ตอนแรกจางหนิงคิดว่าการใช้ชีวิตวันนี้จะผ่านไปอย่างสบาย ๆ
แต่ช่วงสาย ๆ ก็มีนายทหารคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง เมื่อดูจากชุดและดาวบนบ่า หญิงสาวจึงเดาว่าเขาน่าจะอยู่ในตำแหน่งเดียวกับฉู่หยาง
“ผู้กองฉู่…วันนี้กลับมาทำงานแล้วรึ” เขากล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม
ฉู่หยางลุกขึ้นจากเก้าอี้ทำงานก่อนจะกล่าวทักทาย “ใช่แล้ว” หลังจากนั้นก็หันมาเรียกเธอ “ขอแนะนำให้ผู้กองหวังรู้จัก…นี่ภรรยาของผมเอง"
ดูเหมือนว่าคนทั้งสองค่อนข้างจะสนิทกันจางหนิงจึงมีท่าทีผ่อนคลาย เธอจึงกล่าวทักทาย และยิ้มให้อีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มที่คิดว่าอ่อนหวานมากที่สุด
“สวัสดีค่ะ”
ผู้กองหวังดูเป็นคนใจดี เขายิ้มให้เธออย่างสุภาพ “ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”
จากนั้นก็หันไปคุยกับฉู่หยาง “เรื่องที่คุณแต่งงาน ทำให้คนอื่น ๆ แตกตื่นกันไปหมดเลยทีเดียวล่ะ” เขาพูดพร้อมกับหัวเราะออกมา "ภรรยาของคุณสวยน่ารักมากมากขนาดนี้ มิน่าเล่าคุณถึงไม่พอใจลูกสาวของผู้พันหลิน”
เมื่อฟังจากข้อมูลที่พวกเขาคุยกันดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้ฉู่หยาง…เกือบถูกจับคู่กับลูกสาวของผู้พันหลินอย่างนั้นหรือ?
ผู้กองหวังหันมาพูดกับจางหนิงที่กำลังนั่งหน้านิ่งอยู่บนเก้าอี้ "คุณจางหนิงถ้ามีเวลาว่างก็สามารถไปพูดคุยกับภรรยาของผมได้นะครับ จะได้ทำความรู้จักกับภรรยาของทหารคนอื่น ๆ ด้วย”
“ได้ค่ะ” จางหนิงตอบรับ
หลังจากพูดคุยกันอีกสักพัก ผู้กองหวังก็ขอตัวกลับไปทำงานต่อ
เมื่อในห้องไม่มีคนจางหนิงก็ถามถึงสิ่งที่ตนเองสงสัย "มีคนแนะนำให้พี่หยางคบหากับผู้หญิงคนอื่นมากเลยเหรอคะ"
“ใช่”
“แล้ว…ทำไมพี่ถึงไม่เลือกพวกเธอล่ะค่ะ หรือว่ามีคนอื่นอยู่ในใจอยู่แล้ว”
“ไม่มี" ฉู่หยางพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “พี่จะทำงานต่อแล้ว…เธอกลับไปอ่านหนังสือเถอะ”
จางหนิงเห็นอีกฝ่ายก้มหน้าลงไปกับแฟ้มเอกสารอีกครั้ง เธอจึงกลับไปนั่งที่เก้าอี้ของตนเอง
หลังจากทำงานไปสักพักก็ถึงเวลากินอาหารเที่ยง ฉู่หยางวางมือจากเอกสารบนโต๊ะแล้วหันมาพูดกับคนตัวเล็กกว่า "ไปกินข้าวเที่ยงที่โรงอาหารกันเถอะ"
จางหนิงพยักหน้าก่อนจะรีบพูดขึ้นว่า "หลังจากกินข้าวเที่ยง ฉันขอกลับบ้านก่อนนะคะ”
ฉู่หยางคิดแล้วก็พยักหน้าเห็นด้วย “ถ้าอย่างนั้นเราก็ไปซื้อข้าวที่โรงอาหารแล้วก็กลับไปกินกันที่บ้านเถอะ”
คนทั้งสองเดินเคียงคู่กันไปที่โรงอาหาร การกระทำในของพวกเขาเป็นการยืนยันว่าตอนนี้ข่าวลือเรื่องที่ผู้กองฉู่แต่งภรรยาแล้วนั้นเป็นความจริง
ในระหว่างกลับบ้าน หญิงสาวแวะซื้อของที่สหกรณ์และเห็นว่ามีอาหารทะเลมาขายเป็นจำนวนมาก เธอเลือกซื้อหอยและกุ้งขนาดใหญ่มาจำนวนสองชั่ง และซื้อกุ้งขนาดเล็กกลับมาเกือบสิบชั่งเพื่อเอามาทำเป็นกุ้งแห้ง
หลังจากแต่งงานฉู่หยางมอบเงินให้เธอไว้ใช้จ่ายในบ้านเป็นจำนวนห้าสิบหยวน หญิงสาวจึงไม่ได้มีความเป็นอยู่ยากลำบากในการกินแต่อย่างใด
ฉู่หยางช่วยเธอหิ้วสิ่งของต่าง ๆ มาที่บ้าน หลังจากกินข้าวด้วยกันเขาก็กลับไปทำงานตามเดิม
……
หลังจากเลิกงาน ชายหนุ่มก็รีบกลับมาทันที แต่เมื่อเดินเข้าไปที่ในบ้านไม่เพียงแต่ได้กลิ่นหอมของอาหารเท่านั้น เขายังเห็นว่าบริเวณสนามยังมีกุ้งตากแห้งวางอยู่บนแผงไม้ไผ่อยู่ไปหมด
เขาเดินไปที่ห้องครัวและเห็นว่าจางหนิงกำลังผัดบะหมี่อยู่ในกระทะ ด้านข้างยังมีกุ้งที่อบเกลือวางอยู่บนโต๊ะ และนอกจากเธอแล้วยังมีเด็กชายอายุราวเจ็ดขวบยืนอยู่ ใกล้ ๆ "พี่สาวทั้งสวยแล้วก็ทำอาหารได้หอมน่าอร่อยมากเลยครับ"
จางหนิงหัวเราะออกมาเสียงดัง ก่อนจะหันไปเห็นฉู่หยางที่หน้าประตูห้องครัว " ลูกชายของผู้กองหวัง เขาช่างปากหวานจริง ๆ แต่หนูควรเรียกฉันว่าอาสะใภ้นะไม่ใช่พี่สาว"
"ใช่แล้วล่ะ…หวังฉี ต่อไปหนูต้องเรียกให้ถูก” ฉู่หยางบอกกับเด็กน้อย
จางหนิงหยิบชามใบเล็กใส่ผัดบะหมี่และกุ้งอบเกลือส่งให้เขา "หนูเอากลับไปกินที่บ้านนะ"
"ขอบคุณครับอาสะใภ้” หลังจากกล่าวขอบคุณ หวังฉีก็ยกชามขึ้นมาอย่างระมัดระวังแล้วเดินออกไปจากบ้าน
อาหารเย็นวันนี้อร่อยมาก ฉู่หยางกินเข้าไปมากกว่าปกติถึงสองชาม
ในขณะที่เขากำลังล้างจานหน้าบ้านก็มีผู้หญิงคนหนึ่งจูงมือหวังฉีเดินเข้ามาที่บริเวณสนามหน้าบ้าน เธอคือพี่สะใภ้หวังซึ่งเป็นแม่ของหวังฉีนั่นเอง
ฉู่หยางจึงเรียกจางหนิงออกมาและแนะนำคนทั้งสองให้รู้จักกัน
"นี่เป็นของเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่พี่เอามาให้ เจ้าเด็กซนคนนี้มารบกวนเธอพี่เกรงใจจริง ๆ” พี่สะใภ้หวังส่งตะกร้าในมือซึ่งมีหัวไชเท้า กระเทียม ผักใบเขียว และไข่แปดฟอง “ในสหกรณ์ไม่ค่อยมีผักสดขาย…ถ้าเธออยากได้ผักก็มาเก็บได้ที่แปลงผักในบ้านของพี่เลยนะ”
"ขอบคุณพี่สะใภ้หวังมากเลยค่ะ” จางหนิงกล่าวขอบคุณด้วยรอยยิ้ม “ความจริงฉันก็อยากจะปลูกผักที่สวนข้างบ้านเหมือนกันถ้าพี่พอจะมีเมล็ดพันธุ์แบ่งให้ก็จะดีมากเลยล่ะค่ะ”
“ได้สิ วันไหนที่เธอว่างก็แวะมาที่บ้านเธอจะได้เลือกว่าอยากได้เมล็ดพันธุ์ของผักชนิดไหน”
จางหนิงกล่าวขอบคุณอีกครั้ง หลังจากนั่นพี่สะใภ้หวังก็พาลูกชายกลับบ้าน
…..
วันต่อมาจางหนิงไม่อยากวิ่งด้วยระยะทางไกล ๆ เธอจึงชวนอีกฝ่ายขึ้นไปบนภูเขาแทน
“ได้สิ…การเดินขึ้นเขาก็เหมือนกับการออกกำลังกายเหมือนกัน” ฉู่หยางเห็นด้วยและพาเธอเดินไปบนภูเขาที่อยู่ไม่ไกลจากบ้าน
ภูเขาลูกนี้ค่อนข้างโล่งไม่มีสัตว์ป่า หรือว่าสัตว์มีพิษมากนัก และพวกทหารส่วนใหญ่ก็มักจะมาวิ่งออกกำลังกายบ่อย ๆ เหมือนกัน
จางหนิงถือตะกร้ามาด้วยเพราะได้ยินมาว่าช่วงนี้เห็ดบนเขาขึ้นอย่างชุกชุม เธอเลือกเก็บเห็ดหอมดอกใหญ่ ๆ มาได้เกือบครึ่งตะกร้า และบังเอิญเจอต้นหยางเหมย (เบย์เบอร์รีจีน) ที่กำลังออกลูกเป็นสีแดงเต็มต้น
จางหนิงเลือกเก็บลูกหยางเหมยที่สุกแล้วใส่ลงในตะกร้า แต่เธอเดินไม่ทันระวังจึงสะดุดพื้นดินที่ไม่เสมอกันและล้มลง โชคดีที่...ฉู่หยางคอยระวังอยู่แล้วจึงประคองเธอไม่ให้หน้าคว่ำลงกับพื้น
“เจ็บตรงไหนหรือเปล่า” ฉู่หยางมองสำรวจอีกฝ่ายขึ้นลง
จางหนิงไม่ได้เป็นอะไรแต่เธอก็รีบบอก เขาไปอีกอย่าง "เหมือนจะเจ็บขานิดหน่อยค่ะ!"
ฉู่หยางถอนหายใจแต่สุดท้ายก็ย่อตัวลงและให้เธอปีนขึ้นไปบนหลัง
หญิงสาวรีบฉวยโอกาสนี้ไว้ทันทีหลังจากแนบตัวลงบนแผ่นหลังของเขาเธอก็ใช้สองแขนเกี่ยวรอบคอของอีกฝ่ายเอาไว้
ฉู่หยางเคยแบกแค่เพื่อนทหาร แต่เมื่อมีผู้หญิงตัวเล็กร่างกายอบอุ่นและอ่อนนุ่มสัมผัสที่แผ่นหลังของเขา บวกกับกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากตัวเธอยังลอยเข้าจมูกของเขา ชายหนุ่มก็ตัวแข็งทื่อในทันที!
คนตัวสูงเริ่มเสียใจภายหลัง ดูเหมือนว่าการที่เขาแบกเธอไว้บนหลังเช่นนี้ ช่างเป็นการทรมานตนเองเหลือเกิน แต่เขาก็ไม่สามารถโยนอีกฝ่ายลงพื้นไปได้!
“มีอะไรหรือเปล่าคะ” จางหนิงโน้มหน้าไปพูดใกล้ ๆ กับใบหูของเขา
การกระทำนี้ทำให้ใบหน้าของเธอสัมผัสกับหลังคอของชายหนุ่มและลมหายใจร้อน ๆ ของเธอก็สัมผัสใบหูของเขาเช่นกัน
"ไม่มีอะไร" ฉู่หยางรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั่วทั้งใบหน้า ใบหูของเขาในเวลานี้ก็ชาหนึบเหมือนมีกระแสไฟแล่นผ่าน ชายหนุ่มพยายามสูดลมหายใจเข้าลึกและควบคุมสติของตนเอง
มือหนาเอื้อมจับต้นขานุ่มนิ่มเอาไว้แน่นก่อนที่จะแบกเธอก้าวเดินไปข้างหน้า
เมื่อกลับถึงบ้านฉู่หยางก็วางเธอลงที่เก้าอี้ “พี่จะไปวิ่งออกกำลังกายต่อ เธอกินข้าวเลยไม่ต้องรอนะ” พูดจบเขาก็รีบเดินออกไปทันที
จางหนิงได้แต่มองตามด้วยสายตาชื่นชม ‘พี่หยางแบกเธอมาตั้งไกลแต่ยังมีแรงที่จะไปออกกำลังกายอีก ร่างกายของเขาช่างแข็งแรงจริง ๆ!’