ภายในมิติของลี่หลิน...
เป็นเวลาเกือบสิบปีในมิติของลี่หลินและเป็นเพียงหนึ่งวันของเวลาข้างนอกมิติ การฝึกปราณและฝึกวิชายุทธของตระกูลไป๋ เป็นไปอย่างราบรื่น แม้แต่การเรียนรู้และจดจำสมุนไพรรวมถึงการหลอมโอสถลี่หลินก็ทำได้อย่างเยี่ยมยอด นางไม่รู้หรอกว่าวิชาเหล่านี้จะเอาไปใช้เพื่อสิ่งใด เพราะตอนนี้นางก็ไม่ได้ขาดแคลนอะไรเลย คงต้องรอให้นางออกไปนอกมิติเสียก่อนกระมังถึงจะมีโอกาสได้ใช้ความสามารถเหล่านี้
วิชาที่นางชอบที่สุดเห็นจะเป็นวิชาเหาะเหินเดินอากาศนี่แหละ ไม่ว่าจะก้าวย่างไปทางไหนจะใกล้หรือจะไกลนางก็จะเหาะเหินไปตลอดเวลา ทำเอาต้าฝูถึงกับมองบนเลยทีเดียว ‘หึๆ ของใหม่นางย่อมเห่อเป็นธรรมดา’
แม้จะเป็นเวลาสิบปีในมิติแต่รูปลักษณ์ของไป๋ลี่หลินก็ยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง มีมิติมันดีอย่างนี้นี่เองคงสภาพได้แม้กระทั่งรูปร่างของมนุษย์
ตอนนี้พลังของนางอยู่ที่ปราณสวรรค์ขั้นต้น วิชาอื่นๆ ของตระกูลไป๋ที่ลี่หลินฝึกก็อยู่ที่ระดับกลางเกือบจะถึงขั้นสูงแต่วิชาที่นางฝึกจนถึงขั้นสมบูรณ์แบบก็คือท่าร่างเหมันต์เคลื่อนคล้อย ใช้เป็นทั้งท่าร่างและโจมตีคู่ต่อสู้ไปในตัวได้ด้วย ต้าฝูก็เหลือเกินเขาพยายามเคี่ยวเข็ญให้นางฝึกฝนอย่างกับว่าจะเตรียมความพร้อมให้นางไปออกรบอย่างนั้นแหละ
เรื่องของสมุนไพรนางก็ชำนาญและเชี่ยวชาญเป็นที่สุด ไม่ว่าจะเป็นสมุนไพรหายากและสมุนไพรพิษ ส่วนการหลอมโอสถที่นางสามารถหลอมได้คือโอสถปรานสวรรค์ขั้นสูงและเป็นโอสถระดับสูงสุดของแผ่นดินนี้ ต้าฝูบอกมาแบบนั้นก็ต้องเชื่อเขาละนะ
และเมื่อครั้งที่นางเผลอใช้โอสถหลอมธาตุไปถึงสามเม็ดก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง พลังธาตุที่นางเคยมีมาแต่กำเนิดคือธาตุไม้ธรรมดา แต่ไม่รู้เป็นเพราะสาเหตุอันใดธาตุไม้ธรรมดาของนางก็เกิดวิวัฒนาการจนเป็นธาตุพฤกษาบริสุทธิ์ แล้วยังได้รับธาตุเหมันต์มาเพิ่มอีกนั่นเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้นางสามารถฝึกวิชายุทธของตระกูลไป๋ได้ ตระกูลไป๋แท้ที่จริงแล้วก็คือผู้ใช้ธาตุเหมันต์นี่เอง
ความจริงแล้วต้าฝูอยากให้นางฝึกจนถึงระดับเซียนแล้วค่อยออกไปนอกมิติแต่นางหรือจะทนได้ อีกสิบปีในมิติเชียวนะ นางอยากออกไปเจอโลกข้างนอกบ้างว่าเป็นเช่นไร จะมีการต่อสู้และใช้กำลังภายในเหมือนหนังจีนที่นางเคยดูหรือไม่แค่คิดก็ตื่นเต้นและคันไม้คันมือแล้วสิ
สิบปีอาหารที่นางตุนไว้ในตู้ก็หมดไป ไม่ว่าจะเป็นของสด ของแห้งและแม้แต่อาหารกระป๋อง ส่วนผลไม้วิเศษ ผลไม้ปราณนางก็กินจนเบื่อจะแย่แล้ว กว่าจะฝึกถึงขั้นปราณเชียนที่ผู้ฝึกตนไม่จำเป็นต้องกินต้องดื่มไป๋ลี่หลินคนนี้คงได้ลงแดงตายกันพอดี...
กล่าวถึงต้าฝูสัตว์อสูรระดับเซียน เขาคือเหยี่ยววายุเชียวนา แต่ก่อนต้าฝูเองก็เป็นแค่สัตว์อสูรระดับสูง หากจะเปรียบกับมนุษย์ผู้ฝึกตนก็คงอยู่ที่ปราณขั้นห้า ก่อนที่ศิษย์พี่จวินจะไปที่แดนเซียนต้าฝูก็มีแค่ปรานจักรพรรดิเขาจึงไม่สามารถเดินทางไปยังแดนเซียนกับศิษย์พี่จวินได้
อาจจะมีคนสงสัยเมื่อศิษย์พี่จวินจะไปแดนเซียนทำไมถึงได้ปล่อยมิตินี้ไว้ ศิษย์พี่จวินไม่ได้จะปล่อยทิ้งมิติไปนะแต่ศิษย์พี่เป็นผู้ใช้ธาตุมิติ เมื่อสร้างมิติสถานที่เป็นของตัวเองได้แล้วจึงไม่สามารถถือครองมิติอื่นได้ ส่วนต้าฝูนั้นได้ทำพันธะเป็นผู้ดูแลมิติของนางแล้ว เลยไม่สามารถย้ายเข้ามิติของศิษย์พี่จวินได้ ‘นายใหม่ของมิติก็เลยกลายเป็นข้าไป๋ลี่หลินคนนี้อย่างไรล่ะ’
แล้วนางก็อยากรู้จริงๆ ว่าต้าฝูพักอยู่ที่ใดเหตุใดนางถึงมองไม่เห็นบ้านเรือนเลยสักหลัง นอกจากบ้านหลังงามของนางแล้วก็ไม่มีบ้านหลังอื่นอีกเลย
ต้าฝูบอกนางว่าเขาพักอยู่บนเขาอีกลูกหนึ่ง สัตว์อสูรที่อยู่ในมิติของนางก็มีแค่ต้าฝูเท่านั้นแหละ ที่มีบางส่วนในมิติก็คือสัตว์วิญญาณที่ศิษย์พี่จวินเก็บเข้ามาเลี้ยงไว้ในมิติเผื่อยามฉุกเฉินและขาดเสบียงจริงๆ แต่นางก็ลองกินไม่กี่ครั้งเองนะรสชาติก็งั้นๆ ไม่ได้มีความพิเศษอะไรเลย
“ต้าฝูข้าพร้อมจะออกไปข้างนอกแล้ว” ในที่สุดนางก็จะได้ออกไปข้างนอกเสียที ที่นางดีใจไม่ใช่อะไรหรอกนะก็ศิษย์พี่จวินบอกว่ามีของขวัญรอนางอยู่นี่นา
“นายหญิงท่านเตรียมพร้อมแล้ว จะไปชุดนี้แน่นะขอรับ”
“แน่สิ...ชุดนี้ก็ใกล้เคียงที่สุดแล้วนะ ข้าไม่ใส่หรอกนะชุดของท่านน่ะ ใส่แล้วข้าดูเหมือนคนแคระเลย”
“คนแคระหรือ? เอาอย่างนั้นก็ได้แต่ท่านต้องงดพูดภาษาแปลกๆ นะขอรับ” อยู่ในมิติมาจะสิบปี นายหญิงของเขาก็ยังติดพูดภาษาแปลกๆ อยู่เรื่อย
“อือ...ก็ได้”
“ใช้มือแตะที่ตัวของข้าแล้วกำหนดจิตว่าออกไป”
ลี่หลินทำตามที่ต้าฝูบอกอย่างว่าง่าย
วูบบบ!!!
“โอ้ว...เราโผล่มาที่ไหนเนี่ย” ลี่หลินถามอย่างตื่นเต้น แค่หลับตานางก็โผล่มาอีกที่หนึ่งแล้ว ไม่รู้ว่านางจะกล่าวสิ่งใดดีมันถึงจะเหมาะสม อเมซิ่งหรือ? แต่คำว่าแฟนตาซีนี่คือที่สุดแล้วนะ
“เรือนของนายท่านไป๋จวินน่ะขอรับ”
“นี่ใช่ห้องนอนของศิษย์พี่หรือต้าฝู โอ้! สีชมพูเต็มไปหมดเลย...การตกแต่งนี่มันยังไงกัน” อย่าบอกนะว่าศิษย์พี่เป็น...คิกๆ คงไม่ใช่อย่างที่นางคิดกระมัง ว่าแล้วก็อยากเห็นเหลือเกินว่าเพศที่สามของที่นี่พวกเขาจะแต่งตัวกันอย่างไร คงจะงามในชุดแบบโบราณแน่ๆ เลย
“เอ่อ...นายหญิง เท่าที่ข้าจำได้ห้องนี้ไม่ใช่ของนายท่าน ไป๋จวินหรอกขอรับ มันน่าจะเป็นห้องของท่านเสียมากกว่า ข้าว่าเหมาะกับท่านดีนะขอรับ”
“ห้ะ! ห้องของข้าหรือ” ไม่จริงอ่าาา
ลี่หลินอยากจะหัวเราะให้ฟันหัก ห้องนี้น่ะหรือคือห้องของนางสีชมพูละลานตาไปหมด ถ้าเป็นห้องของแทนน้อยนั่นถึงจะเข้าท่ากว่าเพราะแทนแทนของนางชอบสีชมพู ‘รอไปก่อนนะลูกรักเดี๋ยวแม่จะหาป่ะป๊าให้ เราจะได้เจอกันเร็วๆ นี้แน่’ ลี่หลินยิ้มให้กับความคิดของตัวเอง ฮึ! นางก็ช่างเพ้อเจ้อยิ่งนัก อย่างกับจะหาพ่อของลูกได้ง่ายดายปานนั้น
“นายหญิงไม่ชอบสีชมพูหรอกหรือ ข้าว่าเหมาะกับท่านดีนะขอรับ” ต้าฝูถามอย่างสงสัยเขาไม่รู้ความชอบของมนุษย์เท่าใดนักหรอก แต่ว่าสีนี้ก็เหมาะกับนายหญิงของเขาดีนี่นา
“ม่ายยยย...ไม่เหมาะสักนิดข้าเกลียดสีชมพูที่สุด ท่านดูสิของใช้สตรี ชุดสตรี รองเท้าสตรีและเครื่องประดับเหล่านี้มันคือสี กาลกิณีท่านเข้าใจหรือไม่ และมันก็เป็นสีอริกับข้าเลยนะ โอ้ยังพอมีชุดสีอื่นอยู่บ้าง ก็ยังดี...ข้านึกว่าจะไม่มีชุดใส่เข้าเมืองเสียแล้ว ท่านจำไว้เลยนะต้าฝู...ข้าไม่ชอบสีชมพู”
“ถ้าอย่างนั้นให้ข้าทำลายมันทิ้งเลยดีหรือไม่ขอรับ”
“เอ๋า...ถ้าท่านทำลายทิ้งแล้วจะให้ข้านอนที่ไหนเล่า ไม่ต้องทำลายเลย เอะอะท่านไม่ชอบอะไรท่านก็จะทำลายทิ้งไม่ได้นะ ของเหล่านี้ดูแล้วก็สวยงามดี ของดีมีราคาทั้งนั้นรสนิยมก็ใช้ได้ไม่เลวเลย ข้าจะเก็บไว้ให้แทนแทนเพราะนางชอบสีชมพู” ลี่หลินบอกกับอสูรหนุ่มพร้อมกับเอามือตบที่หน้าท้องแบนเบาๆ
“คงจะอีกนานกว่าคุณหนูจะได้ใช้ของพวกนี้ ท่านยังหาบิดาให้คุณหนูไม่ได้เลยนะขอรับ”
“เชอะ! ออกจากป่าไปเดี๋ยวข้าก็เจอเองแหละ เตะเอาข้างทางก็ได้ ชิ..ข้าไม่คุยเรื่องนี้แล้วเราออกไปข้างนอกกันเถอะ ข้าจะไปหาของขวัญที่ศิษย์พี่เก็บไว้ให้ข้า” เหอะ! เขาใช่อสูรแน่หรือเห็นหน้านิ่งๆ แบบนี้แต่เหน็บแนมได้เจ็บไม่เบา ช่างปากคอเราะร้ายนักนะพ่ออสูรหน้าเป็น
‘หึๆ นางช่างกระตือรือร้นเป็นเด็กๆ เสียจริง’ ต้าฝูคิดพลางส่ายหน้าและรู้ตัวว่าได้ทำให้นายหญิงขุ่นเคืองใจเข้าแล้ว แต่ก็แค่ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้นแหละ เขาได้อยู่กับนางมาจนรู้นิสัยใจคอและมองอารมณ์ของนางจนทะลุปุโปร่งหมดแล้ว นายหญิงไป๋ลี่หลินเป็นคนประเภทโกรธง่ายหายเร็วเพียงไม่ถึงเค่อนางก็ลืมหมดสิ้นแล้วความขุ่นเคืองที่มี
ครืดดด!
“ว้าววววว ป่าทั้งนั้น แล้วทำไมต้องมาสร้างบ้านอยู่ในป่าด้วยล่ะ”
“อันนี้ข้าก็ไม่อาจจะรู้ได้แต่มันเป็นสถานที่อาศัยดั้งเดิมของท่านไป๋ลู่เค่อขอรับ ที่เราอยู่คือใจกลางของหุบเขาหมื่นวิญญาณ”
“เหวอ!!...หุบเขาหมื่นวิญญาณหรือ” พ่อแก้วแม่แก้ว นางกลัวผีและพวกวิญญาณที่สุดฟังแค่ชื่อก็ขนหัวลุกจะแย่แล้ว
“มันไม่ใช่อย่างที่ท่านคิดหรอก ที่เรียกหุบเขาหมื่นวิญญาณเพราะที่นี่เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์วิญญาณกว่าหลายแสนตัวต่างหากละขอรับ”
“ฮิฮิ ค่อยยังชั่ว ข้าก็คิดว่าว่าจะมีพวกวิญญาณเทือกนั้นเสียอีก แล้วทำไมไม่เรียกหุบเขาแสนวิญญาณล่ะ”
“ก็แต่ก่อนสัตว์วิญญาณมันไม่ได้มีเยอะขนาดนี้ขอรับ”
“อ้อ” นางไล่เรียงถามต้าฝูเหมือนเด็กๆ ที่มาทัศนศึกษาไม่มีผิดจนรู้เรื่องพอประมาณ เรือนหลังนี้เป็นของศิษย์พี่จวินอย่างไม่ต้องสงสัยเพราะเป็นเรือนสไตล์ญี่ปุ่นนั่นเอง มันถูกสร้างขึ้นกลางหุบเขาไม่มีทางเลยที่คนภายนอกจะมองเห็น ช่างน่าทึ่งจริงๆ ‘โอ้ยนี่นางพูดคำว่าทึ่งไปกี่ครั้งแล้วเนี่ย’ และคงเพราะเป็นตระกูลไป๋ที่ลึกลับกระมังพวกเราจึงต้องเร้นกายอยู่ในหุบเขาเช่นนี้ จากบันทึกของท่านอาจารย์ลู่เค่อคนตระกูลไป๋จะไม่ค่อยเปิดเผยตัวตนและตระกูลไป๋ที่ผู้คนรู้จักก็จะมีแต่บุรุษทั้งนั้น จะมีก็แต่นางที่เป็นสตรีน่าแปลกจริงๆ และตอนนี้นางก็สัมผัสได้ถึงอักขระค่ายกลเต็มไปหมด ศิษย์พี่ท่าทางจะเก่งกาจเรื่องค่ายกลอักขระ ส่วนนางยังไม่ค่อยช่ำชองนักแต่ก็คงพอเอาตัวรอดได้ ถ้าหากเป็นค่ายกลพฤกษาคงไม่มีใครเปรียบนางได้หรอกนางหมายถึงที่นี่นะ
ไป๋ลี่หลิน...ช่างไม่รู้อะไรจริงๆ ค่ายกลอักขระใช่ว่าใครก็จะเรียนและฝึกได้ถ้าไม่มีตัวช่วยอย่างมิติแล้วละก็ ต่อให้ฝึกฝนจนแก่เฒ่าก็ใช่ว่าจะช่ำชอง
“ของขวัญที่ว่าคงไม่ได้อยู่ที่ห้องของศิษย์พี่หรอกข้าจะไปดูที่ห้องตำรา นั่นไง! หีบเบ้อเริ่ม...ตื่นเต้นจังจะมีอะไรบ้างน๊า” เหมือนนางจะพูดอยู่กับตัวเอง พอมาถึงหีบใบใหญ่ลี่หลินก็ต้องหยุดชะงักเพราะว่าหีบใบนี้ไม่ได้เปิดง่ายๆ อย่างที่ควรจะเป็นเสียแล้ว ‘เหอะ! ก็ไหนว่าให้นางแล้วจะใช้ค่ายกลทำไมเล่า ศิษย์พี่นะศิษย์พี่จะไม่ยอมยกให้ข้าดีๆ ใช่ไหม’
“ฮึ! นี่ศิษย์พี่จวินคิดจะทดสอบข้าหรืออย่างไร ของต้องสำคัญขนาดไหนเชียวถึงกับต้องใช้ค่ายกล ต้าฝูกินลูกท้อซะ...แล้วเอาเมล็ดมันมาให้ข้า” ลี่หลินสั่งอสูรหนุ่มพร้อมกับยื่นลูกท้อทิพย์มรกตให้หนึ่งผล
“.......” ‘แล้วทำไมท่านไม่กินเองเล่า’ ต้าฝูคิดในใจแต่มือก็ยังมิวายยื่นไปรับผลท้อมาแต่โดยดี
ทั้งนายและสัตว์อสูรต่างพากันบ่ายเบี่ยงที่จะกินลูกท้อ นั่นมันลูกท้อทิพย์มรกตเชียวนะในผืนแผ่นดินนี้คงหาไม่ได้อีกแล้ว นอกจากว่าคนผู้นั้นจะเป็นเจ้าของบ่อน้ำทิพย์มรกตซึ่งก็คงมีแค่ไป๋ลี่หลินคนเดียวกระมัง
“ให้ไวนะท่านข้ารออยู่ คิกๆ”
“ขอรับ ขอรับ” ต้าฝูจำใจกัดกินลูกท้ออย่างขัดไม่ได้ คำแล้วคำเล่ากว่าจะหมดจนเหลือแค่เมล็ดถึงได้ยื่นกลับคืนให้นายของตน
เมื่อได้เมล็ดลูกท้อสมใจแล้วลี่หลินก็วางเมล็ดท้อไว้กลางฝ่ามือแล้ววาดอักขระลงที่เมล็ดท้ออย่างช่ำชอง สำหรับนางการทำลายค่ายกลนั้นไม่ยากขอแค่มีต้นไม้หรือเมล็ดของพืชนางก็สามารถใช้งานมันได้แล้ว เมื่อวาดอักขระเสร็จ
“พฤกษาเหมันต์” พฤกษาเหมันต์เป็นค่ายกลที่นางคิดขึ้นมาเอง ผสมผสานระหว่างค่ายกลพฤกษากับธาตุเหมันต์ เป็นค่ายกลที่มีไว้เพื่อทำลายโดยแท้ ชั่วอึดใจรากท้อสีฟ้าที่ทำให้เกิดความเย็นสุดขั้วก็พลันงอกออกมาและเลื้อยเข้าชอนไชตามช่องว่างของอักขระค่ายกลบนหีบใบใหญ่ เมื่อเลื้อยเข้าไปจนเติมเต็มช่องว่างทั้งหมดแล้ว
“แข็งตัวและทำลาย” พอสิ้นเสียงของคำสั่งรากไม้น้ำแข็งก็จับตัวกันแน่นและทำลายตัวเองทันที
เปรี๊ยะ!!! กึกๆๆ
“ค่ายกลของศิษย์พี่ก็ไม่เท่าไหร่เลยนะท่านว่ามั้ย” ลี่หลินกล่าวกับต้าฝูอย่างภาคภูมิใจก็นางไม่คิดว่าค่ายกลของศิษย์พี่จวินจะทำลายได้ง่ายดายถึงเพียงนี้
“ขอรับนายหญิง” ‘สำหรับท่านคนเดียวน่ะสิ คนอื่นจะคิดเหมือนท่านมั้ยเล่านายหญิงของข้า’
“มาดูกันว่าศิษย์พี่มีอะไรให้ข้าบ้าง ห้ะ! อะไรกันเนี่ยในหีบก็ยังมีหีบอีกหรือ หีบมิติเดี๋ยวข้าก็เก็บไปขายให้หมดซะหรอก มีอะไรบ้างเนี่ย? หีบตำรา อะไรนี่ตำราฝึกวาดและจารึกอักขระเหรอข้ามีแล้วของท่านอาจารย์ไง แล้วในหีบเล็กนี่มันอะไร...หยกพกรึ” ต้าฝูได้แต่มองนายของตนอย่างขำๆ ก็นางเล่นพูดอยู่คนเดียว ทั้งพูดเองแล้วก็ตอบเองอีกต่างหาก ‘นางช่างสดใสและดูเป็นเด็กน้อยเหลือเกิน’
“ไป๋หลง ที่หยกสลักตัวอักษร ‘ไป๋หลง’ มันคืออะไรหรือต้าฝู”
“มันคือหยกแสดงตัวตนของผู้ครอบครองหอประมูลไป๋หลงขอรับนายหญิง”
“นั่นแสดงว่าข้าต้องสังเวยเลือดอีกใช่ไหม”
“ขอรับ” ‘สังเวยอันใดกันเลือดแค่หยดเดียวเองนะ’ ต้าฝูคิด นายหญิงของเขาก็พูดเสียน่ากลัว
“อย่าให้ข้ารู้นะว่าท่านนินทาข้าในใจ ไม่เช่นนั้นข้าจะแช่แข็งท่านให้ดู”
“.......” ‘นางก็ช่างขู่เก่งเหลือเกิน ท่านไป๋จวินนายหญิงรังแกข้าอีกแล้วนะขอรับ’ ตั้งแต่นายหญิงของเขาฝึกค่ายกลพฤกษาเหมันต์สำเร็จนางก็มักจะขู่แช่แข็งเขาอยู่ตลอดเวลาหากเผลอทำให้นางโมโห เหมือนนางจะมีความสุขที่ได้ทำเช่นนี้ เพราะฉะนั้นอสูรเหยี่ยววายุตนนี้จึงไม่เคยขัดนางเลยแม้แต่น้อย หากนางมีความสุขเขาก็จะปล่อยให้นางทำไปเห็นรอยยิ้มยังดีกว่าเห็นน้ำตายามนางเศร้าโศกเป็นไหนๆ ถึงจะเป็นรอยยิ้มสะใจที่ได้ข่มเหงอสูรอย่างเขาก็เถอะ