"คุณป้าคะ คุณป้า หนูเอาอาหารมาให้ค่ะ"
ซุนเยว่ตะโกนเรียกหญิงสูงวัยอยู่ริมรั้วข้างบ้าน ซึ่งเป็นจุดเดิมที่ทั้งคู่เจอกันเมื่อช่วงบ่าย
แอดดดด
"อาเยว่เหรอ ทำไมเดินตากฝนออกมาแบบนี้ เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก"
"แม่จ้าว! หล่อโฮ๊กเลย~" คุณตาหนูจะเอาคนนี้ค่าา (^_^)
ซุนเยว่มัวแต่ยืนจ้องมองใบหน้าอันหล่อเหลาของชายหนุ่มที่เปิดประตูออกมา แม้ผิวของเขาถูกแดดเผาจนอาจจะดูหมองคล้ำ แต่ไม่อาจปกปิดรูปหน้าคมสันเอาไว้ได้
"อาเยว่! ได้ยินที่พี่ถามไหม?"
จ้าวหลุนเดินมาจ้องหน้าของเด็กสาวใกล้ ๆ เมื่ออีกฝ่ายดูเหมือนจะตกตะลึงอะไรบางอย่าง จนยืนนิ่งค้างอยู่นานแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มต้องแปลกใจคือแววตาของสาวน้อยตรงหน้าในวันนี้ ดูจะแตกต่างไปจากทุกวัน มองยังไงก็ดูซุกซนผิดแปลกไปจากทุกวัน
ชั่วอึดใจหนึ่งที่ทั้งคู่ยืนจ้องตากันนิ่ง ๆ ท่ามกลางสายฝนที่กำลังโปรยปรายไม่แรงนัก ก้อนเนื้ออุ่นที่อยู่ในอกด้านซ้ายกลับเต้นเร็วอย่างน่าแปลกจนทั้งคู่ต้องรีบเรียกสติตัวเอง
"จะเอาคนนี้ค่ะ เอ๊ย! ฉะ..ฉันเอาอาหารมาให้คุณป้าคะ คุณป้าอยู่ไหมคะ"
ซุนเยว่พูดผิดพูดถูกไม่เต็มเสียงเพราะมัวแต่เขินอายที่ชายหนุ่มสุดหล่อเดินมาสบตาเธอใกล้ ๆ สาวน้อยได้แต่คิดในใจ นี่สินะที่เรียกว่าแรกพบสบตา
"แม่อยู่ในบ้าน ว่าแต่อาเยว่หายดีแล้วเหรอ อาหารดี ๆ พวกนี้ทำไมไม่เก็บไว้กินบำรุงตัวเองล่ะ"
จ้าวหลุนตอบกลับแต่ยังไม่ยอมรับอาหารตรงหน้า กระทั่งผู้เป็นแม่ของเขาเดินออกมาดู
"อ้าวอาเยว่ เข้ามาในบ้านก่อนสิลูก หนูอย่ายืนตากฝนแบบนั้น"
"ค่า~"
สาวน้อยยิ้มแป้นเมื่อเห็นแม่จ้าวเดินออกมาเรียกหญิงสาวด้วยตัวเอง เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มตรงหน้าดูท่าไม่ไม่ยอมรับถ้วยอาหารที่เธอถือมา ซุนเยว่จึงถือโอกาสเดินเข้าไปในบ้านตอนที่แม่จ้าวชวนเสียเลย
"คนนี้คือพี่อาหลุน หนูจำพี่เขาได้ไหมลูก"
"แหะ แหะ หนูจำอะไรไม่ได้เลยค่ะ สงสัยต้องเรียนรู้จดจำใหม่ทั้งหมด"
ซุนเยว่มองหน้าชายหนุ่มที่เดินตามเข้ามาในบ้าน พร้อมกับหันไปตอบแม่จ้าวด้วยท่าทางเขินขวย
"ไม่เป็นไรลูก ค่อย ๆ เรียนรู้ไป ไว้พรุ่งนี้หนูอยากรู้อะไรค่อยถามป้าก็ได้ ว่าวันนี้หนูเอาอะไรมาให้ป้าเหรอ"
จ้าวเลี่ยงจินลูบหัวเด็กสาวเบา ๆ ด้วยใบหน้าปริ่มสุขจนลูกชายของนางรู้สึกแปลกใจ จ้าวหลุนไม่รู้จะแปลกใจเรื่องอะไรก่อนดี จะเป็นเรื่องที่แม่ของเขายิ้มและดูมีความสุขเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี หรือจะแปลกใจที่เด็กสาวข้างบ้านกลับมาพูดคุยได้รู้เรื่องเป็นปกติอีกครั้ง แต่อย่างไรก็ถือว่าเป็นข่าวดีทั้งหมด
"หนูทำน้ำแกงไก่มาให้ค่ะ แล้วก็มีผัดผักบุ้งที่เราไปเก็บด้วยนะคะ คุณป้าดูผอมเกินไปต้องกินให้เยอะ ๆ จะได้มีแรงเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้หนูฟังนะคะ"
"จ้ะ..จ้า~ ป้าจะกินให้หมดเลยดีไหม จะได้มีแรงเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้อาเยว่ฟัง"
"ดีค่ะ งั้นหนูขอตัวกลับก่อนนะคะ เดี๋ยวทุกคนที่บ้านจะรอ"
"เดินระวังนะลูก อาหลุนตามไปส่งน้องหน่อยเร็วเข้า"
"ครับแม่"
จ้าวหลุนพึ่งได้สติหลังจากที่จ้องมองรอยยิ้มของซุนเยว่จนเขาตกอยู่ในภวังค์ไปพักใหญ่ เมื่อได้ยินสิ่งที่ผู้เป็นแม่ไหว้วานเขาจึงรีบรับคำแล้วสาวเท้าตามออกมาส่งซุนเยว่ทันที
"ส่งแค่นี้ก็ได้ค่ะพี่ชาย ฉันกลับเองได้"
"เรียก จ้าวหลุน หรือพี่หลุนก็ได้"
ชายหนุ่มปั้นหน้าตึงก่อนจะเอ่ยกับอีกฝ่าย นี่เป็นครั้งแรกที่อยากให้ใครสักคนรู้จักตัวเอง ชายหนุ่มจึงไม่รู้จะต้องวางตัวยังไง
"ค่า พี่จ้าวหลุน งั้นฉันไปแล้วนะ"
"ทำไมไม่แทนตัวว่าหนู?" ชายหนุ่มหลุดปากพูดเบา ๆ ไม่คิดว่าซุนเยว่จะได้ยินสิ่งที่เขาพูด จ้าวหลุนเพียงรู้สึกว่าการที่เธอแทนตัวว่าหนู เหมือนที่พูดกับแม่ของเขามันดูน่ารักกว่า
"หืออ~ หนูไปนะคะพี่จ้าวหลุน ไว้เจอกันใหม่"
ซุนเยว่หมุนตัวกลับมาจ้องตาชายหนุ่ม ก่อนจะเอ่ยคำที่ชายหนุ่มอยากได้ยิน พร้อมกับเอียงคอเล็กน้อยด้วยท่าทางที่น่ารัก ตบท้ายด้วยยิ้มหวานที่ส่งไปกระชากใจชายหนุ่มผู้ปากหนัก
"เอะ เอ่อ อืมม"
ท่าทางของสาวน้อยตรงหน้าทำให้จ้าวหลุนเสียอาการจนเก็บทรงไม่อยู่ มือข้างขวาถูกยกขึ้นมาเกาท้ายทอยเบา ๆ แก้เขินก่อนจะจ้องมองสาวน้องเดินเข้าบ้านจนลับตา
.
.
พอกลับมาถึงบ้านซุนเยว่ก็พบว่าผู้เป็นแม่ของเธอเตรียมทุกอย่างมาตั้งไว้รอบนโต๊ะกินข้าวตัวเก่าที่ตั้งอยู่กลางชานบ้านแล้ว
"กลับมาแล้วเหรอลูก เป็นยังไงบ้าง เจอพี่อาหลุนลูกชายของป้าจ้าวรึยัง?"
สาวน้อยรีบเดินมาตักข้าวใส่ถ้วยช่วยผู้เป็นแม่ก่อนจะเอ่ยตอบออกไปตามจริง
"เจอแล้วค่ะ แต่แม่คะ หลายปีที่ผ่านมาเหมือนหนูจะจำอะไรไม่ได้สักอย่าง แม่ช่วยเล่าให้หนูฟังหน่อยได้ไหมคะว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง"
ซุนเยว่ถือโอกาสเอ่ยขอกับมารดาด้วยแววตาที่น่าสงสาร ทำเอาผู้เป็นแม่ที่เห็นแบบนั้นก็ใจอ่อนยวบอดที่จะเอ็นดูลูกสาวไม่ได้
"อาเยว่อย่าคิดมากเลยลูก เราค่อย ๆ เรียนรู้กันไปก็ได้ แค่ลูกกลับมาหาพวกเราแม่ก็มีความสุขที่สุดแล้ว"
"คุยอะไรกันอยู่สองคนแม่ลูก"
ซุนชางเดินเข้ามาพร้อมกับลูกชาย ทั้งคู่ได้ยินบทสนทนาของสตรีทั้งสองต่างก็มีสีหน้าไม่สู้ดีเท่าไหร่
"ไม่มีอะไรหรอกจะพี่ มา ๆ เรามากินข้าวกันเถอะ ดูสิวันนี้กับข้าวที่อาเยว่ทำน่ากินมากเลยนะ"
ซุนเยียนผู้เป็นแม่รีบเบี่ยงประเด็นพูดเรื่องอื่น นางไม่อยากให้ลูกสาวต้องมารับรู้ถ้อยคำวิจารและถากถางดูถูกที่ชาวบ้านต่างนินทาว่าร้ายให้ลูกสาวของนาง ซุนชายผู้เป็นพ่อและซุนอี้ก็คิดไม่ต่างกัน
"กินข้าวเถอะลูก นี่ อาเยว่ต้องกินไก่บำรุงเยอะ ๆ รู้ไหม ลูกพ่อจะได้ร่างกายแข็งแรง"
ซุนชางใช้ตะเกียบคีบเนื้อไก่ใส่ถ้วยให้ลูกสาวอย่างใส่ใจ ไม่ว่าจะมีของกินดี ๆ อะไรเขามักจะยกให้ลูก ๆ กินก่อนเสมอ
"หนูขอตักให้ทุกคนบ้างนะคะ หลายปีที่ผ่านมาหนูขอบคุณที่พ่อแม่และพี่ใหญ่ดูแลหนูเป็นอย่างดี แต่หนูอยากจะบอกว่าตอนนี้หนูเข้มแข็งมากกก~ ถ้าอยากปกป้องหนูจริง ๆ ทุกคนต้องให้หนูเผชิญความจริงด้วยตัวเอง อย่างปิดบังอะไรหนูเลยค่ะ ชาวบ้านเค้ามองว่าหนูเป็นคนบ้าเสียสติ เป็นภาระของคนในครอบครัวใช่ไหมคะ"
ซุนเยว่ตักน้ำแกงไก่ใส่ถ้วยให้ทุกคนจนครบในระหว่างที่เธอพูดสิ่งที่รับรู้ได้ออกไปด้วย สิ่งเหล่านี้คาดเดาได้ไม่ยาก ยุคสมัยนี้แร้นแค้นแสนเข็ญขนาดไหนใครก็รู้ดี ยิ่งมีสมาชิกมากแต่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ก็ไม่ต่างจากตัวภาระอย่างที่ทุกคนมอง
"อึก อาเยว่~ ลูกไม่เคยเป็นภาระของพวกเรา แต่ลูกเป็นดวงใจของพวกเรา ใครจะพูดยังก็ช่างเขา"
ซุนเยียนรู้สึกจุกในอกจนตีบตันขึ้นลำคอเมื่อได้ยินสิ่งที่ลูกสาวของนางพูด ใครจะไปรู้ว่าลูกสาวของนางจะเข้มแข็งได้ถึงเพียงนี้
"แม่อย่าร้อง หนูขอโทษที่กลับมาช้า ต่อไปนี้หนูจะทำทุกอย่างให้ครอบครัวของเราสุขสบายมีกินมีใช้ หนูสัญญา"
หญิงสาวเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาบนแก้มของผู้เป็นแม่ที่นั่งอยู่ข้างกัน ซุนชางและซุนอี้ที่เห็นแบบนั้นต่างก็น้ำตาคลอจนต้องหันหน้าหนีไปเช็ดน้ำตา
"น้องเล็กอยากทำอะไรพี่จะช่วยทุกอย่าง"
"งื้ออ~ มีพี่ชายดีแบบนี้นี่เอง" สาวน้อยเอียงหัวไปซบไหล่ของพี่ชายที่นั่งอยู่ด้านข้างก่อนจะลุกมาตั้งหน้าตั้งตากินข้าว
"ลูกควรพักผ่อนให้เยอะหน่อย สักพักค่อยคิดก็ได้ว่าอยากทำอะไร"
เมื่อได้ยินผู้เป็นพ่อพูดแบบนั้นหญิงสาวก็เอ่ยถามทันที เธอนึกว่าตนเองจะได้ไปช่วยพ่อแม่และพี่ชายทำงานเสียอีก
"ไม่ให้หนูไปช่วยงานที่แปลงนาเหรอคะ"
"อย่าเลยลูก งานที่คอมมูนค่อนข้างหนัก อีกอย่างครอบครัวเราก็ไปทำตั้ง 3 คนแล้ว ไม่มีใครว่าอะไรหรอก ช่วงนี้ลูกก็อยู่บ้านพักผ่อน ถ้าเหงาก็ไปคุยเล่นกับป้าจ้าว ตอนกลางวันแกอยู่บ้านคนเดียวคงจะเหงาเหมือนกัน"
ซุนเยียนผู้เป็นแม่เอ่ยกับลูกสาว เมื่อซุนชางผู้เป็นพ่อเห็นลูกสาวยังมีสีหน้าสงสัยอยู่จึงเอ่ยขึ้นเสริม
"สามีของแกเสียไปเมื่อหลายปีก่อน ตอนนี้เลยเหลือกันอยู่สองคนแม่ลูก อาหลุนก็เป็นเพื่อนกับพี่ชายของลูกนี่แหละ แต่รายนั้นพูดไม่ค่อยเก่งป้าจ้าวเลยไม่ค่อยมีเพื่อนคุยเท่าไหร่"
"อ้ออ~ เป็นแบบนี้นี่เอง พ่อคะหนูสงสัยเรื่องทำงานในแปลงนา ส่วนแบ่งอาหารเขาแบ่งกันยังไงเหรอคะ แล้วเรื่องคูปองต่าง ๆ อีกล่ะ"
ซุนชางยิ้มให้ลูกสาวก่อนจะเริ่มบอกเล่าเรื่องราวการแบ่งสันปันส่วนต่าง ๆ ให้ลูกสาวฟัง รวมทั้งเรื่องการซื้อขายสินค้าที่ชาวบ้านส่วนใหญ่สามารถหาซื้อได้ที่ร้านค้าของรัฐเท่านั้นและยังจำเป็นต้องใช้คูปองอาหาร คูปองเสื้อผ้า หรือคูปองอุตสาหกรรมหากต้องการซื้อจักรเย็บผ้าหรือจักรยานสักคัน แต่หากใครไม่มีคูปองก็ต้องเสี่ยงอันตรายเข้าไปซื้อหาสิ่งของต่าง ๆ ในตลาดมืดที่เป็นตลาดของผู้มีอิทธิพล แต่สินค้าในนั้นก็จะมีราคาที่แพงกว่าท้องตลาดขึ้นเกือบเท่าตัว
หลังจากกินข้าวเสร็จทุกคนก็แยกย้ายกันเข้านอน ช่วงดึกของวันนั้นสายฝนก็กระหน่ำลงมาไม่ขาด จนน้ำน่าจะเต็มท้องนาเพียงพอที่ต้นกล้าข้าวจะเติบโต หลังจากรอดล้มรอดตายมาหลายแดด กระทั่งเข้ายามเช้ามืดที่ชาวบ้านต้องเตรียมตัวออกไปทำงาน สายฝนเหล่านั้นก็ถูกท้องฟ้าที่กว้างใหญ่กลืนหายไปจนหมด เหลือไว้เพียงฟ้าหลังฝนที่งดงามดั่งเช่นชีวิตของหลายคนที่กำลังเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง