ยามรุ่งอรุ่ณ ท้องฟ้าเริ่มสว่างรำไร
ม่านเวยอิงเบิกตากว้างขึ้น พลังลมปราณที่ไหลเวียนมากกว่าปกติ ทำให้ตื่นตระหนก เมื่อคืนเธอไม่ได้ทำความดีอันใดเหตุใดทำไมถึงมีพลังลมปราณใหม่ผุดขึ้น
เด็กสาวครุ่นคิดหรือสิ่งที่เธอทำเป็นความดีอีกขั้น
แม้ไม่รู้สาเหตุที่แท้จริง ทว่าม่านเวยอิงก็คาดว่าเธอกำลังเลือกเส้นทางที่ถูกต้องและใช้ชีวิตดังเดิม
วันเวลาไหลผ่าน
จนกระทั่งถึงวันที่ไปรับโล่รางวัลเกียรติคุณพลเมืองดี นักข่าวหลายสำนักมารอทำข่าว และสิ่งที่เกินคาดของไป๋หลันคือกลุ่มแฟนคลับที่มายืนรอต้อนรับกันอย่างมากและพร้อมเพียง
เสียงตะโกนร้องเรียก
“ม่านเวยอิง” ทำให้หัวใจของม่านเวยอิงพองโต
ไป๋หลันหันไปบอกเธอโบกมือทักทาย
ทว่าม่านเวยอิงทำสิ่งที่เหนือ เธอตะโกนตอบเหล่าแฟนคลับ
“สวัสดีค่ะ ทุกๆคน” เสียงของเธอก้องกังวานดังเป็นพิเศษ ยิ่งทำให้เสียงเรียกชื่อม่านเวยอิงกึกก้องมากกว่าเดิม
ม่านเวยอิงยิ้มจนกระทั่งเกือบมองไม่เห็นดวงตา เธอรู้สึกว่าโลกใบใหม่นี้ดียิ่งกว่าเดิม ไม่ต้องทำท่าสูงส่งเย็นชาก็สามารถครองใจคนได้แล้ว
หรงจือหยางเปิดม่านชำเลืองมองไปข้างล่างแล้วหันมากระดาษในมือยกปากยิ้มละมุนเจือความเอ็นดู
เมื่อพิธีรับมอบเสร็จ ขณะที่ม่านเวยอิงกำลังจะเดินออกจากสำนักงาน เสียงนุ่มทุ้มต่ำไปด้วยเสน่ห์เอ่ยเรียก ทำให้ฝีเท้าหยุดชะงัก
“คุณหนูม่านเวยอิง ผมขอเวลาสักครู่ครับ”
ไป๋หลันชำเลืองมองเห็นคนในสำนักงานตำรวจต่างทักทายบุคคลตรงหน้าพร้อมกับทำความเคารพ หญิงสาวจึงระวังกริยาทักทายอย่างมีมารยาท
“ไม่ทราบว่าคุณคือ?”
“ขออภัยครับ หรงจือหยาง ผมทำงานที่นี่อยากจะขออนุญาต ขอเวลาพูดคุยด้วยสักเล็กน้อย รบกวนเวลาไม่นานครับ”
บุรุษตรงหน้าเต็มไปด้วยความองอาจผ่าเผยรูปร่างหน้าตาหล่อเหลา กริยาสุภาพมีมารยาททำให้ไป๋หลันพยักหน้าอย่างยินดี
ต่างจากม่านเวยอิงแม้จะพยายามรักษาสีหน้าทว่าในดวงตายังเกิดประกายกรุ่นโกรธเกรงว่าชายหนุ่มจะมาทำให้วันดีๆของเธอมีจุดด่างพร้อย
เมื่อเข้าไปยังห้องทำงาน หรงจือหยางเชิญทั้งสองนั่งลงแล้วพูดขึ้น
“ทางสำนักงานตำรวจ จะจัดอบรมเบื้องต้นเกี่ยวกับการกู้ภัยให้กับประชาชนครับ ทางเราเห็นว่าตอนนี้คุณม่านเวยอิงนับได้ว่าเป็นบุคคลสาธารณะที่จะช่วยประชาสัมพันธ์โครงการนี้ได้เป็นอย่างดี จึงอยากจะขอเชิญคุณม่านเวยอิงเข้าร่วมกิจกรรมนี้ครับ เงื่อนไขและรายละเอียดของการจัดกิจกรรมมีดังนี้ครับ”
จากนั้นก็ยืนเอกสารชุดหนึ่งออกไป ไป๋หลันยกขึ้นมาอ่านแล้วพูดขึ้น
“กิจกรรมค่อนข้างหนักอยู่นะคะ”
“ครับ จำเป็นต้องเข้าอบรมอย่างน้อย 5 วัน ครับ เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพและนำไปใช้ได้จริง”
ไป๋หลันขมวดคิ้วรู้สึกไม่มั่นใจ เมื่อชำเลืองมองมายังม่านเวยอิงก็เห็นอีกฝ่ายเปิดดูตารางซ้อมไร้สีหน้ากังวลจึงถามขึ้น
“เสี่ยวอิงคิดว่าเป็นอย่างไรบ้าง”
ม่านเวยอิงยิ้มตอบ
“ฉันไม่ขัดข้องค่ะ พี่ไป๋หลันตัดสินใจได้เลย”
แววตาของหรงจือหยางเป็นประกายวับวาว
“ครับ...หากคุณม่านเวยอิงเข้าร่วมทางเรามีค่าตอบแทนให้เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ให้เยาวชนเข้าร่วมด้วยครับ”
วันนี้ม่านเวยอิงอารมณ์ดีเป็นพิเศษและได้ใช้เงินสามแสนหยวนจากชายหนุ่มเมื่อวาน ความขุ่นโกรธต่อหรงจือหยางก็ลดลงไปมาก หลังจากได้ยินว่าจะใช้เธอเป็นพรีเซนเตอร์พร้อมกับค่าตอบแทน ดวงตาดอกท้อก็ประกายวาวขึ้น ไป๋หลันเห็นม่านเวยอิงดูกระตือรือร้นอีกทั้งเด็กสาวก็โด่งดังจากการเป็นพลเมืองดี จึงพูดขึ้น
“ถ้าอย่างนั้นในส่วนของรายละเอียดของสัญญาและเวลาการจัดอบรมจะตกลงกันได้วันไหนคะ”
หรงจือหยางยิ้มแล้วเรียกพนักงานคนหนึ่งเข้ามา หลังจากตกลงเงื่อนไขเบื้องต้นเรียบร้อย ไป๋หลันก็ขอตัวเพราะม่านเวยอิงจำเป็นต้องเตรียมตัวไปงานเปิดกล้อง “กระดูกมาร” ต่อในตอนบ่าย
เมื่อเดินออกมาก็เจอกับลู่ปิง อี้หนิงและเฉียวเจียวส่งสายตามองอย่างเป็นกังวล พวกเธอจำหรงจือหยางได้ กลัวว่าจะมีเรื่องไม่ดีสีหน้าจึงเต็มไปด้วยความกระวนกระวาย ม่านเวยอิงจึงปลอบ
“ไม่มีอะไร ไปพวกเราไปทานข้าวกัน”
ส่วนในห้องทำงานหรงจือหยาง ฉีเจ๋อเดินเข้ามายืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานของชายหนุ่ม ชำเลืองมองต่ำท่าทีคล้ายกดดันอีกฝ่ายแล้วพูดขึ้น
“โครงการอบรมเบื้องต้นเกี่ยวกับการกู้ภัย ไม่ทราบว่าได้รับอนุมัติงบแล้วหรือขอรับ”
“นายไปอ่านดูรายละเอียดโครงการใหม่แล้วค่อยมาคุยก็ยังไม่สาย”
ฉีเจ๋องุนงง จะเป็นไปได้อย่างไรโครงการนี้พึ่งเสนอไปเมื่อวานก่อนจะอนุมัติงบประมาณได้อย่างไร ชายหนุ่มรีบเอาเอกสารออกมาเปิดดู ตั้งใจจะตำหนิอีกฝ่ายหากใช้อำนาจเพื่อให้ผลอนุมัติเร็วขึ้น
ทว่าสิ่งที่อยู่ในเอกสารทำให้ฉีเจ๋อตกตะลึงยิ่งกว่า
“หรงจือหยาง นับว่ากระผมได้เรียนรู้ที่ผ่านมาถือว่าผมดูแคลนคุณผมพลาด นับว่าอวดรวยได้แยบยลมาก”
น้ำเสียงของฉีเจ๋อเจือความประชดประชัน
“ก็ยังไม่ผิดกฎหมายใช่หรือไม่”
“เอ่อ ไม่ผิด”
ทั้งที่ตอนแรกเป็นเขาเองที่สนับสนุนให้หรงจือหยางจีบม่านเวยอิงทว่าตอนนั้นกลับปฏิเสธมาตอนนี้กลับมายืนยันสิ่งที่ตนเองทำว่าไม่ผิดกฏหมาย ฉีเจ๋อเดินออกไปอย่างหัวเสียไม่เข้าใจตนเอง
พอเดินมาถึงห้องตนเอง ฉีเจ๋อก็พลันเข้าใจว่าตนเองหงุดหงิดสิ่งใด
หนึ่งล้านหยวน
ใช่
เพราะหรงจือหยางสนับสนุนโครงการนั่นด้วยเงินหนึ่งล้านหยวน สุดท้ายฉีเจ๋อก็ตะโกนในใจ ใช่แล้ว อิจฉาโว้ย
ในร้านอาหาร
อี้หนิงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ
“คุณม่านคะ ชมรมกีฬาอยากจะเชิญคุณม่านไปร่วมลงแข่งในนามของชมรมด้วยค่ะ”
“ได้สิ ๆ ตกลงไปเลย”
ม่านเวยอิงตอบทันที ไม่หยุดไตร่ตรองสักนิด ก็แค่วิ่งให้เร็วไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเธอเลย ทว่าเฉียวเจียวกลับมีสีหน้ารู้สึกไม่สบายใจ
“แต่ว่า...คุณม่านคะ.. การแข่งขันในเวลาจำกัดคุณม่านจะสามารถลงแข่งทุกการแข่งขันไม่ได้นะคะ”
ลู่ปิงหยักหน้าหงึกๆ เห็นด้วย
“นั่นสิ หากแข่งพร้อมกันแล้วเราจะตัดสินใจอย่างไรคะ”
“ทะเลาะกันแน่เลย”
ไป๋หลันนั่งฟังเด็กสาวปรึกษากัน สายตาก็กวาดมองเพื่อนทั้งสามของม่านเวยอิงพลางใคร่ครวญบางอย่าง ถามขึ้น
“พวกเธอตัดสินใจเลือกสาขาเรียนต่อหรือยัง”
ทั้งสามต่างพยักหน้า ลู่ปิงตอบ
“พวกเราตั้งใจจะเรียนด้านแฟชั่นดีไซน์ค่ะ รอดูคะแนนสอบเสียก่อนจึงจะเลือกมหาวิทยาลัยกันอีกที”
อี้หนิงพูดต่อ
“เรียนจบแล้วเราอยากจะดูแลคุณม่านต่อค่ะ”
ไป๋หลันยิ้มบางละมุน
“ดีจริง ตอนนี้ฉันกำลังจะหาคนดูแลเสี่ยวอิงเพิ่มพวกเธอสนใจรับงานนี้ไหม”
เด็กสาวทั้งสามต่างมองหากัน เฉียวเจียวพูด
“พวกเรากลัวจะทำได้ไม่ดีอ่ะค่ะ”
“อะไรกัน ฉันก็เห็นพวกเธอทำดีออก สิ่งที่พวกเธอกำลังตอนนี้นั่นล่ะคือการดูแลศิลปิน”
ม่านเวยอิงพยักหน้าพอใจ
“รับสิ พวกเธอจะได้มีรายได้ด้วยนะ”
ลู่ปิง อี้หนิงและเฉียวเจียว ตั้งแต่เกิดมาชีวิตต้องคอยมองสีหน้าผู้อื่นอยู่เสมอและยิ่งถูกนำมาอยู่ที่เมือง A หลายครั้งพวกเธอก็ต้องคอยเอาใจคนพวกนั้นอยู่ตลอดเวลา กระนั้นก็ใช่ว่าชีวิตจะราบรื่น
การเอาใจม่านเวยอิงเป็นไม่นับว่าลำบากอันใด มีที่อยู่ มีเสื้อผ้า อาหารอิ่มท้อง อีกอย่างยังมีหน้ามีตาด้วย
แค่คิดก็ซาบซึ้งไปทั้งหัวใจ
ลู่ปิงน้ำตาเริ่มคลอ พูดด้วยน้ำเสียงสะอื้น
“ม่านเวยอิงทำไมเธอแสนดีขนาดนี้ ฮื้อ”
ม่านเวยอิงหาได้ซึ้งด้วย เธอถลึงตาพูดเสียงต่ำ
“หยุดนะ ฉันไม่ชอบคนร้องไห้”
อึบ!!
ลู่ปิงกลืนคำสะอื้นลงคอทันที ไป๋หลันหัวเราะขบขัน
“เอาล่ะ ๆ เป็นอันตกลงนะ ตอนนี้พวกเธอจะทำงานได้เพียงวันหยุด ฉันคงจ้างเป็นเงินรายชั่วโมงแทน”
“ขอบคุณค่ะ”
แต่ว่า เรื่องเรียนต่อยังเหลืออีกหนึ่งคนที่ยังไม่ตอบ จึงถามขึ้น
“เสี่ยวอิงยังตัดสินใจไม่ได้หรือ”
ม่านเวยอิงค่อนข้างเกรงใจไป๋หลัน
จึงตอบเสียงแผ่วเบาแต่ดวงตาเป็นประกาย
“ฉันคิดว่าจะเรียนต่อโรงเรียนกีฬาค่ะ ฉันจะไปเป็นนักกีฬาทีมชาติ หากจะเป็นทุนนักกีฬา ฉันก็ยังไม่รู้ว่าจะเรียนต่อด้านไหน”
ไป๋หลันยิ้มอย่างอ่อนโยน
“พี่ดูแลเธอมาตั้งนานย่อมรู้ว่าเธอ...เอ่อ..ไม่สันทัดเรื่องการแสดง เราสามารถทำทุกอย่างไปพร้อมกันได้แต่ว่า มันอาจจะเหนื่อยนะ แล้ว...ช่างเถอะ...ทานข้าวเสร็จแล้วเราก็ไปงานเปิดกล้องกันก่อนแล้วค่อยเข้าบริษัท”
แม้ไป๋หลันอยากจะถามม่านเวยอิงสักคำ เรื่องการเป็นนักกีฬาทีมชาติไปเอาความมั่นใจมาจากไหน แต่ว่าวัยนี้ล้วนต้องมีความฝัน และตอนนี้นับว่าดีแล้วค่อยเป็นค่อยไปจะดีกว่า
ส่วนม่านเวยอิงเห็นไป๋หลันไม่ขัดข้องก็ดีใจ
“ไม่เหนื่อยค่ะ แค่นี้เองฉันไม่เหนื่อย”
“ตามใจ”
หลังทานมื้อเที่ยงเสร็จไป๋หลันก็พาทั้งหมดไปยังงานเปิดกล้องละครเรื่องกระดูกมารต่อเมื่อไปถึง ทีมงานของกองถ่ายและคนของฝูหัวก็รีบมารับ
“สวัสดีค่ะ เชิญคุณม่านเวยอิงทางนี้เลยนะคะ ทางทีมงานได้จัดเตรียมห้องแต่งตัวไว้ให้แล้ว”
เมื่อเดินไปถึงห้องแต่งตัว ไป๋หลันก็หันมาแนะนำคน
“นี่คือ ถังรุ่ย เป็นผู้ช่วยผู้จัดการพี่ ส่วนนี่คือ ลู่ปิง อี้หนิง เฉียวเจียว จะคอยเป็นผู้ช่วยดูแลม่านเวยอิงด้วยกัน”
เด็กทั้งสามโค้งตัวแนะนำตัวยิ้มแป้น
“ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ”
“เช่นกันค่ะ ดีจังเลยค่ะ”
ไป๋หลันไม่ได้อธิบายเรื่องการจ้างคนเพิ่มเพราะเธอตั้งใจจะหักจากส่วนแบ่งของตนเองอยู่แล้ว และที่สำคัญในช่วงเวลาระหว่างเรียนก็นับว่าได้เด็กกลุ่มนี้ช่วยดูแลม่านเวยอิงด้วย
จากนั้นช่างแต่งหน้าทำผมของกองถ่ายก็ได้เข้ามาดูแลม่านเวยอิงต่อ ถังรุ่ยก็ถือโอกาสพูดคุยทำความรู้จักกัน เธอค่อยข้างพอใจกับนิสัยของคนทั้งสามไม่ว่าจะบอกให้หยิบจับสิ่งใดล้วนคล่องแคล่วแถมไม่อิดออด นับว่าเธอโชคดีที่ตัดสินใจรับงานผู้ช่วยผู้จัดการม่านเวยอิงแม้จะมีหลายคนบอกว่ามันเสี่ยงนะ ดังทั้งที่ยังไม่มีผลงานดังจากกระแสอีกไม่นานก็ดับไป