หลายวันผ่านไป
ตั้งแต่คืนนั้นเฮียไกด์ก็มีบทบาทกับชีวิตฉันมากขึ้น ใช่ค่ะ! ต้องใช้คำนี้ถึงจะถูก ถ้าไม่ติดเรื่องเงินหนึ่งแสนบาทนะ อย่าหวังว่าฉันจะเชื่อฟังและอยู่ในโอวาทเขาเหมือนในตอนนี้เลย
“มีอะไรจะเสนอด้วยแหละ” ถึงกับต้องละมือจากงานตรงหน้าแล้วช้อนสายตาขึ้นไปมองเมื่อได้ยินเฮียไกด์พูดแบบนั้น
“ว่ามาค่ะ”
“เลิกทำงานกลางคืนแล้วทำที่ร้านอย่างเดียว กูให้เงินเดือนหมื่นห้า”
“เฮีย... หนูทำที่ร้านได้มากกว่านี้อีก” ไม่ได้หมิ่นเงินน้อยนะคะ แต่ฉันว่าตัวฉันไหวและทำได้สบายมาก
“มากกว่าแต่ก็แลกมาด้วยสุขภาพ หรือมึงจะเถียงว่าไม่จริง? แถมบางวันยังถูกแทะโลมอีกต่างหาก กูมองไม่เห็นความปลอดภัยเลยสักนิด รู้ว่าเก่งแต่มึงไม่ควรลืมว่าตัวเองยังมีพ่อแม่ที่ต้องดูแลอีก มึงเอาเวลาอดหลับอดนอนไปเที่ยวที่อื่น ไปที่ที่ไม่เคยไปยังเปิดโลกมากกว่านี้ด้วยซ้ำ และอีกอย่างนะทำงานกับกูไม่ต้องฝืนพูดจาเอาใจลูกค้าครับ” เขาว่าพลางเท้าสะเอวมองหน้าฉัน “ไม่ต้องจำใจยอมทำอะไรหลาย ๆ อย่างด้วย มึงคิดว่ากูไม่รู้เหรอ?”
“...” คำพูดยาว ๆ ของเฮียไกด์ทำเอาฉันเงียบไปหลายวินาที ไม่เถียงเลยค่ะเพราะสิ่งที่เขาพูดมามันจริงทั้งหมด ว่าแต่... “เฮียรู้ได้ยังไง?”
“ก็ถ้ามึงเป็นเหมือนคนอื่นคงสบายมีเสี่ยเลี้ยงไปนานแล้ว แต่มึงมันเป็นพวกรักศักดิ์ศรีตัวเองไง ปากกัดตีนถีบต่อให้อดตายก็ไม่มีทางทำอะไรแบบนั้นแน่นอน ไม่อย่างนั้นคงยอมกูตั้งแต่คราวนั้นแล้ว ดีแต่ประชดชีวิตพอเอาจริงก็ไม่กล้า” รู้สึกเหมือนถูกหลอกด่ายังไงก็ไม่รู้
“เฮียเองก็ไม่ต่างจากผู้ชายพวกนั้นหรอก อย่ามาทำเป็นพูดดีเลย”
“ไม่เถียงนะ กูก็ผู้ชายคนหนึ่ง...”
“...”
“อย่ามัวเฉไฉอยู่ สรุปว่าไง?”
“ไม่ค่ะ!”
“ไม่คิดก่อนตอบหน่อยเหรอ?”
“ไม่เห็นมีอะไรต้องคิดเลย”
“โกรธอะไรกูหรือเปล่าเนี่ย ถ้าเป็นเรื่องนั้นมึงเริ่มก่อนนะกูไม่ผิด”
“ช่างกล้าพูด” ฉันสวนกลับทันควันก่อนจะมองเขาอย่างเอาเรื่อง
“กูกำลังจริงจังอยู่นะ”
“พูดกับหนูเพราะ ๆ ก่อนเผื่อหนูจะเปลี่ยนใจ”
“...” เขาเงียบเมื่อฉันพูดออกไปแบบนั้นก่อนจะถอนหายใจออกมาเบา ๆ แล้วพูดต่อ “ลาออกซะ! แล้วมาทำที่ร้านกับพี่ เรียนเสร็จตอนไหนก็มาตอนนั้น สามทุ่มร้านปิดก็กลับบ้านนอนตื่นเช้าไปเรียน ใช้ชีวิตปกติเหมือนวัยรุ่นทั่วไปแค่นี้ทำได้ไหม?”
“...” คราวนี้เป็นฉันเองที่เงียบไป เฮียจริงจังจนฉันรู้สึกได้เลยว่าเขาต้องการให้มันเป็นแบบนั้นแถมยังแทนตัวเองว่าพี่อีกด้วย
“กับม่านเดี๋ยวพี่เคลียร์ให้ ที่เหลือเราตัดสินใจเอาเอง” ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกดูแลเลยค่ะ
“เฮียต้องการอะไรกันแน่พูดมาตามตรงเลยดีกว่าค่ะ”
“ไม่ได้ต้องการอะไร แค่อยากแสดงความรับผิดชอบเท่านั้นเอง”
“รับผิดชอบอะไรคะ? ถ้าเป็นเรื่องคืนนั้นหนูไม่โทษใครหรอก เพราะหนูไม่มีสติเอง ไม่ระวังตัว หนู...”
“ถ้างั้นก็รับผิดชอบร่วมกันไม่ต้องมีใครผิดหรือถูกทั้งนั้นแหละ ส่วนเรื่องเงินเดือนเพิ่มให้ก็ได้แต่ต้องทำงานหน้าเดียว ตกลงไหม?” น้ำเสียงจริงจังเอ่ยพร้อมกับมองหน้าฉันเพื่อหวังจะเอาคำตอบ ข้อเสนอของเขาดีระดับหนึ่งเลยนะคะ แต่ว่าฉันยังติดตรงเจ้ม่านอยู่
“ขอบคุณค่ะสำหรับข้อเสนอ แต่หนูทำแบบนั้นไม่ได้หรอก”
“ม่านไม่ว่าอะไรหรอก เขารักเรายิ่งกว่าน้องสาวตัวเองซะอีก” เฮียไกด์พูดด้วยความมั่นใจจนฉันแอบรู้สึกว่าระหว่างพวกเขาสนิทเกินกว่าเพื่อนล่ะมั้ง
“เฮียดูสนิทกับเจ้ม่านจังเลยนะคะ” ฉันพูดออกไปตามความคิด
“ก็เพื่อนกัน สนิทยิ่งกว่าสนิทซะอีก”
“อ๋อ...”
“ตกลงตามนี้นะ ที่เหลือเดี๋ยวพี่จัดการให้เอง”
“หนูยังไม่ได้บอกเลยว่าตกลง”
“ก็ไม่เห็นปฏิเสธนี่” เขาว่ายิ้ม ๆ
ปฏิเสธไม่ได้เลยค่ะเพราะที่เฮียไกด์กล่าวมาทั้งหมดมันคือเรื่องจริง ได้เงินเยอะแต่ก็ต้องแลกกับการเอาแอลกอฮอล์เข้าร่างกายทุกวันและบางครั้งยังต้องฝืนพูดเอาใจลูกค้าอีกด้วย ซึ่งบางคนก็น่ารักเพราะรู้ดีว่าหน้าที่ของฉันคืออะไร แต่กับบางคนก็มองต่างไปอีกแบบ
“ตามนี้นะ เริ่มคืนนี้เลย เดี๋ยวลาออกให้” จบประโยคเขาก็หยิบมือถือขึ้นมาต่อสายหาเจ้ม่านทันทีเลยค่ะ ไม่รอให้ฉันได้ตัดสินใจหรือท้วงอะไรเลยสักคำ
“เฮีย...”
“ตามนี้นะม่าน”
(...)
“เรารู้แล้ว”
“เฮีย!” ฉันพยายามจะห้ามปรามเขาแต่มันก็ไม่สำเร็จ นอกจากจะไม่ฟังแล้วเฮียไกด์ยังวางสายไปแล้วด้วย “หนูทำกับเจ้มาตั้งหลายปีนะคะ”
“แล้วไง? ถ้าเราไม่เชื่อว่าม่านโอเคจะโทรกลับไปถามก็ได้นะ”
เชื่อแล้วว่าเขาสองคนสนิทกันมากจริง ๆ เจ้ม่านพูดอยู่เสมอหากว่าวันหนึ่งฉันมีทางเลือกที่ดีกว่าให้ฉันไปทำได้เลย ไม่ใช่ว่างานตรงนี้ไม่ดี เขาแค่อยากให้ฉันได้ดีกว่านี้เท่านั้นเอง และแน่นอนว่าป่วยการที่ฉันจะโทรกลับไป
สรุปแล้วฉันต้องทำกับเขาที่นี่ไปตลอดนั่นเอง ช่างเถอะ! อาจจะเสียดายแต่ไม่เป็นไร หมดหนี้หนึ่งแสนบาทเมื่อไหร่ฉันค่อยหาร้านอื่นทำก็ได้ค่ะ
“เงียบแบบนี้กำลังด่ากูในใจสินะ” เขาว่าพลางหรี่ตามองฉันอย่างจ้องจับผิด
“ตกลงจะกูหรือพี่เอาให้แน่ หนูจะได้ทำตัวถูก”
“แล้วแต่อารมณ์”
“กวนตีน”
(โป้ก!)
“พูดจาให้มันน่ารักหน่อย กูโตกว่ามึงตั้งแปดปี”
“เอ้า! ก็เฮียอยากเกิดก่อนเองนี่”
“มึงนี่มัน...”
“ไอ้นิค มึงเห็นเหมือนกูไหม” พี่เต้เอ่ยก่อนจะหยุดยืนตรงหน้าเราสองคน ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเขามาตั้งแต่เมื่อไหร่
“เห็นดิ กูกับมึงไม่ได้ตาฝาดแน่ ๆ กี่ปีแล้วนะที่เฮียไม่ได้ยิ้มแบบนี้”
“สงสัยมึงสองคนอยากหาที่ทำงานใหม่สินะ”
“โหดกลบเกลื่อนซะด้วย” พี่เต้ยังคงพูดต่อ
“ดูท่าทางแล้วกูคงต้องรับเด็กเพิ่มและให้ไอ้ทิวมาเทรนใหม่จริง ๆ แล้วมั้ง”
“โธ่เฮีย...แซวนิดเดียวเองอย่าเพิ่งโมโหดิ”
“ไปส่งของให้ลูกค้าได้แล้ว”
“ครับผม!”
เวลาล่วงเลยมาจนถึงร้านปิด ฉันก็กลับบ้านตามปกติค่ะ
“แม่! หน้าไปโดนอะไรมา?” ฉันเอ่ยถามทันทีที่มาถึงบ้านแล้วเห็นรอยช้ำรอยแดงบนใบหน้าของแม่
“กัดกับพ่อมึงไง วันนี้มันมา มันจะเอาโฉนดที่ดินแต่ข้าไม่ให้เลยมีปากเสียงกันนิดหน่อย”
“ไม่หน่อยมั้ง”
“เออช่างมันเถอะ ไม่เป็นอะไรหรอก มันคงไม่กล้ามาที่นี่อีกแล้วแหละเพราะข้าไปแจ้งความไว้ ถ้ามาอีกมันได้ไปอยู่ในตารางแน่”
“แม่ใจเด็ดขนาดนั้นเชียวเหรอ?”
“เออสิวะ! คนเรามันเจ็บแล้วต้องจำ ว่าแต่เอ็งเถอะไม่ไปทำงานหรือไง”
“หนูลาออกแล้ว ก็เจ้าหนี้คนใหม่ของแม่ไงบังคับให้หนูไม่มีทางเลือก”
“...”
“เขาไม่ได้ทำอะไรหนูหรอก แค่ให้หนูทำงานกับเขาหน้าเดียวเท่านั้นเอง และเงินเดือนก็น้อยลงด้วย ต่อไปนี้แม่คงต้องลดค่าเหล้าลงบ้างแล้วแหละ” ฉันพูดออกไปอย่างไม่จริงจังมากนัก ถึงปากจะบ่นยังไงฉันก็หาให้ไม่ขาดมือ แต่ช่วงหลังมานี้เท่าที่เห็นแม่ไม่ค่อยเมาแล้วนะคะ
“เขาไม่ได้ทำอะไรเอ็งแน่นะ?”
“แน่สิแม่ หนูไม่ยอมใครแม่ก็รู้อยู่”
“เหรอ... เขาใจดีเนอะไม่คิดดอกเบี้ยแถมไม่มีอะไรเป็นลายลักษณ์อักษรอีกด้วย” คิดตามที่แม่พูดมันก็จริงค่ะ เฮียไกด์ยื่นเงินให้โดยไม่ลังเลเลยสักนิด มีเพียงลมปากเท่านั้นที่สัญญากันว่าจะใช้คืน ไม่รู้ว่าเขาหวังดีหรือมีข้อแลกเปลี่ยนกับฉันกันแน่...