกสารลงแล้วมองหน้าหรงจือหยางแล้วพูดขึ้น
“ทำไมนายถึงคาดเดาได้แม่นยำขนาดนี้”
ใบหน้าของหรงจือหยางยังคงเย็นชา ไม่รู้สึกว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เหนือชั้นอะไร จึงพูดตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ก็แค่สืบนิดหน่อย นอกจากเด็กทั้งสามคนนั้นก็ยังมีเด็กอีกหลายคนที่ถูกชักนำมาจากชนบท พวกนี้จะเลือกเด็กที่มีศักยภาพและบุคลิกที่ดีส่งเสริมให้เข้าโรงเรียนที่มีชื่อเสียงจากนั้นค่อยถอนเงินคืน”
นึกถึงเด็กสามคนเมื่อวาน ฉีเจ๋อหน้าเคร่งเครียดขึ้น
“การขูดรีดเงิน เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยแต่ให้ส่งของผิดกฏหมายพวกมันทำร้ายเด็กมากเกินไป”
“อืม ให้คนสืบสวนมากขึ้นแล้วพยายามดึงเด็กออกมา”
ใบหน้าฉีเจ๋อเต็มไปด้วยความลำบากใจ ถอนหายใจแล้วพูด
“เรื่องนั้นไม่ยาก แต่ว่าเด็กพวกนี้เคยได้เรียน เคยได้อยู่ดีกินดี จากนี้ต้องกลับบ้าน แม้จะเป็นสิ่งที่ถูกต้องแต่ก็คาดเดาได้ว่ามันไม่ง่ายเลยที่ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่รู้ว่าจะเด็กจะกลับไปอยู่สภาพใด”
น้ำเสียงของฉีเจ๋อเต็มไปด้วยเห็นใจ
หรงจือหยางคิดถึงใบหน้ากระจ่างใสของม่านเวยอิง เด็กคนนั้นบอกให้เขาทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นและดูเหมือนว่าเพื่อนทั้งสามคนนั้นเธอจะดูแลต่อเอง
รอยยิ้มที่มุมปากผุดขึ้น ฉีเจ๋อเห็นเช่นนั้นก็เอ่ยถาม
“เรื่องที่กำลังคุยกัน มีจุดไหนที่ทำให้นายต้องยิ้มว่ะ”
“นายจัดการดึงเด็กออกมาก็พอ ส่วนค่าใช้จ่ายค่าเล่าเรียนหลังจากนี้ข้าจะเป็นคนรับผิดชอบเอง”
ฉีเจ๋อคาดเดาเรื่องราวในหัว หลายอย่างขาดความต่อเนืองเขาจึงถามต่อ
“รู้ ว่าบ้านนายรวย แต่ว่านะ ...ทำแบบนี้มันจะผิดแปลกไปหรือเปล่าว่ะ” หรงจือหยางไม่อยากอธิบาย ตอบเสียงห้วน
“ก็ไม่ผิดกฎหมายนิ”
พูดเสร็จก็เดินออกจากห้องทำงานของฉีเจ๋อ ปล่อยให้อีกฝ่ายหงุดหงิดกับคำตอบต่อไป
ขณะนั้นที่หน้าโรงเรียนเจ๋อจง
“นั่น คุณม่านเวยอิงมาแล้ว”
เสียงตะโกนดังขึ้น นักข่าวที่เฝ้ารอสัมภาษณ์ม่านเวยอิงก็ต่างกรูวิ่งแข่งกันประชิดตัวเด็กสาว
ยามหน้าโรงเรียนก็ตกใจกับภาพตรงหน้า
ลู่ปิง อี้หนิง เฉียวเจียว ก็ตกใจเบิกตากว้าง
ทว่า ม่านเวยอิงกลับยิ้มพราวอย่างยินดี
ทั้งที่ฝูงชนเบียดเสียดกันเข้ามา แต่ม่านเวยอิงยังคงยืนนิ่งไม่ถลาล้มหรือเสียภาพลักษณ์อันงดงาม
พวกเขาเบียดกันไป เบียดกันมา จนขยับได้ที่กัน บางคนกำลังเหนื่อยหอบจนกระทั่งปรับลมหายได้ ม่านเวยอิงจึงได้พูดขึ้น
“สวัสดีค่ะ ต้องการสัมภาษณ์หรือคะ”
ทุกคนยืนตัวตรงขึ้นแล้วยืนไมค์ออกไป
“คุณม่านเวยอิง จากภาพข่าวเมื่อวานทำให้ชั่วข้ามคืนคุณโด่งดังแบบพุ่งทะยาน ไม่ทราบว่าคุณคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไรคะ”
//นักข่าว1
นักข่าวต่างกันมามองคำถาม ถามอะไร?
ม่านเวยอิงยิ้มละมุนตอบ
“ก็เป็นเรื่องที่ไม่ได้คาดคิดเอาไว้เลยค่ะ ตอนนั้นฉันแค่อยากจะช่วยเหลือคน อาจจะเป็นผลตอบแทนจากการทำความดีมั้งคะ”
//นักข่าว2 ยืนไมค์
“แล้วคุณม่านเวยอิงได้ติดตามข่าวของผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเปล่าคะ”
“ไม่ค่ะ เมื่อพวกเขาถึงมือเจ้าหน้าที่ ฉันก็ถือว่าหมดหน้าที่แล้ว”
//นักข่าว1 เอ่ยถามต่อ
“เมื่อคืนได้มีการปล่อยภาพโปรโมทเกมออนไลน์ REGA จากกระแสข่าวของคุณม่านเวยอิงทำให้มีคนแชร์ภาพนั้นเป็นจำนวนมากส่งผลให้มียอดโหลดเกมเป็นจำนวนมาก และยังมากกว่าเกมออนไลน์ชื่อดังหลายเจ้า ทางคุณม่านเวยอิงคิดว่าจะมีการพูดเรื่องค่าตอบแทนใหม่ไหมคะ”
//@ALLนักข่าวมองหน้านักข่าว1 อีกครั้ง
“ไม่ค่ะ เป็นเรื่องงานที่จบลงไปแล้ว และขอบคุณทุกคนที่ให้การสนุบสนุนฉันนะคะ”
//นักข่าว4ยืนไมค์
“ตอนนี้คุณม่านเวยอิงมีผลงานอะไรบ้างคะ”
ม่านเวยอิงชะงักเธอจำไม่ได้ว่าตนเองมีงานอะไรบ้าง
“ฉันขออนุญาตเลี่ยงคำถามนี้นะคะ เพราะบางงานอาจจะยังไม่สามารถเปิดเผยได้ รอฟังข่าวจากบริษัทอีกครั้งนะคะ”
//นักข่าว2
“ตอนนี้คุณม่านเวยอิงโด่งดังแบบก้าวกระโดด ได้วางแผนงานไว้อย่างไรบ้างคะ มีข้อจำกัดในการเลือกงานหรือเปล่า”
ม่านเวยอิงชะงักอีกครั้งนางวางแผนไว้อะไรบ้างนะ
“ไม่เลยค่ะ พี่ไป๋หลันผู้จัดการฉันบอกให้ปล่อยเป็นหน้าที่ของทางบริษัท ส่วนฉันตอนนี้ให้ตั้งใจเรียนให้จบและวางเป้าหมายการเรียนให้เรียบร้อยเสียก่อนค่ะ”
//นักข่าว3
“คุณม่านเวยอิงตั้งใจจะเรียนต่อการแสดงหรือเปล่าคะ”
“ยังไม่แน่ใจเลยค่ะ”
เสียงกริ่งเตือนของโรงเรียนดังขึ้น ม่านเวยอิงจึงเอ่ยขอตัว
“ฉันขอตัวก่อนนะคะ”
แม้จะถูกขัดขวางจากฝูงนักข่าว ม่านเวยอิงก็เดินผ่าไปอย่างง่ายได้ เมื่อเข้าเขตโรงเรียนนักข่าวก็ต่างหันมองหน้ากัน
“ยังเหลืออีกหลายประเด็นที่ยังไม่ได้ถามเลย”
“นั่นสิ วันเสาร์นี้ม่านเวยอิงจะไปรับมอบโล่ใช่ไหม”
“นี่คงเป็นนักแสดงที่โด่งดังแต่มีผลงานน้อยจนหน้าใจหาย”
“ไม่แปลก...ก็ไม่ได้ดังจากผลงานนี่น่า”
“กระโดดน้ำสูงขนาดนั้น ไม่ดังสิแปลกกว่า”
“ฉันแอบได้ยินว่าแบรดน์ชุดกีฬากำลังแย่งเธอเป็นพรีเซนต์เตอร์”
“งานโฆษณาพวกเครื่องสำอางก็เข้ามาจำนวนมากด้วย”
“ความจริงเธอก็สวยและผิวขาวเนียนละเอียดมากด้วยนะ”
“นั่นสิ...ผิวเปลือยเปล่าใสมากเลย ดูสิขนาดไม่แต่งหน้านะ”
“อืม ภาพที่ถ่ายออกมาก็ดูดีมากเลย เหมือนมีแสงอยู่รอบกาย”
นักข่าวต่างพยักหน้าเห็นด้วยพวกเขาพูดคุยกันสักพักก็แยกย้ายกลับ
ส่วนม่านเวยอิงเดินนำสหายใหม่เข้าไปในโรงเรียน ระหว่างทางเธอก็โปรยยิ้มไปโดยไม่ขัดเขิน
ส่วนลู่ปิง อี้หนิงและเฉียวเจียวกำลังสนใจดูภาพตัวเองในสื่อออนไลน์ ลู่ปิงพูดขึ้นเสียงดัง
“แย่แล้ว ทำไมภาพนี้ถ่ายฉันได้แย่ขนาดนี้”
อี้หนิงชะโงกมาดู
“ฮ่า ฮ่า ทำไมเธอทำหน้าแบบนี้ น่าเกลียดชะมัด”
เฉียวเจียวจึงพูดขัด
“หนิงหนิง เธอดูภาพนี้เสียก่อน”
ลู่ปิงชำเลืองตามาก่อนแล้วก็หัวเราะเสียงดัง
“ฮ่า ฮ่า หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวกว่าฉันอีก”
ต่างคนต่างหัวเราะกัน ทว่ามีบางอย่างที่พวกเขาฉุดขึ้นคิดพร้อมกัน
“ทำไมภาพของคุณม่าน ดูดีทุกภาพเลย”
ม่านเวยอิงยิ้มที่มุมปาก พูดด้วยน้ำเสียงเป็นต่อ
“ก็ฉันโด่งดังขนาดนี้ กระแสมาแรงขนาดนี้คนส่วนใหญ่ก็ต้องอยากเห็นภาพใสๆ น่ารัก ๆ อยู่แล้ว ใครจะกล้าลงภาพที่ดูไม่ดีล่ะ”
จิงเฟยฟางเห็นม่านเวยอิงเดินเข้ามาห้องเรียนพร้อมเหล่าสาววายร้ายประจำห้องก็เดินเข้าถามทันที
“พวกเขาทำอะไรเธอหรือเปล่า”
เพื่อนในทั้งห้องต่างมองมาตั้งแง่ทันที ม่านเวยอิงยิ้มพร้อมพูดขึ้น
“ไม่มี ตอนนี้ทั้งสามคนนี้กลับตัวกลับใจแล้ว ตอนนี้พวกเราเป็นเพื่อนกัน”
“เพื่อนกัน!!”
น้ำเสียงที่พูดขึ้นพร้อมกันทั้งห้องดังไม่น้อย ไม่ใช่มีเพียงม่านเวยอิงที่ถูกทั้งสามคนกลั่นแกล้ง เพื่อนในห้องที่มีท่าทีอ่อนแอก็จะถูกขู่เอาสิ่งของเล็ก ๆ น้อย ๆ เสมอ เพราะเรื่องมันเล็กเกินไปจึงทำให้ดูงี่เง่าที่จะฟ้องอาจารย์ให้เป็นเรื่องราว และนั่นก็ทำให้เพื่อนทั้งห้องไม่ชอบพวกเขา
ลู่ปิง เดินออกมาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อย ๆ
“ใช่จ๊ะ ต่อไปนี้พวกเราจะเป็นเด็กดีพวกเราเป็นเพื่อนกับคุณม่าน”
อี้หนิงและเฉียวเจียวเดินเข้ามากุมมือเพื่อนโค้งตัวแล้วพูดขึ้น
“ให้โอกาสพวกเราด้วยนะคะ”