อานนท์จูงมือปรางทิพย์กลับเข้าไปนั่งที่ห้องนั่งเล่น พาไปนั่งที่โซฟาตัวใหญ่ ส่วนเขานั่งอยู่ข้างๆเธอไม่ยอมปล่อยมือ
“มา....อยากรู้อะไรเกี่ยวกับพี่ ถามมาเลย วันนี้เปิดให้ซักฟอกได้ทั้งวันครับ”
“ก่อนหน้าที่จะมาทำตัวใกล้ชิดกับปราง พี่มีใครมาก่อนไหมคะ เคยมีคนรักไหม ผู้หญิงที่ชอบต้องเป็นแบบไหน”
อานนท์หัวเราะเสียงดัง ถูกใจกับคำถาม เขารอมานานว่าเมื่อไหร่จะถามสักที เคยคิดในใจว่า ทำไมผู้หญิงคนนี้เย็นชาจังเลย
“หัวเราะทำไมคะ”
“เปล่าครับ ถึงไม่ถามพี่ก็จะเล่าให้ฟังทุกอย่างอยู่แล้ว”
“งั้นก็เล่ามาเลยค่ะ แล้วก็บอกมาด้วยนะคะว่า ทำไมถึงชอบปราง เพราะสวย หรือเพราะอะไร พูดมาให้หมดนะคะ”
“นี่อย่าไปยิ้มหวานแบบนี้ให้ใครนะครับ ยิ้มทีใจละลายเลย”
“พี่เคยมีแฟนมาสองคน คนแรกตั้งแต่สมัยเรียน คบกันมาสองปี เรียนจบก็แยกย้าย คนนี้ไม่เคยมีสัมพันธ์หรือสัญญาอะไรกัน เขาแต่งงานมีครอบครัวแล้ว
ส่วนคนที่สอง เมื่อครั้งพี่ไปทำงานที่ต่างประเทศ เขาไปเรียน เราใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันหนึ่งปี ต่างคนต่างยังเด็กสัญญากันว่าเขาเรียนจบเราจะกลับมาแต่งงานกันที่เมืองไทย แต่พอเรียนจบ กลับไปเจอฝรั่งที่รวยและหล่อมาก เราจากกันด้วยดี
พอเลิกกับสองคนนั้น พี่ก็ไม่เคยสนใจใครอีกเลย มีผู้หญิงพร้อมที่จะเข้ามาเยอะ แต่พี่ไม่ได้ชอบ เลยไม่อยากเสียเวลา รอคนที่ใช่ดีกว่า แต่ถ้าไม่เจอก็จะขออยู่คนเดียว จนมาเจอปราง แรกๆก็ได้แต่แอบมองนะ ไม่กล้า เคยได้ยินมาว่าปรางเป็นคนที่แข็งมาก ทุกครั้งที่มีโอกาสคุยกับอุสาวดี พี่จะต้องได้ยินเรื่องของปรางทุกครั้ง เริ่มซึมซับกับชื่อและนิสัยของปราง อยากรู้จัก นี่รู้ไหมว่าทุกครั้งที่ปรางไปส่งอุสาวดีที่โรงแรม พี่แอบดูทุกครั้งทั้งไปและกลับ เจอหน้าครั้งแรกที่ลานจอดรถ จำได้ไหม”
“จำได้ค่ะว่ามีผู้ชายตัวสูงๆขาวๆผ่านตาบ่อยๆ”
“แค่นั้นเองเหรอ โธ่...นี่ไม่สะดุดตาสะดุดใจอะไรเลยเหรอ”
“ก็ไม่นะคะ เพราะตอนนั้นปรางถือว่าใครก็ตามที่เป็นญาติกับปราโมทย์ ถือว่าอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน และจะไม่ดีด้วยแน่นอน “
“โห....เกลียดกันตั้งแต่ยังไม่เห็นหน้าเลยเหรอ”
“ใช่ค่ะ แต่ตอนนี้ไม่เกลียดแล้วนะคะ”
“ไม่เกลียดแล้วก็แสดงว่ารัก”
“ไม่รู้ค่ะว่ารักหรือเปล่า แต่เวลาไม่เห็นก็คิดถึง อยู่ใกล้ก็รู้สึกอบอุ่น พี่เป็นคนที่ทำให้ปรางมีสติใจเย็นลงมาก ทำให้รู้ว่าอย่าตัดสินคนที่เพิ่งพบเห็น จนกว่าจะได้พูดคุยกัน ทั้งที่เมื่อก่อนแม่เฝ้าพร่ำสอนปรางกับน้อง แต่ปรางดื้อ เสียใจนะคะที่ตัวเองดื้อ ไม่ค่อยเชื่อแม่เท่าไหร่”
“ดีใจจังเลย ยังไม่รักพี่ก็ไม่เป็นไรพี่รอได้ ส่วนเรื่องนิสัยปรางไม่ได้เป็นมาตั้งแต่กำเนิด อาจมีส่วนบ้าง แต่เพราะสภาพแวดล้อมและสังคม ทำให้ปรางต้องทำให้ตัวเองเข้มแข็ง การที่ไม่มีพ่อทำให้ปรางพยายามที่จะปกป้องแม่กับน้อง พี่เข้าใจ”
นิสัยที่ไม่ค่อยชอบยุ่งกับใคร โลกส่วนตัวสูง ไม่ชอบมีเพื่อนใหม่ อันนี้พี่ก็เข้าใจ เลยอยากให้หนูตัดสินใจแต่งงานกับพี่เร็วๆแล้วหนูก็ไม่ต้องทำงานข้างนอก แค่ดูคิวงานให้พี่ก็พอ ดูแลพี่คนเดียว มันเหมาะกับนิสัยของปราง อยู่บ้านดูแลพี่ดูแลพ่อกับแม่ ต่อไปเราก็มีลูกเป็นของตัวเอง หนูว่าดีไหม”
“นี่ไม่คิดว่าปรางจะเขินเลยเหรอคะ อะไรกัน พูดเอาแต่ตัวเอง มันเร็วไปไหม ขอเวลาอีกหน่อยนะคะ ยังห่วงตาก้อง”
“ไม่เป็นไร พี่ไม่เร่งแต่ขอแค่อย่านานนะ เรื่องอื่นหนูไม่ต้องห่วง พี่ดูแลหนูและครอบครัวได้ตลอดชาติเลย”
“ขอบคุณนะคะ ขอบคุณมากที่เข้าใจ”
“แบบนี้ต้องให้รางวัลพี่นะ”
“ให้รางวัลอะไรคะ ไม่เห็นต้องให้รางวัลเลย”
“อ้าว.....ก็รางวัลที่พี่ มีหนูคนเดียวไง ไม่คิดจะมีใครเลยนะ ต่อไปถ้าเราแต่งงานกันพี่ก็จะมีปรางคนเดียว ขออย่างเดียวหนูอย่าเกลียดพี่นะ ความไม่ดีพี่ก็เยอะ แต่ขอให้เราใจเย็นและมีสติก็พอ”
“มาค่ะ ขอกอดหน่อย แล้วก็ทำกับข้าวได้แล้ว ปรางหิวและหิวมาก เดี๋ยวจะโมโหหิวแล้วนะ”
อานนท์ลุกขึ้นยืนนิ่ง ปรางทิพย์เข้ามาสวมกอดเขาหลวมๆทำเอาใจฟู อยู่ๆก็ทำตัวไม่ถูก ปกติเขาแค่จับมือและลูบหัวของหญิงสาวบ้างเป็นบางครั้ง การแสดงออกของปรางทิพย์ครั้งนี้ทำให้เขามั่นใจมากยิ่งขึ้น
“ชื่นใจจังเลย ขอบคุณนะครับคนดี “อานนท์โน้มตัวลงมาจูบที่หน้าผากขาวมนของคนรักเบาๆ
“เดี๋ยวทำกับข้าวเสร็จแล้ว เรายกไปกินที่บ้านหนูนะ จะได้ให้แม่กับพยาบาลกินด้วย “
“ได้ค่ะ เดี๋ยวปรางไลน์บอกแม่ว่าไม่ต้องทำกับข้าวเยอะ”
บรรยากาศการทำอาหารเต็มไปด้วยความสุข สองคนชอบเหมือนกันหลายอย่าง ทั้งอาหารและนิสัยส่วนตัว การได้พูดคุยกันอย่างเปิดใจ ทำให้หลายสิ่งหลายอย่างดูง่ายและดีงามสำหรับทั้งคู่
>>
ห้าทุ่มแล้วภายในห้องนอนหรูหรา เดิมเตียงขนาดหกฟุตวางอยู่กลางห้อง แต่วันนี้ได้ถูกขยับไปไว้ติดผนัง เพื่อกันที่ไว้สำหรับเตียงเด็กขนาดใหญ่พร้อมที่กั้นที่จะมาส่งพรุ่งนี้ ปลายเตียงมีตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่เช่นกัน ภายในบรรจุชุดของเด็กชาย ไว้หลากหลายแบบ ถัดไปเป็นตู้สำหรับวางของใช้เด็ก ทุกอย่างจัดไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย อีกสองวัน ช่างจะเข้ามากั้นห้องสำหรับเด็กเพิ่ม ทุกอย่างเป็นความต้องการของมารตีทั้งหมด คุณดารารายและปราโมทย์ไม่ขัด
“มารตี พอได้แล้วมั้ง ดึกแล้วนอนเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยจัดใหม่ ตาก้องยังไม่ได้มาวันนี้พรุ่งนี้หรอก”
“แต่มารตีมีลางสังหรณ์นะคะว่า ตาก้องต้องได้มาหลังจากที่กั้นห้องเสร็จ”
“แน่ใจขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ใช่ค่ะ แน่ใจมาก”
“งั้นก็ตามใจ แต่อย่าหมกมุ่นนักนะ เตรียมใจไว้บ้าง เผื่อยายกับป้าเขาเปลี่ยนใจ”
“จริงๆแล้ว ปรางทิพย์เป็นคนที่จิตใจดีนะคะ แค่อย่าไปทำให้เขาเสียใจหรือไปเอาเปรียบเขาก็พอ”
“เห็นจะจริงอย่างที่มารตีว่า พี่น้องนิสัยไม่เหมือนกันเลย ผมรู้สึกผิดมาก”ปราโมทย์เสียงเครือ
“อะไรที่มันผ่านมาแล้วก็ให้มันผ่านไปเถอะค่ะ แค่รู้ว่าทำผิดและสำนึกก็ดีแล้ว เรากลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ ทำปัจจุบันให้ดี และอย่ากลับไปทำอีกก็แล้วกัน”
“เข็ดแล้ว ไม่เอาแล้วชีวิตที่เหลือผมจะอยู่ดูแลคุณแม่ดูแลคุณและลูกให้ดีที่สุด และยอมรับกรรมที่เคยทำ ไม่ว่าจะมาในรูปแบบไหนก็ตาม”
ปราโมทย์ปล่อยให้มารตีพับผ้าจัดโน้นนี่ไป ต่างคนต่างเงียบ เขานอนบนเตียงมองไปที่ภรรยานิ่งๆสงสารมารตี เพราะความเห็นแก่ตัวของเขาที่อยากมีลูก ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ บาปกรรมที่เขาทำกับอุสาวดีและมารตี ทำให้ผู้หญิงสองคนทุกข์ทรมาน รับไม่ได้กับการกระทำของตัวเอง ผู้หญิงคนหนึ่งต้องมาจบชีวิตลงเพราะเขา
มารตีรับได้ทุกการกระทำของเขา ต่างกับอุสาวดีรับไม่ได้ กลับกันถ้าเขาเป็นอุสาวดีหรือมารตี เขาก็รับไม่ได้เหมือนกัน คนเราพื้นฐานจิตใจและความเข้มแข็งไม่เหมือนกันเลยจริงๆ
จากก่อนหน้าที่อุสาวดียังอยู่เขาต้องการลูกมาเลี้ยงเองมาก แต่เวลานี้เขาไม่หวังว่าแม่ยายกับปรางทิพย์จะยอมให้ตาก้องมาเลี้ยงง่ายๆ และไม่คิดว่าจะฟ้องร้องเอาลูกคืน ละอายใจในการกระทำของตัวเอง ความผิดครั้งนี้จะเป็นตราบาปติดตัวติดใจเขาไปจนตาย
มารตียังคงตั้งใจพับผ้าอ้อมเด็กต่อ จัดโน้นนี่อย่างมีความสุข นึกถึงเรื่องเมื่อคืน เธอแน่ใจว่าไม่ได้ฝันแน่นอน อุสาวดีมาหาเธอ มาจริงๆ เมื่อคืนวาน หลังกินข้าวเย็น เดินออกกำลังสักพัก หญิงสาวรู้สึกว่าง่วงเร็วกว่าทุกวัน เลยขอตัวขึ้นห้องอาบน้ำนอนก่อน ปล่อยให้แม่กับลูกคุยกันอยู่ข้างล่าง สามทุ่ม จำได้ว่าพอขึ้นเตียง ล้มตัวลงนอน เธอก็หลับสนิททันที
มารตีรู้สึกแปลกใจที่อยู่ตัวเองแต่งตัวสวย กำลังเดินเข้าไปในสวนดอกไม้ ทางเดินเป็นดินแข็งๆสองข้างทางซ้ายขวา เต็มไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ออกดอกสวยส่งกลิ่นหอม รอบข้างและด้านหน้า นอกจากจะมีดอกไม้แล้ว หมอกสีขาวลอยวนอยู่รอบๆตัวเธอและบริเวณนั้น ด้านหน้าหมอกหนาทึบ รู้สึกว่าตัวเองเหมือนเจ้าหญิง ไม่รู้ว่าตัวเองจะไปไหน รู้แค่ว่าต้องเดินตามทางปูนเล็กๆไปข้างหน้า
อยู่ๆก็มีผู้หญิงสวยมากคนหนึ่งเดินออกมาจากกลุ่มหมอกสีขาวตรงหน้าเธอ อุสาวดี เธอยอมรับว่าอุสาวดีสวยมาก ไม่ค่อยเคยเห็นใครสวยธรรมชาติแบบนี้ เพราะปัจจุบันผู้หญิงส่วนใหญ่จะนิยมทำศัลยกรรม แต่สำหรับอุสาวดี ดูก็รู้ว่าไม่เคยทำศัลยกรรมอะไรเลย สวยธรรมชาติ
“อุสาวดี เธอมาทำอะไรที่นี่ บ้านเธออยู่ในนั้นเหรอ ทำไมหมอกเยอะจังเลย”
“ใช่ บ้านฉันอยู่ข้างใน อยากให้เธอมาหา ขอบใจนะที่มาจนได้ ฉันมีเรื่องจะขอร้อง”
“อุสาวดี ฉันขอโทษกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้เธอเจ็บปวด และเสียใจ รู้ไว้นะว่าฉันเองก็เสียใจมาก”
“ฉันรู้แล้ว ฉันไม่โกรธใครทั้งนั้น ตอนนี้ฉันห่วงลูก เธอรับปากไหมว่าจะเลี้ยงดูเขาเหมือนเป็นลูกของตัวเอง ฉันรู้ว่าเธอรักตาก้อง แต่ฉันอยากมาถามเธอเพื่อความแน่ใจ “
“ไม่ต้องห่วงนะ ฉันรักตาก้องเหมือนเขาเป็นลูกของฉัน เธอก็รู้ว่าฉันไม่มีลูก ทั้งที่อยากมีแทบตาย ฉันคงไม่มีบุญวาสนาจะได้ตั้งท้องลูกของตัวเอง ฉันสัญญาว่าจะดูแลตาก้องให้เหมือนลูกแท้ๆ แต่เธอห้ามมาทวงคืนล่ะกัน “
“ไม่หรอก ฉันรู้ว่าเธอพูดออกมาจากใจจริง และฉันเชื่อ ถึงแม้ว่าเธอจะมีลูกเป็นของตัวเอง ฉันก็ยังเชื่อว่าเธอจะรักตาก้อง ฉันขอให้เธอมีลูกสาวนะตาก้องจะได้มีน้อง “
“ไม่มีวันหรอกอุสาวดี ฉันพยายามมาหลายครั้งหลายอย่าง เธออย่ามาปลอบใจฉันเลย”
“ขอให้เชื่อว่ามี หมดเวลาของฉันแล้ว ฉันมาลา ฝากก้องภพด้วยนะ มารตี “
“เธอจะไปไหนอุสาวดี เดี๋ยวก่อนมาคุยกันก่อน ยังไงลาไปไหน แล้วจะเชื่อได้ยังไงว่าฉันจะมีลูกสาว”
มารตีตกใจตื่นลืมตามาเจอปราโมทย์ ทำหน้าตาตกใจ ตีสามปราโมทย์บอกกับเธอว่า เธอนอนละเมอ ได้ยินเธอพร่ำพูดว่าลูกสาว ลูกสาว ร้องเสียงดัง เหมือนเรียกใครอีกคน แต่ฟังไม่ถนัดเธอก็สะดุ้งตื่นก่อน เพราะปราโมทย์มาเขย่าที่แขนอย่างแรง คนข้างๆหลับไปแล้ว ส่วนเธอลุกขึ้นมาจดทุกอย่างที่อยู่ในความฝันไว้ในสมุด ใจเต้นโครมคราม เธอจำได้ทุกคำพูดที่ได้พูดกับอุสาวดีในความฝัน และเพราะความฝันในคืนน้้น ทำให้เธอลุกขึ้นมาจัดห้องรอก้องภพ