‘เกว เฮ้ย แกเป็นอะไร... ช่วยด้วยค่ะช่วยด้วยเพื่อนหนูเป็นอะไรก็ไม่รู้‘
‘คนที่ไม่เกี่ยวรบกวนออกไปก่อน อย่ามุงครับ คนป่วยต้องการอากาศถ่ายเท’
‘ คุณ คุณ ยังรู้สึกตัวอยู่หรือเปล่า ไม่ต้องกลัวนะครับ ผมเป็นหมอ’
‘แล้วเราจะทำยังดีคะ ยัยเกวจะเป็นอะไรมากหรือเปล่า ยิ่งชอบป่วยกระเสาะกระเเสะอยู่ด้วย’
‘หมอขอตรวจดูอาการก่อนนะครับ ตอนนี้ชีพจรเต้นค่อนข้างช้า พยายามหายใจให้ลึกๆ เข้าไว้นะครับเดี๋ยวไปห้องพยาบาลดีกว่า ขอโทษนะครับ’
แล้วตัวเธอก็ถูกอุ้มขึ้นจากพื้นไปอยู่ในอ้อมแขนของเขา Amani Giorgio ผสมกลิ่นยา ความหอมแบบสะอาดๆ แม้ระยะทางจากตึกเรียนไปห้องพยาบาลจะไม่กี่นาทีแต่เธอก็ยังจำได้ดี ถึงตายังหลับอยู่ด้วยความรู้สึกเวียนไปหมด แต่ก้าวยาวๆ ทว่ามั่นคงแม้จะรีบเร่ง ตลอดเวลาที่อยู่ในอ้อมเเขนเขามันมีความรู้สึกอบอุ่นแผ่ขึ้นขึ้นมาอย่างน่าประหลาด และเกวลินมั่นใจว่าตัวเองจะปลอดภัย
เหมือนกับที่เธอลืมตาขึ้นมาเเล้วเห็นเขายืนอยู่ตอนนี้
“คุณหมอ...’ เสียงเเผ่วเอ่ย ก่อนมารู้ว่าตัวเองไม่ได้เปล่งเสียงเรียกเขาออกไป เป็นเพียงแค่การเรียกอยู่ในใจ คนตัวเล็กกำลังตกอยู่ในภวังค์เพราะไม่คิดว่าจะได้มาเจอกันอีกครั้ง
คุณหมอใจดีในภาพความทรงจำ เขาเป็นพ่อพระที่เคยช่วยเหลือเธอไว้ถึงสองครั้ง
เเต่ครั้งนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่
หญิงสาวรู้ตั้งแต่เผลอสบกับแววตาเคร่งขรึมของเขา ยิ่งมาตอกย้ำตอนใบหน้าคมก้มลงไปอ่านเเฟ้มประวัติคนไข้ที่รับมาจากมือพยาบาล เธอเวียนหัวอยู่เเต่คิดว่าไม่ได้ตาลายที่เห็นคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันมากขึ้นเรื่อยๆ
มันยิ่งตอกย้ำว่าใช่ ถึงจะปวดหัวแต่สัญชาตญาณการจับผิดคนเธอยังทำได้ดีไม่ผิดแน่ๆ เมื่อคุณหมอเงยหน้าขึ้นมา หันไปสั่งบางอย่างกับพยาบาล ก่อนหันมาถาม
“แล้วทำไมเพิ่งมาตอนเป็นหนักแล้วครับ ปวดขนาดนี้มันต้องเริ่มมีอาการนำมาก่อนนานเเล้วไม่ใช่เหรอ”
“..”
“วัน สองวัน หรืออย่างต่ำก็หกชั่วโมง หรือไม่สังเกตตัวเอง??”
“เอ่อ ไม่ใช่ค่ะ คือหนู ..” เกวลินกำลังจะขยับปากตอบ แต่เขาไม่เปิดโอกาสให้คนสมองพังได้คิดบ้างเลย
“หายใจเข้า ออกลึกๆ นะครับ”
สเต็ทโตสโคปที่เขาคล้องคอไว้ก่อนหน้าถูกวางลงบนตัวหญิงสาว กับเสียงเรียบๆ ที่สั่ง เกวลินแอบมองเเววตาคู่นั้นอยากรู้ว่าเขายังจำเธอได้หรือเปล่า แต่ก็เหมือนจะไม่ ท่าทางปฏิกิริยาความนิ่ง เขาปฏิบัติต่อเธอเหมือนคนไม่เคยรู้จักกัน
มือเรียวหนาที่รับไฟฉายจากพยาบาลมาส่องตาเพื่อดูการตอบสนอง และการทดสอบหลังจากนั้นอีกหลายอย่าง เธอไม่รู้เรียกว่าอะไรแต่ก็ทำตามที่คุณหมอบอกแต่โดยดี ใกล้กันขนาดนี้ แต่เธอยังสัมผัสถึงไอความจำกันได้ไม่ได้เเม้เเต่น้อยเลย
แต่ที่ชัดเจนมากก็คือความดุ
อีกครั้งที่หญิงสาวแอบเหลือบตาขึ้นมองเสี้ยวหน้าคมที่ก้มลงไปเขียนบางอย่างบนแฟ้มประวัติคนไข้ ทว่าแค่เพียงไม่นานก็ต้องหลับตาลงอีกครั้งเพราะความเจ็บปวดเกินบรรยาย
“อาการแบบนี้เรียกว่าปวดศีรษะจากความเครียด” นายแพทย์เหนือนทีเงยหน้าขึ้นมา เขารู้ว่ามีเด็กดื้อเเอบมองเขาอยู่ แต่ก็ทำเป็นไม่รู้ จนเขียนใบสั่งยาเสร็จ ยื่นให้พยาบาลเรียบร้อย จึงหันมาอธิบายต่อ
“ความจริงก็มีสิ่งกระตุ้นหลายอย่าง อาจเช่น อากาศร้อนเกินไป อดนอน ทานข้าวผิดเวลา”
... ไม่อยากจะบอกว่าที่คุณหมอพูดมา เธอทำมันทั้งหมดเเหละภายในยี่สิบสี่ชั่วโมง ไม่แปลกใจเเล้วที่เดี้ยงได้หนักหนาสาหัสขนาดนี้
“อาการถ้าเป็นไม่มาก พักผ่อน หลีกเลี่ยงจากสิ่งกระตุ้นพวกนั้นก็จะหายได้เอง แต่เราปล่อยไว้นาน กล้ามเนื้อที่เกร็งตัวมันจึงไม่สามารถหดกลับเองได้”
“ค่ะ โอ้ย”
เธอกำลังตั้งใจฟัง ทว่าความปวดร้าวเจอหมอเข้าไปทำท่าจะดีขึ้นเเล้ว อยู่ๆ กับเเล่นจี๊ดขึ้นมาทำให้เผลอร้องอุทานเปลี่ยนเป็นหลับตาทำหน้ายุ่ง
…จึงไม่ได้เห็น ไม่รู้เลยว่าทุกอย่างที่ตกอยู่ในสายตาทำให้คิ้วเข้มบนใบหน้าคมขาวสะอาดขมวดเข้าหากันอย่างไม่ชอบใจเท่าไรนัก
“ได้กินยาอะไรมาก่อนหน้านี้หรือเปล่า”
“กินยาพารามาสองเม็ดค่ะ”
...แต่ก็ไม่หาย
“แล้วยาประจำตัวอย่างอื่นมีหรือเปล่า”
ความจริงเขาอยากถามว่า ‘ยังกินเป็นประจำหรือเปล่า แต่ดูจากที่เป็นอยู่ตอนนี้เเล้วคิดว่าน่าจะไม่’
และเด็กดื้อก็ไม่ทำให้เขาผิดหวังเมื่อคำตอบที่ได้รับคือการส่ายหน้า หลับตาแน่น
‘ปวดหัวอีกเเล้วล่ะสิ’
เหนือนทีคิด แต่คร้านจะพูดออกไป เขาหันไปสั่งการรักษาเพิ่มเติมกับพยาบาลก่อนหันกลับมาบอกคนหน้ายุ่ง
“เดี๋ยวหมอสั่งฉีดยาคลายกล้ามเนื้อให้เข็มหนึ่งก่อนนะครับ”
“ค่ะ”
รับเสียงแผ่วเพราะไม่มีแรงจะพูดแล้วตอนนี้ ตอนเด็กเธอกลัวเข็ม ตอนนี้ก็ยังกลัวอยู่ แต่ยอมฉีดยาดีกว่าถ้ามันจะทำให้หาย กลับไปอ่านหนังสือ ทำเล่มต่อได้ ไม่ใช่ถูกท่านอาจารย์พระถังซัมจั๋งลงโทษเอาบ่วงมารัดหัวเป็นซุนหงอคงเส้นเลือดในหัวเต้นกันสนุกเป็นจังหวะดิสโก้ขนาดนี้
“แล้วเดี๋ยวค่อยเจาะเลือดตรวจอย่างละเอียดดูกันอีกที วันนี้นอนค้างโรงพยาบาลนะครับ”
ฮะ.. แต่ไอ้คำพูดล่าสุดของคุณหมอนี่เธอปวดหัวจนฟังผิดหรือเปล่า
“ไม่ ไม่ต้องนอนค้างได้มั้ยคะหมอ”
เกวลินฝืนลืมตาขึ้นมา เธอจะบอกเขาว่าอย่างนั้น แต่ร่างสูงก็เดินออกไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้