ร่างเล็กร่างหนึ่งราวกับร่างกายเด็กกำลังนอนหมอบไปกับทางที่ขรุขระของถ้ำ ร่างนั้นออกแรงไต่ไปตามพื้นที่เย็นจัดโดยการใช้มือนำไปตามช่องทางแสนแคบที่มีขนาดพอดีกับลำตัว ด้วยต้องการมุ่งหน้าเข้าไปยังที่ภายในให้ได้
เพียงหูแว่วยินเสียงน้ำไหล พลันแววตาของร่างนั้นก็ทอแสงเจิดจ้ามากยิ่งขึ้น
ร่างนั้นเข้ามาในถ้ำแห่งนี้ก็เพื่อหา ‘ต้นโม่วยี’
ต้นนี้นานถึงร้อยปีจึงจะโต แล้วยังไปโตในที่ที่คนร่างกายปกติเข้าไปไม่ถึงอีกด้วย หากต้นนี้โตที่ใด ในนั้นจะอุ่นจัดไม่ถึงกับร้อน และจะมีกลิ่นของดอกโม่วยีโชยออกมาอ่อนๆ
ท่านผู้เฒ่าของโรงหมอชี้มือเข้ามาในนี้ เสียงชราพึมพำว่าตนฝันเห็นต้นไม้นั่นโตแล้วที่ในถ้ำ ทั้งยังชี้เข้ามายังที่นี่ บอกว่าต้นโม่วยีโตขึ้นในถ้ำแห่งนี้แล้ว
วันนั้นทั้งวันโรงหมอต่างพากันวุ่นวาย ต้นโม่วยีคือต้นสมุนไพรที่หายากมาก หากที่โรงหมอแห่งนี้มี ไม่อยากคาดคิดว่าต้องร่ำรวยใช้หนี้สินที่ไม่กู้ยืมมาได้หมดสิ้น ทั้งยังเหลือพอจะจับจ่ายได้อีกด้วย
แต่แล้วกลับไม่มีใครเข้ามาได้ นั่นก็เพราะขนาดของทางเข้านั้นเล็กเท่าตัวเด็กอายุไม่เกินสิบปีเท่านั้น จะใช้เด็กให้ไต่เข้ามาเด็ดต้นโม่วยี เสียงส่วนใหญ่ในโรงหมอก็เกรงว่าจะเอาชีวิตไม่รอดจนนำต้นโม่วยีออกไปได้
มี่ฮวนที่มีขนาดตัวไม่ต่างจากเด็ก ทั้งๆ ที่นางอายุย่างเข้าสิบหกปีแล้วจึงอาสาเข้ามาเด็ดต้นโม่วยีออกไปด้วยตัวของนางเอง
อันที่จริงที่นางขออาสาก็เพราะนางทำผิดต่ออาจารย์เรื่องหนึ่งคือนางเสนอหน้าไปเก็บต้นฉิวฉ่งที่ตีนเขาแต่แล้วกลับเก็บมาตอนที่มันยังใช้กินไม่ได้ นางหอบมันมาเต็มสองแขนเลย และที่แย่จนน่าโดนด่าไปกว่านั้นก็คือนางเด็ดเจ้าต้นฉิวฉ่งมาจนหมดป่า ไม่มีให้เหลือโตอีกเลย นางจึงอยากเอาหน้า ด้วยการอาสามุดเข้าไปเด็ดเจ้าต้นโม่วยีที่ว่านั่น
จากที่ถูกใครต่อใครตราหน้าว่าไร้ค่าที่สุดในโรงหมอ อีกทั้งยังสมองทึบ โง่เง่า ร่างกายก็ยังแคระแกร็นเหมือนเด็ก นางจึงอยากเป็นคนสำคัญของโรงหมอ นางอยากเป็นคนที่ใครๆ ต่างพากันกล่าวเยินยอบ้างนี่นา
‘ในถ้ำนั่นใช่ว่ามีแต่สิ่งน่ากลัวเต็มไปหมดไม่ใช่หรือไร’
ศิษย์พี่คนหนึ่งในโรงหมอกล่าวท้วง
น่าบีบคอให้ตายนัก มาพูดอะไรตอนที่นางยกมืออาสาเข้ามาและอาจารย์ก็พยักหน้าตอบรับนางแล้วด้วย
เข้าไปได้แล้วก็ไม่ยาก เพราะท่านผู้เฒ่าได้กล่าวถึงต้นโม่วยีให้ฟังตามนี้
‘ต้นโม่วยีที่ร้อยปีจึงจะโต มีความสูงไม่เกินข้อเข่า ลำต้นของมันมีสีเหลืองเป็นปล้องอ้วน แม้โตในถ้ำที่มีแต่ความมืด แต่เมื่อไปถึงต้นของมันแล้ว จะมีแสงเรืองๆ ให้มองเห็น
ต้นนั่นที่ยอดจะมีเพียงใบเดียว มีดอกและผลอยู่ที่โคน กลิ่นของมันฉุนจัดนักเหมือนซากศพ หากเด็ดมันออกมาได้ กลิ่นก็จะจางหายไป’
นางยังไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงน้ำไหลเลยด้วยซ้ำ มี่ฮวนพยายามมุดเข้าไปอีก มุดเข้าไปจนขนาดของทางเข้าทำให้นางแทบจะลอดเข้าไปไม่ได้อยู่แล้ว แต่แล้วจู่ๆ กลับมีลมหอบใหญ่ดูดเอาตัวของนางเข้าไปในรูนั้น เนื้อตัวแขนขาของนางครูดไปกับช่องทางที่เป็นหินปนทราย จนรู้สึกแสบร้อนตามผิวไปหมด
แต่การบาดเจ็บเพียงเท่านี้ ไม่ได้ให้ทำให้คนอย่างมี่ฮวนรู้สึกเจ็บปวดแต่อย่างใด
มี่ฮวนเคยเจ็บมากกว่านี้
มี่ฮวนเคยเหน็บหนาวกว่านี้
มี่ฮวนเคยหิวมากกว่านี้หลายเท่าตัวมาแล้ว
เรื่องเพียงเท่านี้นับว่าเล็กน้อยมากนักสำหรับนาง
อา …
เลิกนึกถึงความเจ็บเหล่านั้นเถิด
มี่ฮวนหยุดแล้วเอียงหูฟังให้ชัด เมื่อเริ่มได้ยินเสียงน้ำไหล มี่ฮวนมีโสตประสาทที่ไวและดีมาก อาจารย์เคยชมนางเช่นนี้เสมอ แม้จะเป็นเรื่องเดียวที่นางถูกชมแต่นางก็ดีใจ
ภายในนั้นจะมืดสนิทก็ตามแต่หูของนางก็นำพานางไปยังเสียงน้ำไหลนั่น นางขยับตัวมุดเข้าไปมากเท่าใด เสียงน้ำไหลนั่นจะดังมากยิ่งขึ้น แม้จะอยู่ภายในนั้น ไม่มีแสง ไม่มีแดดส่อง แต่กลับไม่เย็นหนาวยะเยือกอย่างที่กังวล ภายในนั้นอบอุ่นราวกับข้างในมีเตาผิง
ขาเล็กจ้อยทว่าแข็งแรง พากายแคระแกร็นตรงไปตามทางที่ได้ยินเสียงของน้ำไหล
เมื่อเดินเข้าไปใกล้ นางก็ยิ่งได้ยินเสียงน้ำไหลดังมากยิ่งขึ้น
นี่นับว่านางมาถูกทางแล้วเป็นแน่
สายตาของนางมองหาแต่แสงสีเหลืองเรืองๆ รองๆ ลำต้นสูงเพียงเข่า มีใบบนยอดเพียงใบเดียว มีดอกและลูกที่โคนต้น
และแล้วสายตาของมี่ฮวนก็มองเห็นเงารางๆ ตรงนั้นใช่ว่ามีต้นอะไรที่มีแสงเรืองๆ ใช่หรือไม่
เช่นนั้นแล้ว นั่นไม่ใช่หรอกหรือ ต้นสมุนไพรยียีอะไรที่ว่านั่น
มี่ฮวนยิ้มกับตัวเองแล้วพึมพำเบาๆ ว่าช่างโชคดีเสียจริง หาไม่นานก็เจอ แบบนี้แล้วก็คงจะเด็ดมันแล้วหันกลับไปทางเดิมได้อย่างง่ายดาย
แต่แล้วกลับพบว่าที่ข้างต้นสมุนไพรที่นางต้องการต้นนั้นมีก้อนหินก้อนใหญ่สีดำก้อนหนึ่งตั้งอยู่
และมัน... มันขยับได้