กักขังและหน่วงเหนี่ยว

2009 Words
“อาเทียน ท่านจะกักขังข้าอยู่แบบนี้เหรอ แล้วครอบครัวของท่านจะมองข้าเป็นคนเช่นไรหือ” ลี่หลินพูดพร้อมกับใช้นิ้วมือเล็ก ๆ เขี่ยเล่นไปมาที่แผงอกแกร่ง คำร่ำลือที่เคยได้ยินมาเกี่ยวกับคุณชายรองนั้นช่างผิดเพี้ยนกับความเป็นจริงโดยแท้ ตั้งแต่คืนนั้นวันที่เริ่มถอนพิษนั่น จวบจนมาวันนี้ก็ปาเข้าวันที่สามแล้ว เทียนหรงไม่เคยปล่อยให้นางห่างตัวเลยแม้แต่น้อย เขาสูบพลังชีวิตของนางแทบจะเหือดแห้งลงทุกวัน หากนางจะขัดก็ขัดไม่ได้ช่างเอาแต่ใจยิ่งนัก ข้ออ้างของเขาคือต้องการจะปั้นลูกสาว แล้วแบบนี้ใครเล่าจะกล้าขัด เพราะนางเองก็ยังมีความหวังอยู่เต็มเปี่ยมว่าลูกน้อยจะได้กลับมาเกิดเสียที ‘แทนแทนน้อยเจ้าพร้อมมาเกิดหรือยังลูกรัก รู้ใช่ไหมว่าพ่อของเจ้าขยันหนักทุกวันและพยายามแค่ไหน อย่าทำให้เขาผิดหวังล่ะเจ้าตัวน้อย’ ลี่หลินส่งกระแสจิตและส่งพลังปราณไปให้ลูกสาว นางทำอยู่แบบนี้ทุกวันจนเป็นกิจวัตรไปแล้ว ตุบ ๆ ตุบ ๆ ‘อาา...ดีใจจังเจ้าตอบรับแม่แล้ว’ วัน ๆ นางและเทียนหรงแทบจะไม่ได้นั่งคุยกันเลยก็ได้แต่นอนคุยนี่แหละ อย่างเช่นตอนนี้ “อาหลินหากเจ้ายังไม่หยุดมืออย่าหวังเลยนะว่าจะได้ลุกจากเตียง พี่จะไม่ยอมอ่อนข้อให้เจ้าเลยทีเดียว” “ท่านขู่ข้าหรือ” พูดจบฟันคม ๆ จากปากน้อย ๆ ก็งับลงที่หัวนมชมพูย่างจงใจ “อึก..อ๊าาา..อาหลินอย่าทดสอบความอดทนของพี่นะคนดี หากเจ้ายังยั่วยุพี่อยู่เช่นนี้พี่จะกักขังเจ้าเอาไว้อีกหลาย ๆ วันเลยทีเดียว” พอผ่านคืนวสันต์อันลึกซึ้งมาหลายวันคำเรียกขานของทั้งสองก็เปลี่ยนไป อาเทียนให้นางเรียกเขาเช่นเดิมแต่เขาเปลี่ยนคำแทนตัวเองว่าพี่กับนางแล้ว ฮื้อออ..ช่างน่ารักอะไรอย่างนี้ ก่อนที่นางคิดจะผละตัวเองออกจากอ้อมแขนของเขาพ่อหนุ่มช่างปั้นไหนเลยจะปล่อยให้นางออกไปจากอ้อมอกแกร่งได้อย่างง่ายดายล่ะ และตอนนี้ช่วงล่างของนางก็กำลังจะถูกเขารุกรานอีกแล้ว บุรุษผู้นี้ไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนมากมายเช่นนี้นะ “เทียนหรง อย่าาา..อื้ออออ” เพราะเนื้อยังห่มเนื้ออยู่แค่ขยับและสัมผัสเพียงเล็กน้อยไฟปรารถนาก็กระพือโหมและลุกโชนขึ้นอีกครั้ง ต่อจากนี้นางคงต้องกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียงแน่แล้วกระมัง “ท่านพี่ข้าว่าเราบุกไปที่เรือนของเจ้ารองกันเถอะ ข้ารอมาสามวันแล้วนะ กระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่ได้เห็นหน้าลูกสะใภ้เลย” นั่นคือเสียงแว่ว ๆ ที่ดังออกมาจากจวนหลังใหญ่ของท่านผู้นำตระกูลหลง “ก็เขาฝากบอกมาแล้วว่าจะขอเวลาปั้นหลานน้อยให้ฮูหยิน เลี้ยงยังไงล่ะ อดทนอีกนิดแล้วกันนะ พี่ว่าฮูหยินเตรียมตัวจัดงานแต่งให้พวกเขาไม่ดีกว่าหรือ” “จริง ๆ นะท่านพี่ ไม่ใช่ว่านางจะแอบหนีไปก่อนหรอกนะเจ้าคะ” ถ้าหากหญิงสาวคนนั้นไม่ได้รักบุตรชายของนางล่ะ อาเทียนของนางจะเป็นอย่างไรล่ะทีนี้ “นี่เจ้าอย่าดูเบาความสามารถของเจ้ารองสิฮูหยิน” ขณะนั้นเอง... ตึก ๆ ๆ ผัวะ! เสียงเดินย่ำลงน้ำหนักพร้อมกับประตูที่เปิดออกอย่างแรง “ท่านพ่อ ท่านรู้หรือไม่ว่าน้องรองไม่ได้เข้าประชุมที่สำนักมาสองวันแล้ว ตั้งแต่งานประมูลข้าก็ไม่เห็นเขาเลย เกิดอะไรขึ้นกับหรือไม่ขอรับ ผู้อาวุโสหลายคนพากันสงสัยต่างก็คิดว่าน้องรองป่วยหรือไม่ ต่อให้เขาไม่ชอบงานในสำนักแต่เขาก็ไม่เคยขาดประชุมเลยสักครั้ง ท่านพ่อว่า.” เฟยหรงพูดยังไม่ทันจะจบก็ถูกบิดาขัดขึ้นเสียก่อน... “หยุดคิดเรื่องไม่ดี บอกผู้อาวุโสทั้งหลายไปว่าเรากำลังจะมีงานมงคลของแคว้นในเร็ววันนี้” “งานมงคลของผู้ใดขอรับ หรือว่า..ของน้องรอง จริงหรือท่านแม่..ท่านพ่อพูดเรื่องจริงหรือขอรับ” “แม่ก็ไม่มั่นใจแต่พ่อของเจ้าคงจะไม่โกหก” “โอ้..เจ้ารองกำลังจะแต่งเมียข้าจะมีน้องสะใภ้แล้ว อีกไม่นานเราก็จะมีหลาน ๆ เต็มวิ่งเล่นจวน หึ ๆ ๆ เช่นนั้นข้าไม่รบกวนพวกท่านแล้ว ส่วนน้องรองไม่เข้าประชุมก็ไม่เป็นไรจะหยุดอีกสักกี่วันข้าจะไม่บ่นแล้ว อ๊ะ..เรื่องนี้ต้องบอกต่อถึงลู่เออร์..ลู่เออร์จะต้องไม่พลาดเรื่องนี้” คุณชายใหญ่มาไวไปไวเหลือเกินไม่ทันไรก็เขาหายวับไปต่อหน้าบิดามารดาเสียแล้ว... “ดูสิ...เขาช่างเทิดทูนเมียเสียนี่กระไร มีสิ่งใดที่เขาปิดบังเมียได้บ้างฮึ” “บุรุษตระกูลหลงก็เป็นเช่นนี้กันทุกคนนั่นแหละหรือฮูหยินว่าไม่จริง” “ก็จริงเจ้าค่ะ” หยางจีพยักหน้าตอบรับ ก็เป็นอย่างที่สามีนางว่านั่นล่ะ บุรุษตระกูลหลงไม่ว่าจะสายหลักหรือสายรองก็ไม่ต่างกัน พวกเขาช่างเป็นกลุ่มบุรุษที่รักเดียวใจเดียวจริง ๆ ตัวนางเองก็โชคดีเหลือเกินที่ได้มาเป็นสะใภ้ของตระกูลหลง... ที่เรือนวายุของคุณชายรอง... ศาลานั่งเล่นริมหน้าผาที่เงียบเหงาและโดดดี่ยว ที่แห่งนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นสถานที่ที่มีทิวทัศน์สวยงามที่สุดในหุบเขามังกรทีเดียว ถึงแม่ว่ามันจะสวยงามแต่ก็ไม่เคยมีแขกคนใดได้มาเยือนที่แห่งนี้เลย อย่าว่าแต่แขกเลย กระทั่งคนในครอบครัวของตระกูลหลงก็ไม่มีใครเคยได้มา เพราะเจ้าของสถานที่เขาเป็นคนขี้หวงและเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูงน่ะเอง แต่นับจากวันนี้ศาลาริมผาคงจะไม่เงียบเหงาอีกต่อไปแล้ว นับเป็นวันแรกที่ลี่หลินได้ออกมานอกเรือนพัก เจ้าของเรือนได้พานางมานั่งเล่นที่ศาลาริมหน้าผา เอ๊ะ! เป็นนางต่างหากล่ะที่นั่งคนเดียวส่วนเทียนหรงน่ะหรือ เขาก็กำลังหลับไงโดยใช้ตักของนางหนุนต่างหมอน มือก็กอดรอบเอวของนางเอาไว้ยังกับกลัวว่านางจะหนีหายไปอย่างนั้นแหละ ลี่หลินนั่งมองหน้าบุรุษผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีทางพฤตินัยของนางสลับกับมองม่านสีขาวโปร่งที่ปลิวไสวไปตามแรงลม พลางคิดไปเรื่อยเปื่อย มันคงจะโรแมนติกกว่านี้ถ้านางกับเขาเป็นคู่รักกัน คิก ๆ คิดไปคิดมาอดขำตัวเองไม่ได้ที่เผลอใช้คำของโลกเดิมอีกแล้ว ก็นางไม่รู้ว่าจะใช้คำแบบไหนถึงจะเหมาะสมกับบรรยากาศเช่นนี้นี่นา ลมพัดเอื่อย ๆ ทั้งวันช่างเหมาะกับชื่อของเรือนวายุจริง ๆ นางมาที่นี่ยังไม่ถึงเดือนเลยนะหากนับเวลาข้างนอกมิตินั่น ช่างใจง่ายเสียจริงลี่หลินเอ๊ย แต่ช่างปะไรนางเผลอใจรักเขาเข้าแล้วนี่ และครั้งนี้นางก็มีสติและเต็มใจอย่างยิ่ง ต่อให้ภายภาคหน้าจะเกิดอะไรขึ้นนางก็จะไม่มีวันเสียใจ นางจะยอมรับสภาพของตัวเองอย่างเต็มใจและจะไม่ฟูมฟายเหมือนครั้งอดีตที่ผ่านมาอย่างแน่นอน “อืออ..อาหลินเจ้าเบื่อพี่หรือไม่” ‘อ้าว! ที่แท้เขาไม่ได้หลับหรอกหรือ’ “ข้ามีท่าทีเบื่อหน่ายท่านหรืออย่างไรถึงได้ถามออกมาเช่นนี้ เป็นข้าต่างหากที่กลัวว่าท่านจะเบื่อในตัวข้ามากกว่า” “พี่ไม่มีวันเบื่อเจ้าไม่มีวันนั้นแน่นอน แต่งงานกับพี่นะอาหลินชีวิตนี้พี่จะมีเพียงเจ้า คนตระกูลหลงมีภรรยาเดียวทุกคน มีแค่หนึ่งไม่มีสอง เจ้าไม่ต้องกลัวว่าพี่จะมีคนอื่นให้ช้ำใจ” “แต่ข้าไม่มีครอบครัวเลยนะ ข้าตัวคนเดียวไม่มีตระกูลหนุนหลังเช่นคนอื่น มันจะทำให้ท่านขายหน้า” “อาหลินเจ้าคิดว่าพี่สนหรือ ตระกูลหลงยิ่งใหญ่แค่ไหนเจ้าน่าจะรู้ ไม่จำเป็นที่จะต้องมีใครมาหนุนหลังฝั่งภรรยา พรุ่งนี้พี่จะพาเจ้าไปพบท่านพ่อกับท่านแม่ จากนั้นก็หารือเรื่องแต่งงานของเราก่อนที่ท้องของเจ้าจะโต” “คิก ๆ ท่านพูดอะไรน่ะท้องของข้าไม่โตไวปานนั้นหรอกอีกเดือนสองเดือนก็ใช่ว่าจะโตและเราก็ยังไม่รู้ว่านางจะมาไหม” “ต่อให้ยังไม่โตก็ต้องแต่งเข้าใจหรือไม่อาหลิน ถ้าลูกสาวของเรายังไม่มาพี่ก็จะพยายามให้มากขึ้นเพื่อนางจะได้มาเกิดไว ๆ” “อืม..ข้าเข้าใจแล้ว” คงจะถึงเวลาแล้วกระมังที่นางจะต้องบอกทุกอย่างกับเขา “อาเทียน” “หืมม” “ข้ามีแซ่ว่า...ไป๋ ไป๋ลี่หลิน” “หือ..อาหลินพูดใหม่สิ” ความจริงเขาก็ได้ยินที่นางบอกแค่ยากจะได้ยินอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ “ไป๋ลี่หลินยังไงล่ะได้ยินชัดหรือยัง” “เจ้ากับไป๋จวินเป็น…” “แค่ศิษย์พี่กับศิษย์น้อง” “ศิษย์พี่ศิษย์น้องเช่นนั้นหรือ ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ต้องรู้สิว่าเสี่ยวจวินอยู่ที่ไหน” “ข้าไม่รู้หรอกว่าศิษย์พี่อยู่ที่ใด แต่ท่านมีหยกสื่อสารแล้วนี่ทำไมไม่ถามเขาเองล่ะ” “เจ้าหมายถึงหยกที่เจ้าฝากไว้ให้พี่น่ะหรือ” ที่แท้มันคือหยกสื่อสารหรอกหรือนี่ หึ ๆ แล้วข้าเอาส่วนไหนคิดว่ามันเป็นของแทนใจกัน น่าขายหน้าจริง ๆ นะเทียนหรงเอ๋ย “ใช่..อันนั้นแหละ แค่ส่งพลังปรานลงไปนิดหน่อยคงจะใช้ได้แล้วกระมัง” “เจ้ารู้ว่ามันทำงานอย่างไรแต่ไม่ยอมบอกพี่ เจ้าจงใจกลั่นแกล้งพี่ใช่ไหม ช่างร้ายนักนะไป๋ลี่หลิน แล้วเรื่องที่เจ้าเป็นเจ้าของหอประมูลร่วมกับพี่ ทำไมเจ้าถึงไม่ยอมแสดงตัวตั้งแต่แรกเล่า” “ข้าเข้าใจว่าหอประมูลเป็นของศิษย์พี่จวินที่เป็นเจ้าของร่วมกับท่าน และข้าเป็นแค่ผู้สืบทอด” “แต่ก่อนมันมีชื่อว่าหอประมูล ไป๋ ชื่อผู้ครอบครองก็คือไป๋ลี่หลินเพียงผู้เดียว เสี่ยวจวินแค่ดูแลเอาไว้ให้เท่านั้น ตอนหลังมีพี่ร่วมลงทุนด้วย ถึงได้เปลี่ยนเป็นหอประมูลไป๋หลงตั้งแต่นั้นมา” “อ้อ...เป็นเช่นนี้นี่เอง” ลี่หลินพึมพำเบา ๆ แต่เอาจริงนางก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีกับเรื่องของไป๋ลี่หลินคนที่นางมาสวมรอยและสวมสิทธิ์แทนอยู่ตอนนี้ ไป๋จวินก็อีกคนช่างลึกลับยิ่งนัก เหมือนเขาจัดเตรียมทุกอย่างเอาไว้ให้นางตั้งแต่ต้น หรือว่าไม่ใช่เขาแต่เป็นใครสักคนที่อยู่เบื้องหลังของเรื่องนี้ คิดไปนางก็เริ่มฟุ้งว่านเพราะหาคำตอบไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องหยุดคิดและดึงสติของตัวเองกลับมา “เอ่อ..อาเทียน หากท่านจะใช้หยกสื่อสารห้ามใช้ตอนที่ข้าอยู่ด้วยนะ” “ทำไมหรือ” “ก็ข้าอายศิษย์พี่น่ะ เขาจะหาว่าข้าใจง่ายน่ะสิ” “ไยต้องอายด้วยเล่า พี่มั่นใจว่าเสี่ยวจวินจะต้องยินดีที่เห็นเราอยู่ด้วยกัน” “จะอย่างไรข้าก็อาย ห้ามท่านคุยกับเขาต่อหน้าข้าเชียว” นางเริ่มออกคำสั่ง ทำให้เทียนหรงขบขันพลางคิดไปถึงอนาคตของตัวเองที่ไม่น่าจะต่างจากบิดาและพี่ชายสักเท่าไหร่
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD