การทำงานกับเจ้านายใหม่วันแรกไม่ได้ราบรื่นเลยสักนิด เอรินถูกเรียกเข้าไปพบแทบจะทุกชั่วโมงก็ว่าได้ เนื่องด้วยงานบางอย่างที่คริสยังไม่เข้าใจ เลยต้องถามเธออยู่บ่อยครั้ง แต่การเข้าพบเขาแต่ละครั้งนั้น เอรินแทบจะกลั้นลมหายใจเข้าไปหา จนครั้งสุดท้ายเอรินเริ่มทนไม่ไหวแล้ว หญิงสาวถึงกับต้องสวมหน้ากากอนามัยที่พกติดกระเป๋ามาด้วย
“คุณเป็นบ้าอะไรทำไมต้องใส่แมสด้วย คุณเอริน !” คริสโมโหจนแทบจะปาแฟ้มเอกสารใส่หน้าเลขาตัวเอง นี่มันหยามกันเกินไปแล้ว
“รินไม่สบายนิดหน่อยค่ะ”
“อย่ามาโกหก ผมเห็นคุณสบายดียกเว้นตอนเห็นหน้าผมนี่แหละ” คริสขึงตามองคนปิดแมสจนเห็นแค่ลูกตา
“ไม่สบายจริง ๆ ค่ะ”
“เอรินจะคุยกันรู้เรื่องไหมแบบนี้ มานี่ถอดแมสออก” คริสจับมือของหญิงสาวเอาไว้ แล้วดึงหน้ากากอนามัยออกจากหน้าของเลขา ซึ่งเจ้าตัวก็ยื้อแย่งเอาไว้ดึงกันไปมาจนชุลมุนวุ่นวาย
นอกจากหน้ากากอนามัยที่ถูกดึงออกมา แว่นตาอันหนาเตอะของเอรินก็หล่นกระทบพื้น และคริสก็เหยียบเข้าอย่างจัง
เคร้งงง กร๊อบ !
“ทำอะไรของคุณนี่ แว่นรินอยู่ไหน” เอรินหยีตาย่อตัวคลำหาไปด้วย
“อย่าจับเดี๋ยวบาดมือผมเหยียบแตกแล้ว”
“ฮ้า แตกแล้ว รินมองไม่เห็นเลยนะคะคุณคริส”
“นี่สายตาคุณหนักขนาดนี้เลยเหรอ”
“ใช่สิคะ แล้วรินจะกลับบ้านยังไงล่ะวันนี้ ไม่สิต้องไปร้านแว่นด่วนเลยวันนี้” เอรินแทบจะคลำทางออกจากห้องทำงานของเจ้านายไป
“เอรินจะไปไหน”
“เก็บของค่ะจะกลับบ้าน”
คริสมองนาฬิกาตรงข้อมือของตนเอง เป็นเวลาเลิกงานแล้วจริง ๆ เขาก้มลงเก็บเศษแว่นตาไปทิ้งลงถังขยะ ยืนพิงขอบโต๊ะทำงานอย่างนึกหงุดหงิดในใจ
เอรินกำลังเก็บของใส่กระเป๋าสะพายอยู่ หญิงสาวหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา นำมาจ่อหน้าใกล้ ๆ ยังเห็นไม่ชัดแต่ก็ยังกดโทรออกได้
“อ้อกลับบ้านกันหมดแล้วเหรอ” เอรินถามปลายสายเพราะในแผนกนั้นเงียบเหมือนไม่มีคนอยู่แล้ว
“กลับกันหมดแล้วริน ก็มีแต่รินนั่นแหละที่ยังเข้าไปคุยกับเจ้านายใหม่ มีอะไรหรือเปล่านี่อ้อจะไปกินข้าวกับนนท์ นนท์มารับน่ะวันนี้” อันนียาทำเสียงสดใสเมื่อเอ่ยถึงคนรัก
“เอ่อ ไม่มีอะไรกินข้าวให้อร่อยนะ”
“เคจ้าแค่นี้นะ”
ความคิดให้เพื่อนมารับพากลับบ้านคงต้องพับเก็บไปก่อน นานทีอันนียาจะได้เจอหน้ากับคนรัก เอรินไม่อยากทำลายความสุขของเพื่อนในวันนี้
‘เอาน่าเดินอยู่ทุกวันไม่หลงหรอกยัยริน’
เอรินตัดสินใจเรียกแท็กซี่กลับบ้านเอง พรุ่งนี้วันหยุดเธอคงมีเวลาไปตัดแว่นตาอันใหม่ได้ทัน หญิงสาวลุกขึ้นยืนมองภาพกว้าง ๆ ให้เห็น แล้วค่อย ๆ เอามือคลำทางไปที่ประตู
“เดี๋ยวผมไปส่ง” คริสดึงแขนคนที่เดินเหมือนคลำทางไปที่ลิฟต์ หลังจากยืนสังเกตหญิงสาวอยู่นาน คิดว่าเอรินคงกลับบ้านเองลำบากแน่นอน
“ไม่ต้องก็ได้ค่ะคุณคริสรินเรียกแท็กซี่กลับเองได้”
“เงอะงะแบบนี้แท็กซี่พาไปทำมิดีมิร้ายจะว่าไง”
“ก็ใครทำแว่นรินพังละคะ”
“ผมขอโทษก็แล้วกัน ใครจะคิดว่ามันจะหลุดออกจากหน้าคุณได้ เดี๋ยวผมซื้อให้ใหม่”
“งั้นพาไปวันนี้เลยได้ไหมคะ” เอรินขอเขาตรง ๆ เพราะถ้าไม่มีแว่นเธอใช้ชีวิตลำบากมาก
“รีบร้อนขนาดนั้นเลยเหรอ ปกติเขาไม่ได้ตัดแว่นกันวันเดียวเสร็จนี่”
“ไปซื้ออันสำเร็จรูปมาใส่ก่อนก็ได้ค่ะ อันที่ตัดค่อยไปเอาตามนัดวันหลัง”
“งั้นก็ได้” คริสมองคนที่พยายามเอานิ้วปิดจมูกตัวเองตลอดเวลาที่เดินตามหลังเขา ยิ่งอยู่ในลิฟต์สองต่อสองยิ่งยืนแอบติดมุมเหมือนเมื่อเช้าไม่มีผิด เอรินต้องมีอะไรผิดปกติแน่ ๆ
“เอ่อ รินว่ารินกลับแท็กซี่ดีกว่านะคะ” หลังออกจากลิฟต์มาเอรินก็รู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมา
“ไปขึ้นรถได้แล้ว นี่อยู่ชั้นลานจอดรถผมแล้วนะ” คริสดึงแขนหญิงสาวให้เดินตามหลังไปติด ๆ เขาเปิดประตูรถแล้วยัดเลขาตัวเองเข้าไปนั่ง
“ก่อนจะออกรถ บอกผมมาตามตรง คุณรังเกียจอะไรผมกันแน่เอริน” คริสหันมามองคนที่เอาแต่หันหน้าหนีเขา แทบตลอดเวลาที่อยู่ใกล้ ๆ กัน
“คะรินไม่ได้รังเกียจคุณคริสนะคะ” เอรินหยีตาหันมามองเขาเพราะเห็นหน้าไม่ชัด
“นี่คุณมองหน้าผมไม่เห็นเลยเหรอ” ชายหนุ่มคิ้วขมวดด้วยความสงสัย
“เห็นค่ะแต่มันเบลอ ๆ ปวดตาด้วยตอนพยายามเพ่ง”
“แบบนี้เห็นไหม” คริสชะโงกหน้าเข้าไปใกล้เอริน ซึ่งอีกคนก็รีบเบือนหน้าหนีในทันที
“ฮัดชิ้ว !” จามไม่พอน้ำมูกก็ไหลตามมาในทันที เอรินนึกอยากจะบ้าตายให้รู้แล้วรู้รอด
“เอรินนี่คุณทำท่ารังเกียจผมอีกแล้วนะ”
“รินไม่ได้รังเกียจคุณคริสนะคะ”
“แล้วที่ทำอยู่นี่มันอะไร”
“รินแพ้กลิ่นน้ำหอมคุณค่ะ ฮัดชิ้ว !” จามไปสั่งน้ำมูกไปด้วย เป็นปฏิกิริยาที่เอรินควบคุมตัวเองไม่ได้ สูดน้ำมูกเข้าจมูกแรง ๆ ก่อนจะจามออกมาอีกรอบ
“ฮัดชิ้ว !”
“แพ้กลิ่นน้ำหอมผมนี่นะ”
“ใช่ค่ะ”
“นี่เหรอที่ทำให้คุณทำท่ารังเกียจผมตลอดทั้งวัน” คริสยกแขนขึ้นดมกลิ่นตัวเองดู ซึ่งก็ออกจะปกติทุกประการ