อรปรียาหันมองแล้วยิ้มเยาะ
“งั้นเหรอคะ ถ้าหวงกันมากนัก ทำไมไม่ล่ามโซ่ไว้เลย น้าภาลืมไปหรือเปล่าคะว่าที่เกิดเรื่องนั้นมันคือห้องทำงานของอร”
คนฟังหน้าเจือน เตือนยัยลูกตัวเดีแล้วนะว่าอย่าทำอะไรผลีผลาม ทำไมไม่ฟังกันบ้างเลยให้ตายสิ ขืนเป็นแบบนี้ สิ่งที่หวังมันจะไม่เหลืออะไรเลย
“น้าขอโทษแทนยัยดาด้วยค่ะ ไว้น้าจะจัดการสั่งสอนยัยดาเองนะคะ”
“น้าภาไม่ต้องทำอะไรมากเลยค่ะ แค่บอกให้ดากับผัวหายไปจากสายตาอรก็พอ น้าเข้าใจที่อรพูดใช่ไหมคะ”
พรรณนิภาพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ อำพันธ์ระบายลมหายใจด้วยความอึดอัด ถ้าหากพรรณนิภาไม่ดีกับเขาแล้วล่ะก็ โยธินกับพีรดาสองคนนั้นจะไม่มีวันได้สงบสุขแน่
อรปรียาตักอาหารเข้าปากอีกสองสามคำ แล้วรวบช้อน เห็นบิดาจิบน้ำแสดงว่าท่านเองคงอิ่มแล้วเช่นเดียวกัน เธอเลื่อนเก้าอี้แล้วลุกยืน
“ไปกันหรือยังคะพ่อ”
“ไปสิลูก”
สองร่างแทรกกายเข้าด้านหลังรถ คนเป็นพ่อเหลือบมองบุตรสาว เห็นแววตาหม่นเศร้า หากเป็นตัวเขาเองคงทำใจได้ยากเช่นเดียวกัน คนรักนอกใจในวันแต่งงานมันคงทรมานมาก คงต้องหาทางทำให้บุตรสาวได้พบรักใหม่
“วันนี้ที่บริษัทจะมีหุ้นส่วนใหญ่จากต่างประเทศมา พ่ออยากให้อรช่วยพ่อต้อนรับเขาหน่อย เพราะต่อไปอรต้องดูแลงานแทนพ่อ”
เธอเหลือบมอง แล้วยิ้มบางๆ เข้าใจว่าพ่อคงเป็นห่วงเธอมาก จากนี้คงต้องพยายามทำใจให้เร็วที่สุด เพื่อให้พ่อสบายใจ
“ค่ะพ่อ”
รถจอดเทียบหน้าบริษัท พ่อลูกเปิดประตูลงมา แล้วเดินเคียงข้างกันเข้าด้านใน พนักงานหยุดยกมือไหว้ตลอดเส้นทาง และเหลือบมองมาทางบุตรสาวประธานด้วยความเห็นใจ ทุกคนต่างเชื่อว่าคุณอรปรียาต้องมีหนุ่มมาดามหัวใจแน่นอน ทั้งสวย ทั้งเก่งขนาดนี้
มาถึงห้องทำงาน เปิดประตูเข้ามาแล้วหย่อนกายลงบนเก้าอี้ แล้วเริ่มต้นทำงาน ภาพยามค่ำคืนที่ผ่านทำเอาใบหน้าร้อนผ่าว ริมฝีปากบางเม้มสนิทแล้วก้มหน้าก้มตาสนใจเอกสารตรงหน้า แม้หัวใจกำลังสั่นไหวก็ตาม
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะพร้อมกับประตูเปิดออก เลขาเดินเข้ามาด้านใน
“ได้เวลาประชุมแล้วค่ะคุณอร” รุจิราบอกตารางงาน
“ได้สิ” เธอวางมือ แล้วสาวเท้าตามเลขาเข้าสู่ห้องประชุม
ได้ข่าวว่าวันนี้จะมีผู้ถือหุ้นมาจากต่างประเทศ ดูพ่อให้ความสำคัญกับคนคนนี้มาก เธอเองควรทำความรู้จักไว้ ภายภาคหน้าหากต้องทำงานแทนบิดา อาจต้องพึ่งพาเขา ประตูห้องประชุมเปิดออก ภายในมีกรรมการ และเจ้าหน้าที่ตำแหน่งสำคัญ อรปรียาหย่อนกายลงบนเก้าอี้บุนวมสีน้ำตาล ตรงมุมโต๊ะ โดยอำพันธ์นั่งตำแหน่งประธานใหญ่
“วันนี้เรามีผู้ถือหุ้นคนใหม่ ซึ่งเราได้ทำการเซ็นสัญญากันไปแล้ว ผมอยากแนะนำให้ทุกคนได้รู้จักกันครับ” อำพันธ์ประกาศให้ทุกคนได้รับรู้
เสียงประตูห้องเปิดอีกครั้ง ร่างสูงใหญ่ ใบหน้าคมเข้ม ก้าวเข้ามาภายใน ท่ามกลางเสียงกระซิบแผ่วของทุกคน อรปรียาชะงักจ้องหน้าเขาไม่วางตา เมื่อเธอจดจำได้ว่าชายคนนี้คือคนที่เธอพบเจอในยามค่ำคืนที่ผ่านมา มือบางกำแน่นกลืนน้ำลายลงคอ แล้วเบือนหน้าหนี ขออย่าให้เขาจำเธอได้เลย
กาเรสยืนอยู่ข้างประธาน อำพันธ์ลุกยืนพร้อมผู้ถือหุ้นและพนักงานบริษัท
“ผมขอแนะนำครับ นี่คุณกาเรส มอนดิโล่ ฟาร์เซส ผู้ถือหุ้นรองจากผมครับ”
กาเรสเหลือบมองไปยังหญิงสาว ที่ก้มหน้าก้มตาไม่เงยมอง คิ้วเข้มขมวดเขาหากันก่อนกระตุกยิ้มมุมปาก
“ผมกาเรส มอนดิโล่ ฟาร์เซส ขอฝากตัวด้วยครับ”
พอจบการแนะนำตัว ทุกคนเข้ามาจับมือทักทาย จนกระทั่งแยกย้ายออกจากห้องประชุม อรปรียารีบแทรกตัวเพื่อหนีแต่คนเป็นพ่อกลับจดจ้อง
“อร! อย่าเพิ่งไปลูก!”
เสียงเรียกของบิดา ทำเอาเธอหยุดชะงักหันกลับมายิ้มแห้ง
“คะพ่อ”
อำพันธ์เดินมาหาลูก แล้วจับข้อมือรั้งให้ก้าวตามมาหยุดยืนตรงหน้าหุ้นส่วนใหม่ กาเรสหรี่ตามอง แล้วอมยิ้ม เห็นอีกฝ่ายพยายามเบือนหน้าหนีราวกับทำผิดอะไรมา
“นี่ลูกสาวผมครับ อรปรียา”
เขายิ้มพราย “สวัสดีครับ ผมกาเรส” มือหนาถูกยื่นมาเพื่อให้จับ
อรปรียาจำต้องจับตอบ จังหวะนั้นเขาบีบมือแผ่วเบา แล้วใช้นิ้วสะกิด ทำเอาคนตัวเล็กตระหนกตกใจรีบชักมือกลับ ผิวแก้มแดงกล่ำ ตอนกลางคืนว่าหล่อเหลาแล้ว พอเจอตอนกลางวันยิ่งทำหัวใจสั่น แบบนี้สาวๆ คงตามกันเป็นพรวนแน่ ท่าทางหมอนี่เจ้าชู้ไม่น้อยเลย เห็นทีต้องอยู่ห่างจากเขาซะแล้ว เธอเข็ดเรื่องผู้ชายจนแทบไม่อยากเข้าใกล้
“เป็นอะไรหรือเปล่ายัยอร” คนเป็นพ่อถาม เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางบุตรสาวดูผิดไปกว่าทุกวัน
“ปะ...เปล่าค่ะพ่อ”
อำพันธ์หันไปยิ้มให้กับกาเรส
“ลูกสาวผมมีปัญหานิดหน่อยน่ะครับ เลยอารมณ์ไม่ค่อยปกติเท่าไหร่ คุณกาเรสอย่าถือสาเลยนะครับ”
“ผมไม่ถือสาหรอกครับ ออกจะดีใจด้วยซ้ำ ที่ได้เจอลูกสาวคุณอำพันธ์ ตัวจริงสวยกว่าในรูปอีกนะครับ แบบนี้ที่บ้านคงมีหนุ่มแวะเวียนมาบ่อย” เขาบอก แล้วอมยิ้ม
ทว่าคนฟังกลับควันออกหู ผู้ชายแวะเวียนมาบ่อยหมายความว่ายังไงกัน เห็นเธอเป็นผู้หญิงแบบไหน
“ฉันไม่ได้มีอาชีพบริการใครนะคะ ถึงได้มีผู้ชายแวะเวียนมาบ่อย!”
“ยัยอร คุณกาเรสไม่ได้หมายความแบบนั้น” คนเป็นพ่อส่งเสียงดุ
“แล้วหมายความแบบไหนคะ!”
“ก็หมายความว่าคุณน่ะสวย จนผมคิดว่าคงมีหนุ่มจีบเยอะน่ะครับ” เขาตอบแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ “ไม่ได้คิดเป็นอื่นเลยสักนิด”