Episode-๐๑ เด็กนั่งดริ้ง

1792 Words
“ขอโทษทีนะเจ๊ วันนี้ช้าไปหน่อย” “ไม่เป็นไร ลูกค้าไม่เยอะ ว่าแต่แนนไหวหรือเปล่า สภาพเหมือนไม่สบายเลย โอเคไหม?” “ไหวค่ะ พอดีวันนี้เติมของอ่ะ เลยเหนื่อยมากกว่าทุกวัน” “ไม่ไหวก็พักนะ เจ๊ให้เงินเดือนเหมือนเดิมแหละไม่ต้องห่วง” “ขอบคุณมากค่ะ” กล่าวขอบคุณพร้อมกับยกมือไหว้อย่างมีมารยาท ในแต่ละวันมันโคตรจะเหนื่อย แต่ก็ไม่เคยปริปากบ่นให้ใครฟังหรอกนะ เพราะถึงบ่นไปก็ต้องเหนื่อยเหมือนเดิมทุกวันอยู่ดี หลังเลิกเรียนฉันทำพาร์ทไทม์รายชั่วโมงค่ะ พองานเลิกก็มาที่ร้านต่อเลย กว่าจะได้เข้าบ้านนอนก็ตีหนึ่งโน่นแหละ ถามว่าอายุแค่นี้ทำไมต้องดิ้นรน? เพราะในบ้าน ฉันเป็นคนเดียวที่ห้ามป่วย ห้ามตาย ไม่มีเงินก็ไม่ได้เรียนหรอก ที่ทำอยู่ทุกวันนี้เพื่อตัวเองทั้งนั้นเลยค่ะ ส่วนครอบครัว... ช่างมันเถอะ! ตอนนี้ฉันเรียนอยู่มอปลาย ปีหน้าก็จบมอหกแล้วค่ะ ลังเลเหมือนกันว่าจะต่อมหาวิทยาลัยเลยหรือหยุดพักไปก่อน อายุแค่นี้ทำไมต้องแบกรับอะไรมากมายก็ไม่รู้ คนอื่นอาจจะมีครอบครัวเป็นเซฟโซนของตัวเอง แต่สำหรับฉันมันไม่ใช่ บ้านที่ไม่เหมือนบ้าน บ้านที่รู้สึกว่าไม่น่าอยู่เลยสักนิด “มีอะไรหรือเปล่า บอกเจ๊ได้นะ” “...” เจ๊ม่านเป็นเจ้าของร้านที่ฉันทำงานอยู่ ถามว่าฉันยังไม่สิบแปดแล้วทำงานแบบนี้ได้ยังไงน่ะเหรอ ก็เพราะเขานี่แหละที่ยื่นมือมาช่วยฉันไว้ ทำยังไงได้ล่ะคะก็เงินมันไม่พอใช้นี่ อีกอย่างก็แค่นั่งดริ้งเอง ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านี้เลย ถึงแม้จะดูแปลกประหลาดในสายตาคนอื่นไปบ้างก็เถอะ แต่ไม่แคร์หรอกค่ะ เพราะคนพวกนั้นไม่ได้หาเงินให้ฉันใช้ เป็นร้านอาหารใจกลางเมือง ต้องกินต้องดื่มเป็นธรรมดาค่ะ แต่ฉันไม่ได้นั่งกับลูกค้าเสมอไปหรอกนะ ส่วนมากเจ๊จะเลี่ยงให้ไปเป็นเด็กชงมากกว่า แล้วให้พี่ๆคนอื่นไปดริ้งแทน ไม่ได้หวงงานหรืออะไร แต่เจ๊บอกว่าฉันยังเด็ก ทำตามความเหมาะสมก็พอ แน่นอนว่างานอโคจรแบบนี้มันก็มีทั้งคนที่ขาย และไม่ขาย ซึ่งมันเป็นสิทธิเฉพาะบุคคลค่ะ เจ๊ม่านไม่มีส่วนได้ส่วนเสียอะไร ผัวใครเมียใครมาตามหากันเอาเอง กฎที่ร้านค่อนข้างชัดเจนว่าไม่ส่งเด็กขึ้นเตียงค่ะ แต่ถ้าจะไปต่อนอกรอบอันนี้ก็ตัวใครตัวมัน ทำงานร่วมกันไม่ได้แปลว่าจะต้องเหมือนกันทุกคนเสมอไป ทางเดินใครมางเดินมันอยู่แล้ว “ว่ายังไงแนน” เอ่ยถามอีกครั้งเมื่อเห็นฉันเงียบไปนานสองนาน “เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร” “เจ๊เห็นเราเป็นน้องสาวคนหนึ่งนะ มีอะไรอยากให้บอกไม่ต้องเก็บไว้คนเดียว” แววตาที่มองมาอบอุ่นมากกว่าสายตาแม่แท้ๆของฉันซะอีก “ค่ะ” ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงคืนกว่า ไฟในบ้านยังไม่ปิด แสดงว่าพ่อยังไม่มาอีกตามเคย ก้าวเท้าเข้ามาในบ้านก็ต้องถอนหายใจออกมาอีกครั้งเมื่อเห็นแม่นอนแผ่หลาอยู่ตรงประตู ไม่ได้เป็นอะไรหรอกค่ะ เมา! “แม่! แม่!!” “แหกปากหาพ่อมึงเหรอ” “ไปนอนในห้องโน่นมานอนไรตรงนี้” “รอมึงไง โน่นกับข้าว” พลางชี้มือไปบนโต๊ะหลังจากนั้นก็เดินโอนเอนเข้าห้องไป เมาได้เมาดี เมาแทบทุกวัน “เฮ้อ...” กับข้าวที่ว่ามันเป็นของเมื่อวานที่บูดจนส่งกลิ่นเหม็นต่างหากล่ะ ถ้าฉันไม่เก็บไม่ล้างก็ไม่มีใครทำเหมือนกัน เช้าอีกวันตื่นขึ้นมาพร้อมกับเสียงเอะอะโวยวายของพ่อกับแม่ ด่ากันอีกตามเคยสินะ “เพราะมึงมันเป็นอย่างนี้ไง!!” “มึงก็เหี้ยเหมือนกันนั่นแหละ!!” “แดกห่าแต่เหล้า เมาแม่งทุกวัน” “กูก็แดกมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เป็นเหี้ยไรเพิ่งมาด่าตอนนี้!!” “เพราะมึงประสาทขึ้นทุกวันไง!!” “ทำไมอ่ะ ทนไม่ได้มึงก็เลิกไปดิ” “เออ!! กูไปแน่” เป็นเหตุการณ์ซ้ำซากที่ฉันเห็นจนชินตาแล้วล่ะ อย่าว่าแต่พ่อเอือมระอาเลย ฉันเองก็ไม่ต่าง... เวลาแม่เมาจะเปลี่ยนเป็นคนละคน บางครั้งชื่อฉันยังจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ “นี่เงิน เอาไปคนละสามร้อยก่อนแล้วกันนะ เงินเดือนหนูยังไม่ออก” ฉันว่าพลางยื่นเงินให้เขาทั้งคู่ “มึงมีเท่าไหร่ถึงให้กูได้แค่นี้” แม่ตวาดออกมาเสียงดังลั่น “หนูเหลือสี่ร้อย กว่าเงินจะออกอีกตั้งสามวัน” “เรื่องของมึง เอามาให้กู” “แม่!!” “เอามานี่!!” ยื้อแย่งกันไปมาจนแม่หยิบไปได้สำเร็จ “มีตั้งห้าร้อย มึงหัดเป็นเด็กตอแหลตั้งแต่เมื่อไหร่” “...” ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผู้หญิงที่ฉันเรียกว่าแม่จะหยาบคายกับฉันได้ขนาดนี้ อีกทั้งสายตาที่มองมาราวกับว่าฉันไม่ใช่เลือดเนื้อของเขาอย่างนั้นแหละ บางครั้งก็แอบคิดนะว่าฉันเป็นลูกแม่จริงๆไหม ทำอะไรเคยคิดถึงความรู้สึกของฉันบ้างหรือเปล่า พ่อเดินออกไปทาง แม่ไปอีกทาง เหลือเพียงฉันกับความว่างเปล่า ... ให้มันได้อย่างนี้สิ! ชีวิตอีแนน โชคดีที่ยังมีรถมอเตอร์ไซม์คู่ใจ ไม่งั้นได้เดินไปโรงเรียนแน่เพราะเงินหมดแล้ว ช่วงเที่ยงฉันแยกตัวมาเข้าห้องน้ำ บอกพวกมันว่าท้องเสียแต่ความเป็นจริงแค่หาข้ออ้างปฏิเสธมื้อกลางวันเท่านั้นเอง “แนนเสร็จยัง” น้ำตาลตะโกนเรียก ฉันคิดว่ามันไปกินข้าวแล้วซะอีก “ไปก่อนเลยเดี๋ยวไม่มีที่นั่งหรอก” “พวกมันไปจองโต๊ะแล้ว เดี๋ยวกูรอ” “...” ดูเหมือนฉันจะพ่ายแพ้ให้กับความเป็นเพื่อนของมันซะแล้วสิ เปิดประตูออกไปมันก็รอจริงๆค่ะ อยู่หน้าห้องน้ำเลย “มึง...” “ว่าไง? อาการมันเป็นยังไงไหนบอกหมอสิ” “กูลืมเอาเงินมาอ่ะ มึงไปกิน...” “กูมี ตังค์ออกแล้วค่อยคืนก็ได้ โอเคนะ!” ไม่พูดเปล่ามันยังล้วงเงินในกระเป๋ามาให้ฉันอีกด้วย เป็นแบงค์ห้าร้อยค่ะ “ข้าวจานละสามสิบเองนะ” “เออน่า ช่างมันเหอะ ไปกินข้าวกัน” “ขอบใจนะ” “จ่ายดอกเบี้ยด้วยยี่สิบ” “ฮ่าๆ เออ” ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าตัวเองจะมาถึงจุดนี้ แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีหลงเหลืออยู่บ้าง อย่างน้อยเพื่อนก็ยังใจดีกับฉัน ทำพาร์ทไทม์เสร็จสามทุ่มก็มาที่ร้านต่อเลย แต่วันนี้คนเยอะค่ะ ถ้าโชคดีขอให้ฉันได้นั่งกับลูกค้าเถอะ อาจจะถูกแทะโลมไปบ้างแต่ถ้าได้ทิปก็เอาค่ะ “แนน วันนี้ดริ้งนะ แต่เดี๋ยวเจ๊เลือกกลุ่มลูกค้าให้เองเพื่อความปลอดภัยและเซฟตัวเองให้ได้มากที่สุดด้วยล่ะ” “โอเคค่ะ” ขานรับอย่างเข้าใจก่อนจะเปลี่ยนชุดและออกไปหน้าร้าน “น้องแนนโต๊ะเก้านะ พี่อยู่โต๊ะแปดมีอะไรเรียกได้เลย” คนนี้ชื่อพี่ส้มค่ะ เป็นอีกคนที่ใจดีกับฉันพอๆกับเจ๊ม่านนั่นแหละ “ได้เลย หนูจะแหกปากดังๆนะ” ฉันว่ายิ้มๆ หลังจากนั้นแค่เพียงไม่นานกลุ่มลูกค้าก็มาค่ะ ได้ยินมาว่ากลุ่มนี้เป็นลูกค้าประจำและค่อนข้างที่จะเป็นส่วนตัว พูดง่ายๆเรื่องมากนั่นเอง ในส่วนของงาน ฉันไม่ได้ขายดื่มเหมือนพี่ๆนะคะ เป็นข้อยกเว้นเฉพาะฉันคนเดียว เวลาสายรายงานว่าตำรวจจะลงร้าน ฉันก็จะถูกปลีกตัวมาอยู่ในห้องก่อน รู้แหละว่ามันผิดแต่มันจำเป็นต้องทำค่ะ “เป็นเด็กใหม่เหรอเราน่ะ” ใครคนหนึ่งเอ่ยทักทายฉัน คุ้นหน้าเหมือนเคยเจอที่ไหนค่ะ แต่มันนึกไม่ออก “ทำมาหนึ่งปีแล้วค่ะ แต่หนูไม่ค่อยได้นั่งกับลูกค้าเท่าไหร่” “เราเคยเจอกันไหม” “เออใช่ พี่คุ้นหน้าเราจังเลย” พี่อีกคนเสริมขึ้นมาบ้าง “ถ้าเคยก็คงเป็นที่นี่แหละค่ะ ถ้าพวกพี่มาบ่อย” ฉันว่ายิ้มๆ เขามากันสามคนค่ะ แต่มีที่ว่างอีกหนึ่งที่ เมื่อชงเหล้าเสร็จฉันจึงหันไปถามเพื่อคลายความสงสัย “เดี๋ยวมีมาเพิ่มอีกเหรอคะ แก้วที่วางตรงนั้น?” “นั่นไง มันมาพอดีเลย” “...” ถึงกับชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเขาคนนั้นหยุดยืนตรงหน้าฉัน แถมยังช้อนสายตามองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกด้วย “เอ้า! นั่งดิมึงจะมองอีกนานไหมไอ้ไกด์” “เออ มองอะไรนักหนา” “ถูกใจก็จิ้มไม่ได้นะเว้ย ไอ้ม่านสั่งไว้ ฮ่าๆๆ” “แก่แดดขนาดนี้กูจิ้มไม่ลงหรอก” หนอย... ไอ้บ้านี่ด่าฉันอีกแล้วค่ะ “คำก็แก่แดด สองคำก็แก่แดด!! ถึงจะแก่แดดแต่น่ารักนะเฮีย คิกคิก” “น่ารักตายแหละ ยัยตุ๊กตาผี!” ไม่พูดเปล่า ไอ้เฮียมันยังมองแรงใส่ฉันอีกด้วย “แต่งตัวอะไรวะ” “แต่งแบบตุ๊กตาผี!!” ขี้เกียจเถียงแล้วค่ะ ประชดไปซะเลยจะได้จบๆ “เดี๋ยวนะ มึงรู้จักน้องเขาด้วยเหรอไอ้ไกด์” “เพื่อนของเด็กไอ้ทิวไง ที่มันพาไปทะเลกับเราตอนนั้นน่ะ” “อ๋อ! น้อง... น้องแนนใช่ไหม?” “ค่ะ หนูก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าเคยเจอพวกพี่ที่ไหน ถ้าคนบ้าแถวนี้ไม่พูดก็ยังคงสงสัยอยู่ ^_^” -------------------- น้องแนนหนูต้องใจเย็นๆนะลูก เดี๋ยวไอ้เฮียมันแดกหัวเอา -_- ***กรณีศึกษา*** เด็กนั่งดริ้ง,PR ไม่ใช่อาชีพขายตัวนะคะ พวกเขามีหน้าที่ขายดื่ม ชักชวนให้ลูกค้าสั่งเยอะๆ แต่ละร้านไม่เหมือนกัน บางครั้งร้านแค่ให้เด็กมานั่งดื่มด้วยเฉยๆ ส่วนใครจะไปต่อนอกรอบอันนั้นแล้วแต่คนนะ ได้เงินดีแต่ก็ใช่ว่าจะสบายเพราะต้องแลกมาด้วยสุขภาพเช่นกัน ส่วนใหญ่ทำเพื่อส่งตัวเองเรียน ตอบสนองในสิ่งที่ตัวเองอยากได้ ส่งให้พ่อแม่หรือเลี้ยงลูกก็ว่ากันไป แต่ด้วยความที่มันต้องเอนเตอร์เทรนเอาอกเอาใจ มันก็เลยถูกมองไปในแง่ลบแบบนั้น
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD