ถ้าหาว่าภุมมินทร์รักหล่อนอย่างแน่แท้และเขากล้าที่จะให้เถ้าแก่สู่ขอหล่อนเป็นเรื่องเป็นราวไม่ใช่คำพูดที่ลอยไปลอยมาอย่างหาความเชื่อถือไม่ได้ แล้วดึงสติกลับมาที่น้องชายเอาล่ะสายแล้วจริงรีบบอกน้องชายหล่อนผิดเองที่รั้งเขาอยู่คุยด้วยนานสองนาน
“ถ้าจะไปแล้วนะพี่อยากให้ระวังตัวให้ดีนะกัลย์ดูซ้ายดูขวาบ้าง เวลาจะข้ามถนน กัลย์นะชอบเดินข้ามถนนทั้งที่สะพานลอยข้ามเขาก็มีสร้างไว้ให้ใช้แบบนี้เสี่ยงชีวิตน่ะมีความสำคัญแค่ไหนพี่เคยบอกหลายครั้ง”
แต่หล่อนก็ติดปากที่จะเอ่ยคุยเบรกห้ามตัวเองไม่ค่อยได้น้องชายเลยต้องหยุดตาม
กัลย์คิดว่าวันนี้คงไปทันเพราะรถตู้วิ่งเร็วเขาไม่ได้เลือกนั่งรถเมล์เพราะคอยนานคำเตือนและห่วงใยของพี่สาวยังมีต่อเนื่องหยุมหยิมเล็กน้อยเขาไม่ชอบขึ้นสะพานลอยเพราะมันเสียเวลาชอบที่จะข้ามถนนช่วงเกาะกลางถนน
และถ้ามีคนข้ามด้วยเขาก็จะข้ามเป็นเพื่อนตามเลยอดหัวเราะให้กับตัวเองไม่ได้ที่พี่สาวช่างจดจำนัก
“ขอเวลาอีกสิบนาทีก็แล้วกันคงทันนะและคิดว่าไม่สาย”
“ครับ” กัลย์พยักหน้ากับพี่สาวให้เวลาแค่นั้นขืนมากกว่านั้น คงสายอย่างพี่สาวว่า
“อีกอย่างกัลย์ของพี่ก็ยังไม่มีครอบครัวเลยนะจ๊ะน้องรัก ถ้าเป็นไปได้นะพี่อยากจะให้กัลย์แต่งงานเสียทีมีครอบครัว”
กัลย์ยิ่งหัวเราะใหญ่เลยดูเป็นว่าขำนักที่พี่สาวพูดเรื่องนี้แต่ก็อึ้งที่พี่สาวพูดเรื่องนี้สนใจห่วงเขามากกว่าตัวเอง
“กับใครกันครับผมคิดว่าเจ้าสาวของผมยังไม่ทันเกิดด้วยซ้ำ” กัลย์ตอบอีก
“พูดบ้าๆน่ากัลย์แล้วตอนนี้เธอรักใครหรือเปล่าพี่ถามจริงนะ”
คิดชั่วครู่ขมวดคิ้วก่อนตอบพี่สาว
“ ก็ไม่มีครับ ไม่มีแน่นอน”
มันเป็นความจริงที่เขายังไม่มีใคร
“ผมยังโสดอยู่ทั้งแท่งแล้วที่สอนเด็กงกๆอย่างนี้ผมจะเอาเวลาที่ไหนไปจีบผู้หญิงล่ะครับพี่อร”
ศรีบังอรเข้าใจน้องชายแต่ก็ถามเพราะอยากรู้โสดหน้าตาดีอย่างน้องชายจะไม่มีใครให้ความสนใจเลยหรือไง
“แล้วเพื่อนที่เป็นครูที่เดียวกับเธอล่ะจะไม่มีบ้างหรือไง”
โธ่พี่สาวจะจับเขาให้หาคู่เป็นครูโรงเรียนเดียวกันเสียแล้วนี่
“คงไม่ไหวล่ะครับไม่มีใครต้องตาผมเลย”
เขาตอบจริงจากใจเป็นเพราะพบเห็นกันบ่อยครั้ง สนิทกันเป็นเพื่อนมากกว่าแฟนแต่สาวอื่นก็มองเหมือนกันแต่ยังไม่ได้บอกพี่สาว เพราะยังไม่แน่ใจคือน้าสาวของลูกศิษย์ที่มาส่งเป็นประจำ
กัลย์ตอบพี่สาวเป็นคำสุดท้ายก่อนจะก้าวเท้าออกไปนอกบ้าน และร่างของพี่สาวก็ก้าวมาตามหลัง โดยที่ไม่ลืมที่จะปิดล๊อคกุญแจประตูบ้านและกุญแจรั้วให้สนิทเหมือนเช่นปกติทุกวันก่อนที่จะออกไปทำงานได้สนิทใจ
และหลังจากนั้นชายหนุ่มสาวเท้าก้าวออกไปบนริมฟุตบาธที่ทอดยาวจากในซอยบ้านพักจนถึงทางแยกเดินตรงสุดทางเป็นสามแยก ถ้าออกมาจากถนนใหญ่เข้ามาในบ้านเขาต้องหักขวา
ถ้าออกไปอย่างนี้ต้องหักซ้ายไม่รู้สึกงงมากคนที่งงคงจะเป็นครอบครัวใหม่ที่เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ในซอย แต่เขาอยู่มาตั้งแต่เกิดจึงคุ้นเคยและไม่ได้คิดว่าไกลด้วยแดดในยามเช้าทอแสงอุ่นกระทบผิว ไม่ได้จัดจ้าเหมือนช่วงยามสายจนชายหนุ่มคิดว่าขณะนี้แดดพอดี
พอจะเดินเล่นไปเรื่อยๆอีกอย่างประกอบกับถนนภายในหมู่บ้านเจ้าของบ้านส่วนมากนิยมปลูกต้นไม้ใหญ่เมื่อมันแผ่กิ่งก้านสาขาคลุมไปหมด จึงทำให้บรรยากาศครื้มมีร่มเงาไม้พร้อมกับสายลมเย็นพัด
ทำให้รู้สึกหนาวด้วยมากกว่านอกจากฤดูร้อนจริงๆถึงจะร้อนจัด รองเท้าหนังสีดำของชายหนุ่มขัดมันจนขึ้นเงาวับทั้งคู่กางเกงที่ไม่มีจีบสวมใส่สบายเป็นสแลคส์สีดำสนิทบวกกับเสื้อเชิ้ตสีพื้นอย่างฟ้าจาง ส่งผลให้ร่างนั้นดูสง่าสมกับพ่อพิมพ์ของชาติ
บวกกับร่างที่สูงโปร่งใบหน้าที่คมคายเกลี้ยงสะอาด เขาก้าวฝีเท้ายาวๆมีกระเป๋าหนังสีน้ำตาลกะทัดรัดที่บรรจุแผนการสอนกับปากกาด้ามทองที่มักติดตัวลิควิดยางลบดินสอพร้อมทั้งเอกสารเปล่าประมาณหกเจ็ดแผ่น
ถึงโรงเรียนประมาณเจ็ดโมงสี่สิบแต่ว่าจิตวณากับครูแพงพรรณ มาหลังเขาอีกทั้งสองมาสายเห็นว่าเพิ่งนั่งรถแท็กซี่มาถึงประตูทางเข้าด้วยซ้ำ แล้วรีบวิ่งกระหืดกระหอบเพื่อไปเซ็นชื่อเขาเห็นแล้วขำทั้งสองคนนักยังทักเลยว่า
“ครูจิตกับครูแพงมัวแต่ทำอะไรอยู่ครับสงสัยนอนตื่นสาย” แพงพรรณยิ้มให้
“แล้วทำไมมาพร้อมกับกับครูจิตเหมือนกับนัดกันอย่างนี้ ”
เขาเอ่ยถามครูแพงพรรณอีกครูสาวเอ่ยตอบว่า
“แวะไปทำธุระมาค่ะพี่จิตชวนไปด้วยคิดว่าจะมาทันแต่ที่ไหนได้ไปเก้อต้องรีบนั่งรถมาที่โรงเรียนกัน”
“ครูกัลย์ล่ะคะ”เอ่ยตอบแล้วถามเขากลับ
“ผมก็เพิ่งมาถึงสักพักแล้วครับ”
แพงพรรณนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาในคืนงานเลี้ยงวันเกิดของเพื่อนครูชาวต่างประเทศ
ที่ครูกัลย์ณพช่วยไปเป็นเพื่อนและเป็นสุภาพบุรุษถือว่าให้ความอบอุ่นใจคุ้มครองสองครูสาวที่เป็นสุภาพสตรีพวกหล่อนทั้งสองยังซาบซึ้ง จนกระทั่งกลับเขายังแวะมาส่งครูสาวทั้งสองขึ้นรถแท็กซี่กลับด้วยกันและเขาเป็นคนลงคนสุดท้าย หลังจากตระเวนส่งจนหมด
ครูกัลย์เก็บความคิดไว้แค่นั้นจากนั้นรีบเดินขึ้นไปยังชั้นสอง ห้องที่ตัวเองจะสอนในชั่วโมงแรกของคาบเช้าวางกระเป๋าหนังสีน้ำตาล นักเรียนของเขาเป็นคนที่น่ารักครอบครัวมีฐานะกันทั้งหมดไม่มีใครมีนิสัยที่ลักขโมย เพราะแต่ละคนมาจากครอบครัวที่มีฐานะได้รับการอบรมสั่งสอนเรื่องมารยาทเข้ามาถึงห้องกัลย์หย่อนก้นลงบนพนักเบาะนั่งประจำ
โรงเรียนนานาชาติแห่งนี้ติดแอร์ทุกห้องค่าเทอมนั้นเทอมหนึ่งปาเข้าไปเลขหลักหกแล้ว ถ้าไม่ใช่ทายาทของมหาเศรษฐีตัวจริงหรือนักธุรกิจแล้วล่ะก็ไม่มีปัญญาเข้าโรงเรียนแห่งนี้ได้หรอกนักเรียนต่างทยอยกันเข้ามาแล้วประจำที่ของตัวเองส่วนมากเมื่อเดินผ่านครูหนุ่ม นักเรียนทั้งหญิงและชายจะยกไหว้สวัสดีเป็นการทักทาย
เหมือนปกติทุกวันที่ครูกัลย์หยิบปากกาไวท์บอร์ดสีน้ำเงินมายืนอยู่หน้ากระดาษแผ่นสีขาวแผ่นใหญ่ เริ่มมือสอนและอธิบายให้ลูกศิษย์ทุกคนฟังและเช็คชื่อนักเรียน
“เอ้านักเรียนครูจะเช็คชื่อว่าวันนี้ ใครมาหรือไม่มาให้ยกขานรับด้วย ถ้าครูเรียกชื่อใคร”
ครูกัลย์เริ่มต้นเอ่ยชื่อนักเรียนตามเลขที่ของนักเรียนทุกคน ตั้งแต่หนึ่งไปจนถึงสุดท้ายนักเรียนที่มาขานตอบกันเป็นทิวแถว
“มาค่ะ”
“มาครับ”
“นัปคมน์”กลับเงียบไม่มีเสียงตอบแล้วจึงผ่านไปอีกเรียกชื่อ
“นันทิตา”ก็ยังเงียบอีก