ปลดปล่อยเขาจากโซ่ตรวนและยังถูกเขาล่วงเกินนางอีกด้วย
จ้าวหลิวเดินทั้งที่ตายังคงปิดอยู่ไปยังทิศทางของกลิ่น แล้วหยุดเท้าลงที่หน้าโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง เห็นว่าชายผู้หนึ่งกำลังโมโหอยู่กับของตรงหน้า ก็ตรงไปยังกลิ่นของสิ่งนั้นทันที มือใหญ่หยิบต้นหนึ่งขึ้นจ่อที่ปลายจมูกแล้วส่งเสียงแหบๆ ทว่าทรงอำนาจเอ่ยออกไป
“เจ้านี่คือ?”
ชายผู้ถูกหลอกขายของราคาแพงเห็นจ้าวหลิวก็นิ่งไป ก่อนคิดขึ้นได้ว่าหรือฟ้าจะส่งเหยื่อมาให้ตนได้เชือดอีกต่อหนึ่ง ว่าแล้วก็ย้ายมือมากุมตรงเป้า ค้อมตัวลงกล่าวเสียงสุภาพตอบกลับไปว่า
“นี่คือต้นฉิวฉ่งขอรับนายท่าน ใช้สำหรับกินป้องกันโรคลมหนาวขอรับ นายท่านสนใจรับทั้งหมดนี่เลยหรือไม่”
“ไปหามาจากที่ใด” เสียงแหบห้าวยังซักต่อ
ได้ยินคำถามเช่นนั้น พ่อค้าผู้นั้นก็หน้าแดงหน้าดำด้วยความโมโห เขาลืมตัวจนกล่าวตอบไปว่า “มีคนนำมาขายให้ข้า ที่จริงในตลาดก็มีอยู่หลายร้านเลยนะ แต่นี่ข้าเพิ่งถูกคนพวกนั้นหลอกขายมา คิดแล้วเจ็บใจนัก”
“เจ้าซื้อมาเท่าใด ข้าให้ราคาเจ้าเพิ่มอีกสิบเท่า”
“ตะ แต่ท่านเจ้าสำนักไม่เคยเป็นโรคลมหนาวเลยนะขอรับ จะ จะซื้อไป...” อู๋จี๋ท้วงนายไม่จบดีก็จำต้องปิดปากฉับ ยิ่งเห็นสายตาสั่งการของท่านเจ้าสำนักสั่งว่ามอบเงินให้ชายคนนั้นไป ก็จำต้องหยุดถามลงแต่เพียงเท่านั้น
บางทีท่านเจ้าสำนักอาจลองยาตัวอื่นเพื่อรักษาอาการนอนไม่หลับของท่านที่กำเริบขึ้นมาอย่างหนักในช่วงนี้ก็เป็นได้
จ้าวหลิวยกต้นสมุนไพรเหล่านั้นขึ้นดมอีกครั้ง
เขามิได้ต้องการกินต้นไม้นี่
เพียงแต่…เพียงแต่กลิ่นที่ติดมากับต้นนี้ ช่างเหมือนกับ…เหมือนผู้ที่ปลดปล่อยเขาออกมาจากต้นนรกที่ถูกกุมขังอย่างน่าตายที่ในถ้ำแห่งนั้น แม้ผ่านมาหลายปีแต่เขายังจำทุกสิ่งได้ราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นาน
จ้าวหลิวหันไปยังชายที่ขายต้นสมุนไพรนี้ให้เขา เอ่ยถามอีกคำ
“เจ้าบอกว่าถูกหลอกขายมา ใช่หรือไม่”
พอได้รับเงินก็สบายใจเอ่ยตอบจ้าวหลิวอย่างอารมณ์ดี “ใช่แล้วขอรับนายท่าน”
“ผู้ใดขายสิ่งนี้ให้เจ้า”
“เป็นเจ้าหนุ่มร่างสูง เห็นเดินหายไปทางนั้นขอรับ”
ชายที่คิดว่าตนฉลาดและจะกดราคาเอากับเด็กหนุ่มชี้มือไปยังตรอกข้างโรงเตี๊ยมที่เห็นเด็กนั่นเดินหายลับไป
จ้าวหลิวมองบ้านหลังเล็กซอมซ่อที่ถูกปิดเอาไว้ ยังคงพบว่ากลิ่นอายของคนที่ด้านในนั้น แต่ไม่พบคน และกลิ่นนั้นเอง กลิ่นนั้นที่ทำให้เขาตามมายังที่นี่ กลิ่นนั้นยังเจือจางอยู่บางๆ รอบๆ บ้าน
คนที่ขายต้นสมุนไพรนี่บอกว่าเป็นชายหนุ่ม และคนผู้นั้นเดินหายเข้ามาในตรอกนี้ เขาจึงตามเข้ามา แต่เมื่อมาถึงแล้วกลับพบเพียงบ้านว่างเปล่า
เหตุใดจึงเป็นชายหนุ่มไปได้
จ้าวหลิวคิดแล้วนิ่งไป
“จากไปแล้วหรือ”
เสียงถามอ้างว้างดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ เจ้าของบ้านเช่าที่ถูกตามตัวมาเพื่อสอบถามถึงคนที่เช่าบ้านหลังนี้ ถึงกับตัวสั่นงันงกไม่น้อย ก่อนจะพยักหน้างึกหงักตอบไปว่า “ใช่แล้วขอรับ”
อู๋จี๋ถลึงตาใส่เจ้าของบ้านว่าให้พูดต่อ เงียบอยู่ทำไม เจ้าของบ้านเช่าก็หดคอลงแล้วเอ่ยถึงผู้เช่าบ้านหลังนี้ด้วยเสียงสั่นๆ
“สองคนนั้นปกติจะเช่าอยู่ที่บ้านหลังนี้ พวกเขาเช่ามานานแล้วขอรับ แต่แล้วจู่ๆ ก็มาบอกว่าจะย้ายออก ข้าก็ไม่ได้ถามพวกเขาด้วยว่าจะย้ายไปที่ไหน”
สองคนเช่นนั้นหรือ
เหตุใดจึงมีสองคน
จ้าวหลิวครุ่นคิดเงียบๆ แต่มิได้ปริปากถามคำใดออกไป
อู๋จี๋เห็นว่าอย่างไรก็หมดความหมายแล้วจึงเอ่ยปากถามผู้เป็นนาย “พวกเราเดินทางกันต่อดีหรือไม่ขอรับ”
จ้าวหลิวหันกายเดินขึ้นไปยังเกี้ยวก่อนจะขึ้นนั่งเงียบๆ อู๋จี๋มองตามหลังไปพร้อมกล่าวพึมพำเบาๆ กับเฟยเทียน
“ข้าสงสารท่านเจ้าสำนักจริงๆ เลยนะ”
รอจังหวะอยู่เป็นนาน แต่ก็ยังไม่มีเสียงตอบกลับมาอย่างอยากรู้อยากเห็น ก็อดย่นหน้าใส่เจ้านั่นไม่ได้ ทำไมถึงไม่อยากรู้อยากเห็นเล่า อู๋จี๋มองอย่างรำคาญก่อนเอ่ยขึ้นอีกประโยค
“สงสารเรื่องใดน่ะหรือ ก็ที่ท่านเจ้าสำนักนอนไม่ค่อยหลับ หรือหากว่าหลับไปบางครั้งก็อาจก้าวเข้าสู่ห้วงความตายน่ะสิ”
อู๋จี๋ได้พูดแล้วก็ไม่หยุดง่ายๆ
“เช่นนั้นท่านเจ้าสำนักจึงต้องการยามารักษาอาการนอนไม่หลับ เมื่อหลับก็ยากที่จะตื่นขึ้นมา เจ้าว่าใช่เช่นนั้นหรือไม่เฟยเทียน”
เฟยเทียนกลับเอาแต่เงียบ มิเอ่ยคำใด องครักษ์หนุ่มเดินไปหยุดที่ข้างเกี้ยว รอคอยคำสั่งจากท่านเจ้าสำนัก เมื่อเห็นสัญญาณว่าจะออกเดินทางต่อก็พยักหน้าสั่งคนให้หามเกี้ยวออกเดินทาง
จ้าวหลิวกลับไม่มีท่าทีร้อนใจ เขาปิดตาลงพร้อมกับคิดไปว่าคราวนี้การเดินทางไม่นึกเบื่ออีกต่อไป เพราะระยะทางจากตรงนั้นกลับไปยังสำนักมารมีกลิ่นที่เขาจำได้แม่น โชยพัดเข้ามาให้ดมอยู่ตลอดทางนั่นเอง
มี่ฮวนและเจ้าลิ่วของนางมิใช่พึ่งย้ายหลักแหล่ง
ตั้งแต่ถูกไล่ออกมาจากโรงหมอ มี่ฮวนย้ายไปตรงนั้นตรงนี้มาแล้วหลายครั้ง หลังคลอดบุตรชาย นางได้ที่พักที่กินอยู่ช่วยงานทางนั้นไม่นานก็ถูกขับไล่อีกครั้ง นางก็ย้ายที่ต่อจากนั้นมาอีกเรื่อยๆ จนถึงวันนี้นับรวมเป็นจำนวนหกครั้งเห็นจะได้
นึกถึงอดีตที่ผ่านพ้นมาทีไร มี่ฮวนจะเสียดเสียวไปทั้งหัวใจของนางอยู่เรื่อย ความลำบากเป็นเช่นไร นางผ่านมาแล้วทั้งนั้น
ตอนที่ยังหาลู่ทางทำมาหากินมิได้ นางอดยากจนไม่มีข้าวจะกิน ตัวนางเอง นางไม่กลัวตายหรอก แต่เมื่อมีลูกติดมาด้วยแล้วนั้น นางห่วงลูกสุดหัวใจ มี่ฮวนไม่อยากให้ลูกต้องมาอดยาก ลำบากไปกับนางด้วย ยิ่งเห็นลูกหิว ยิ่งทรมานหัวใจคนเป็นแม่ยิ่งนัก
เมื่อมีโอกาสได้ค้าขาย ทำมาหากินจนได้กำไรมาบ้างแล้ว มี่ฮวนจึงกลายเป็นคนงกเงิน
ทีแรกนางนึกเสียดายเงินที่เอาไปซื้อรถลากคันนี้มาไว้ใช้ แต่เมื่อเห็นแล้วว่าได้ใช้งานมันจนคุ้มค่าเงิน ก็หายจากอาการเสียดายเงินในทันที
มี่ฮวนมองลูกแล้วเอ่ยถาม เมื่อเห็นใบหน้าอ่อนล้าของเจ้าลิ่ว
“เหนื่อยหรือไม่ หากเหนื่อยแล้ว แม่ว่าเราหยุดพักที่โรงเตี๊ยมข้างหน้าเถิด”