“ครับนายน้อย”
เซอร์เกรับคำเสร็จก็จะถอยหลังก้าวออกไปจากห้องนั่งเล่นเพื่อปล่อยให้คอร์เนลอยู่ตามลำพัง แต่ก็ถูกเจ้าของห้องเรียกเอาไว้เสียก่อน
“จะไปไหนล่ะเซอร์เก มาแล้วก็อยู่ดื่มด้วยกันก่อนสิ วันนี้ฉันรู้สึกเหงา”
คนสนิทหันกลับมา กำลังจะนั่งกับพื้นพรมแต่ก็ถูกคอร์เนลสั่งห้ามเสียงเฉียบ พร้อมๆ กับผายมือไปที่โซฟานุ่มตรงหน้า
“บอกกี่ครั้งแล้วว่าฉันไม่ชอบปกครองคนอย่างทาส ขึ้นมานั่งด้วยกันนี่ เร็วเข้า”
“ขอบคุณครับนายน้อย”
เซอร์เกรีบกล่าวขอบคุณ พร้อมๆ กับทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาตัวตรงข้ามกับเจ้านายหนุ่ม เขาเลือกจะทำหน้าที่รินวอดก้าราคาแพงให้กับคอร์เนลโดยที่ตัวเองไม่คิดจะดื่มแม้แต่หยดเดียว
“จะไม่ดื่มหรือเซอร์เก”
เซอร์เกส่ายหน้าช้าๆ
“นายน้อยก็รู้ว่าผมเลิกดื่มมันนานแล้ว”
ชายวัยเฉียดเกษียณหวนคิดถึงความทรงจำของตัวเองในอดีต เพราะเหล้าทำให้เขาต้องสูญเสียภรรยาอันเป็นที่รักไปอย่างไม่มีวันกลับ
คอร์เนลพยักหน้ารับอย่างเข้าใจในความรู้สึกของคนสนิท
เซอร์เกเห็นนายน้อยของตัวเองนั่งดื่มเงียบๆ ก็เริ่มชวนคุย
“ถ้านายน้อยเหงา ทำไมไม่แต่งงานสักทีล่ะครับ ผมว่านายน้อยน่าจะมีความสุขมากกว่านี้”
หนุ่มหล่อส่ายหน้าช้าๆ
“นายก็รู้นี่เซอร์เก ว่าพวกผู้หญิงน่ารังเกียจมากแค่ไหน พวกหล่อนติดป้ายราคาค่าตัวของตนเองไว้ที่หน้าผากยามที่เยื้องย่างเข้ามาหาผู้ชาย ยอมขายศักดิ์ศรีเพื่อแลกกับเงินทอง ฉันยอมทนเหงาอยู่คนเดียวเสียดีกว่าต้องลดตัวลงไปเกลือกกลั้วกับผู้หญิงพวกนั้น”
“แต่ไม่ใช่ทุกคนหรอกครับนายน้อย ผู้หญิงดีๆ ก็ยังมีอยู่ในโลกใบนี้ อย่างเช่นคุณแม่ของนายน้อยและภรรยาของผม” เซอร์เกพยายามโน้มน้าว แต่คอร์เนลมีอคติกับผู้หญิงเกินกว่าจะทำได้สำเร็จ
“หนึ่งในล้าน หรือหนึ่งในสิบล้านคนกันล่ะ ไม่เอาแล้วเซอร์เก เลิกพูดเรื่องนี้เถอะ เดี๋ยวจะเสียบรรยากาศซะเปล่า”
คอร์เนลตัดบทเสียงเรียบ ยกแก้ววอดก้าขึ้นดื่มอึกใหญ่ แล้วก็เหมือนจะนึกอะไรได้จึงหันมาพูดกับคนสนิทที่นั่งอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง
“ไปนอนเถอะเซอร์เก ฉันชักอยากอยู่คนเดียวแล้วล่ะ”
“ครับนายน้อย...” เซอร์เกลุกขึ้น ก้มศีรษะให้ ก่อนจะเดินจากไปอย่างเงียบๆ
หนุ่มรัสเซียถอนใจออกมาแรงๆ เมื่ออยู่ตามลำพัง สมองกำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับคำพูดของคนสนิทอย่างเอาเป็นเอาตายทีเดียว
แต่งงาน?
คำๆ นี้ไม่เคยอยู่ในหัวของเขามาก่อน พอๆ กับที่เขาไม่เคยเจอผู้หญิงที่ถูกใจนั่นแหละ ทุกคนที่ผ่านมาก็แค่เป็นที่ระบายความอึดอัดบนเตียงเท่านั้น ไม่มีใครทำให้เขาติดใจจนต้องเรียกกลับมาใช้ซ้ำสองเลยแม้แต่คนเดียว
แต่เขาก็มีความสุขแล้วไม่ใช่หรือ ที่เวลาทุกหยาดหยดหมดไปกับงานกองพะเนินของธุรกิจในเครือซีร์ยานอฟที่ตัวเองดูแลอยู่ทั้งหมด คอร์เนลถามตัวเองและก็ยิ้มออกมาเมื่อได้คำตอบที่พึงพอใจ ถูกต้องที่สุด ผู้หญิงเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยปรารถนาในชีวิต
หนุ่มหล่อปานเทพบุตรยกแก้ววอดก้าขึ้นดื่มอีกครั้ง ก่อนจะวางแก้วใบสวยลงบนโต๊ะไม้มะฮอกกานีตรงหน้าอีกครั้ง จากนั้นร่างสูงใหญ่เกือบร้อยเก้าสิบเซนติเมตรของคอร์เนลก็ผุดลุกขึ้นยืนตระหง่าน ช่วงขาเพรียวกำยำก้าวพาเจ้าของร่างมุ่งสู่ห้องนอนที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของคฤหาสน์ทันที
“ตื่นได้แล้วลินดา วันนี้เรามีเรียนตอนเช้านะ”
ยาหยีที่แต่งเครื่องแบบนักศึกษาเรียบร้อยแล้วพยายามปลุกเพื่อนรักของตัวเองอีกครั้งหนึ่งหลังจากพยายามมาหลายรอบ แต่ผลก็เหมือนเดิมคือลินดาไม่ยอมลุกขึ้น แถมยังมีหน้ามาฝากให้หล่อนลาป่วยกับอาจารย์อีกด้วย
“ฉันลุกไม่ไหว ลาป่วยให้ด้วยแล้วกัน”
“ไม่ได้นะลินดา ลุกขึ้นแล้วไปอาบน้ำแต่งตัวซะ”
คราวนี้ยาหยีเลือกที่จะไม่ยอมปล่อยให้ลินดาโอ้เอ้อีกต่อไปแล้ว หญิงสาวดึงร่างของลินดาให้ลุกขึ้นได้สำเร็จ
“ยังเหลือเวลาอีกสิบห้านาที...เร็วเข้า”
ลินดาที่ยังอยู่ในอาการงัวเงียเดินโซเซตรงไปยังห้องน้ำที่อยู่ถัดออกไปเล็กน้อย แต่ระหว่างทางก็ยังอดบ่นงึมงำด้วยความขัดใจไม่ได้ที่ถูกยาหยีลากตัวขึ้นมาจากที่นอน
“ถ้าฉันรู้ล่วงหน้าว่าเธอจะเป็นมารขวางการนอนหลับของฉันละก็ ฉันจะไม่มีวันอนุญาตให้เธอมาอยู่ด้วยหรอกยายลูกหยี”
ยาหยีส่ายหน้าน้อยๆ มองร่างของเพื่อนที่หายเข้าไปภายในห้องน้ำด้วยรอยยิ้มกริ่ม
“แต่เธอเปลี่ยนใจไม่ได้แล้วล่ะจ้ะลินดา ฉันยึดห้องเธอไว้แล้วครึ่งหนึ่ง”
“ย่ะ!” ลินดาตะโกนออกมาจากห้องน้ำด้วยน้ำเสียงขัดใจ
ยาหยีหัวเราะออกมาเบาๆ ขณะพาตัวเองไปทรุดนั่งลงบนเก้าอี้นวมริมหน้าต่าง เหม่อมองออกไปยังพื้นเบื้องล่าง และด้วยความสูงจากพื้นดินเกือบยี่สิบเมตรแบบนี้ ทำให้ทุกสิ่งในสายตาดูเล็กกระจ้อยร่อยเหลือเกิน ไม่เว้นแม้แต่รถยนต์คันยาวเฟื้อยสีดำที่จอดเรียงรายอยู่หน้าหอพักของหล่อน
“รถใครกัน ทำไมมากันเยอะแยะแบบนี้” ยาหยีพึมพำออกมาด้วยความแปลกใจ และก็ต้องเลิกให้ความสนใจกับมันทันทีเมื่อลินดาเปิดประตูออกมาจากห้องน้ำ
“ฉันใช้เวลาไปเท่าไรแล้วล่ะแม่ลูกหยีคนงาม”
คนพูดประชดเดินตรงไปจัดการแต่งองค์ทรงเครื่องที่ตู้เสื้อผ้า ลินดาสลัดผ้าขนหนูออกจากตัวโดยไม่คิดจะอับอายต่อสายตาของเพื่อนร่วมห้องเลยแม้แต่นิดเดียว ยาหยีเสียอีกที่ต้องหันหน้าหนีด้วยความอับอาย
“เธอไม่ได้อยู่คนเดียวแล้วนะลินดา” ต่อว่าออกไปอย่างขัดเคือง แต่คนถูกว่ากลับหัวเราะร่วนออกมาอย่างขบขันซะงั้น
“รู้แล้วย่ะว่าตอนนี้ไม่ได้อยู่คนเดียว แต่ฉันไม่อายนี่ เราก็มีเหมือนๆ กัน ถึงแม้บางจุดจะขนาดไม่เท่ากันก็ตาม”
“ดูพูดเข้า ฉันไปรอข้างนอกดีกว่า” คำพูดทะเล้นๆ ของลินดายิ่งทำให้ยาหยีแก้มแดงมากขึ้นอีกหลายเท่าตัว และด้วยความขัดเขินจึงทำให้หญิงสาวเลือกที่จะออกไปรอนอกห้องแทน
“แล้ววันหนึ่งหากเธอต้องแก้ผ้าต่อหน้าผู้ชาย เธอจะไม่เป็นลมเป็นแล้งไปเลยเหรอแม่ยาหยี” ลินดาส่ายหน้าออกมากับความไร้เดียงสาของเพื่อนสนิท ก่อนจะรีบลงมือแต่งตัวและรีบตามไปสมทบกับยาหยีหน้าห้องพักอย่างรวดเร็ว