“อืออ…อุ๊บ!” เสียงงัวเงียดังเบาๆ เมื่อรู้สึกหนักไปทั้งตัวไม่อาจขยับได้ หนังตาปิดสนิทค่อยๆ ลืมขึ้นก่อนภาพตรงหน้าจะทำเอาซูหนี่หรือที่ยามนี้กลายเป็นเสิ่นรั่วซีแทบกรีดร้องออกมา
“หากเจ้าตะโกนโวยวายอีกครั้งครานี้พวกคนใช้คงรีบเข้ามาเป็นแน่” มือหนารีบปิดปากอิ่มทันควันเพราะดูเหมือนนางจะตกใจอีกแล้ว
จะไม่ให้ตกใจได้ยังไงกันก็เมื่อคืนหญิงสาวรวบรวมแรงใจทบทวนสถานการณ์อย่างละเอียดอีกครั้งจนได้ข้อสรุปว่า ยุคโบราณส่วนใหญ่สตรีที่ออกไปใช้ชีวิตเพียงลำพังนั้นยากเย็นนัก หากหย่าร้างตระกูลฝั่งตนก็คงไม่คิดรับกลับเข้าไปให้เสื่อมเสีย นอกจากนี้พระเอกแสนดียังเป็นสามีซึ่งแต่งงานกับร่างเดิมอย่างถูกต้องเท่ากับว่าเธอที่มาอยู่ในร่างนี้มีสิทธิ์อย่างชอบธรรมในการครองคู่กับเขา ต่อให้นางเอกในนิยายโผล่มาแล้วอย่างไรถ้าผู้ชายเขารักเขาหลงภรรยาอยู่ก่อนแล้วคงไม่คิดเหลียวมองหญิงอื่นหรอก ที่สำคัญนิสัยใจคอของหยางจื่อหานนั้นมิใช่คนเจ้าชู้ เธอจึงตกลงปลงใจจะใช้ชีวิตนี้ในฐานะฮูหยินตระกูลหยาง
แต่ภาพยามเช้ามันก็อดทำให้ตกใจไม่ได้ ท่อนแขนอันเต็มไปด้วยมัดกล้ามรองหัวให้ได้นอนหนุนส่วนอีกข้างกอดเอวบางเอาไว้ ใบหน้าของเธอเกือบฝังเข้าไปในแผงอกนูนเด่นกระแทกตา เหลือบมองลงมาขนมปังหกก้อนชวนให้หิวอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม ขาเรียวขาวของตนเองพาดรัดขาแข็งแรงราวกับงูเลื้อยพันเหยื่อ ตกลงที่ขยับตัวไม่ได้ไม่ใช่แค่เขากอดเธอ…แต่เพราะเธอกอดรัดเขาด้วย!
“…ข้าขออภัยนะเจ้าคะ” แม้จะฝึกพูดสรรพนามในยุคนี้หลายครั้งแต่ก็ยังไม่ชินเสียที สุดท้ายจึงยังคงใช้วิธีเรียบเรียงประโยคในใจก่อนแล้วค่อยพูดออกมา
“จะขอโทษทำไมในเมื่อพี่คือสามีของเจ้า” ดวงตาคมทอดมองใบหน้าแดงระเรื่อที่เริ่มกลายเป็นสีแดงก่ำซึ่งนางมิเคยมีท่าทีเช่นนี้กับเขามาก่อนเลยสักครั้ง มันช่าง….ดูน่ารักไม่น้อย
“แต่ว่า…” ถึงจะทำใจมาแล้วแต่ลืมตาปุ๊บเจอหน้าหล่อบาดใจปั๊บมันก็ต้องทำตัวไม่ถูกน่ะสิ!
“พี่รู้ว่าเจ้ายังจำอะไรไม่ได้ แต่เชื่อใจได้ว่าสามีคนนี้มิทำร้ายเจ้าแน่ อ่อ อีกอย่างเจ้าควรเรียกพี่ว่า…ท่านพี่นะ น้องหญิง” เห็นโฉมสะคราญก้มหน้างุดจนจมไปกับอกของตนก็ทำให้ชายหนุ่มอดหยอกเย้าอีกนิดไม่ได้
“….” จิตรกรสาวรู้ซึ้งถึงคำบรรยายมากมายเกี่ยวกับพ่อไมโครเวฟคนนี้แล้วว่าล้วนเป็นความจริง สีหน้าอ่อนโยนกับรอยยิ้มอบอุ่นยามเอ่ยเย้าแหย่เธอมันช่างพุ่งชนหัวใจเข้าอย่างจัง ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมนางเอกถึงตกหลุมรักผู้ชายคนนี้ง่ายๆ
“อย่าเหม่ออยู่เลย เรารีบลุกไปรับสำรับเช้ากันเถิด” คนตัวโตบีบจมูกรั้นด้วยความเอ็นดู ท่าทางเหมือนเด็กน้อยไร้เดียงสาชวนให้รู้สึกอยากดูแลนางมากขึ้นกว่าเดิม ไหนจะสายตาสงสัยมีอะไรก็แสดงออกมาเสียหมด แบบนี้จะให้เขาไม่สนใจได้เช่นไร
“ค่ะ เอ่อ เจ้าค่ะ” สมองน้อยๆ พร่าเบลอคิดอะไรไม่ออกพูดผิดพูดถูกก่อนร่างบางจะรีบผุดลุกจากที่นอน
“เข้ามา” เสียงทุ้มเข้มเรียกสาวใช้ให้เข้ามาในห้อง พวกนางล้วนปฏิบัติดูแลทั้งสองอย่างดีจนกระทั่งแต่งตัวเสร็จ
ผางซูหนี่กำชับตนเองว่าต่อไปนี้ต้องฝึกคิดในใจให้เป็นภาษาโบราณด้วย มิเช่นนั้นยามหลุดปากแต่ละทีคงได้ถูกคนรอบข้างสงสัย และยามนี้นางคือ เสิ่นรั่วซี บุตรีตระกูลเจ้ากรมโยธาซึ่งลืมไปแล้วว่าภูมิหลังของบ้านนี้เขารักลูกสาวรึไม่ คงต้องรอเวลาแอบถามสาวใช้คนสนิทไปทีละเรื่อง
คนตัวเล็กเดินตามการจับจูงของชายหนุ่มโดยไม่เอ่ยปากชวนคุยสักคำด้วยกังวลว่าจะหลุดปากพูดอะไรแปลกๆ ออกไป หยางจื่อหานเหลือบมองอีกฝ่ายเป็นระยะหากรู้สึกว่าเดินเร็วเกินไปก็จะผ่อนฝีเท้าลงเล็กน้อย ความใส่ใจนี้ไม่มีใครรู้นอกจากตัวเขาเองซึ่งวันนี้นายท่านของจวนดูอารมณ์ดีกว่าปกติมาก
กับข้าว 4 อย่าง ของหวานหนึ่งอย่างวางเรียงบนโต๊ะด้วยความประณีต อาหารทุกเรือนได้รับเหมือนกันหมด ตระกูลหยางเป็นคนซื่อสัตย์ไม่รับสินบนแต่ร่ำรวยจากทรัพย์สินที่บรรพบุรุษสร้างมา แม้มีกินมีใช้แต่พวกเขาก็ยังประหยัดในสิ่งอันสมควร อาหารมากเกินไปอย่างไรก็กินไม่หมด ทั้งยังไม่ควรให้ข้ารับใช้กินของเหลือ ดังนั้นแล้วส่วนที่ประหยัดก็เปลี่ยนเป็นมื้ออาหารแจกจ่ายให้กับเหล่าบ่าวไพร่ในเรือนแทน
“เห็นว่าคนความจำเสื่อมอาจมีหลายสิ่งเปลี่ยนไปจากเดิม พี่มิรู้ว่าน้องหญิงยังชอบกินหมูตุ๋นอยู่หรือไม่” ชายหนุ่มเอ่ยถามขณะมองดวงตากลมคู่สวยกวาดตามองอาหารตรงหน้า
“เอ่อ….ข้าไม่รู้เจ้าค่ะ….คงต้องลองกินดูก่อน” คำตอบนั้นเรียกรอยยิ้มบางออกมา มือหนาคีบอาหารคำแรกให้ภรรยาอย่างละนิดอย่างละหน่อย ท่าทางเอาอกเอาใจนั้นทำให้สาวใช้ที่เห็นขัดเขินไปตามๆ กัน
“ขอบคุณเจ้าค่ะ…ท่านพี่” เสียงหวานอ้อมแอ้มตอบ เกิดมายังไม่เคยถูกทำให้รู้สึกตัวร้อนเหมือนจะระเบิดเช่นนี้เลย
“หากไม่ถูกใจรสชาติก็เรียกคนครัวมาบอกกล่าวได้ พี่จะสั่งพ่อบ้านเอาไว้ให้” ทำไมนางช่างดูราวกับกระรอกตัวน้อยยิ่งนัก ยิ่งยามก้มหน้าก้มตาเคี้ยวแก้มตุ่ยยิ่งเหมือนจริงๆ
สตรีผู้ถูกมองว่าเป็นกระรอกพยักหน้ารับก่อนคีบอาหารเข้าปากประหนึ่งไม่อยากคุยกับคู่สนทนา ไม่รู้ทำไมต่อให้คุยเรื่องอะไรเขาก็มักทำให้อายจนอยากจิกหมอนแล้วกรีดร้องแบบไร้เสียงเพื่อระบายออกมา
“ตระกูลหยางไม่เคร่งครัดกฎระเบียบมากนักดังนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลไป ไม่เข้าใจสิ่งใดถามคนข้างกายหรือเรียกพ่อบ้านมาสอบถามได้เสมอ งานในจวนยามนี้พี่ขอให้ท่านแม่ช่วยดูแลไปก่อนหากเจ้าคิดว่าพร้อมเมื่อใดค่อยไปขอเรียนรู้จากท่านก็แล้วกันนะ” ขณะกินข้าวเสียงทุ้มก็บอกเรื่องสำคัญกับภรรยาไปด้วย
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ” คนงามพยายามนึกว่างานในจวนมีสิ่งใดบ้าง คงเป็นการจัดการบัญชีนั่นก็ไม่ได้ยากเท่าไหร่ หรืออาจรวมไปถึงการออกคำสั่งข้ารับใช้อันนั้นนางก็ถนัดไม่น้อย ชีวิตก่อนที่บ้านมีสาวใช้ถึง 8 คน
“มื้อเที่ยงหากเจ้าเหงาก็ไปเรือนกลางนั่งเล่นกับท่านแม่ได้ จวนนี้ยังมีน้องสาวน้องชายฝาแฝดของพี่ด้วยเจ้าน่าจะหายเบื่อไม่มากก็น้อย” รั่วซีมองบุรุษผู้เป็นสามีที่ยามนี้ทำตัวคล้ายบิดายามส่งบุตรสาวเข้าโรงเรียนวันแรกอย่างขบขัน
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วงนะเจ้าคะ” ความห่วงใยของเขาทำให้ความเครียดต่อหลายสิ่งหลายอย่างหายไปมาก เหตุใดชายคนนี้จึงแสนดีเหลือเกินนะ
“พี่เป็นสามีของเจ้า ย่อมต้องห่วงใยเจ้าถูกต้องแล้ว” ถึงพูดแบบนั้นแต่ความเอ็นดูนี้เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อหญิงสาวเปลี่ยนไป เพราะเมื่อก่อนต่อให้เอ่ยสิ่งใดไปก็จะได้รับแต่ความเงียบงันหรือตอบไปทีกลับมา
“เช่นนั้นข้าจะเดินไปส่งที่หน้าจวนนะเจ้าคะ” เห็นอีกฝ่ายใส่ใจนางถึงเพียงนี้โฉมงามจึงอยากตอบแทนอะไรบ้าง
“ได้” ใบหน้าหล่อเหลาตอบรับด้วยรอยยิ้มไปจนถึงดวงตา นี่สินะความรู้สึกของการได้รับความรักจากคู่ชีวิต
มื้อเช้านั้นผ่านไปด้วยดี หลังจากเดินไปส่งผู้เป็นสามีรั่วซีจึงตรงกลับเรือนหวังเรียกสาวใช้ซิ่วซิ่วมาสอบถามเรื่องในเรือนอย่างละเอียด ไม่ว่าอย่างไรเสียเป้าหมายในชีวิตนี้ก็คือการผูกไมตรีกับครอบครัวพระเอกให้ได้ ถ้าแม่นางเอกโผล่มาอย่างน้อยนางก็ยังมีคนหนุนหลัง อีกทั้งในเมื่อตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะใช้ชีวิตในฐานะฮูหยินของตระกูลหยาง ก็คงต้องบอกบรรดาตัวละครหญิงทั้งหลายที่จ้องจะจับสามีของนางว่า
‘คิดจะแย่งสามีข้า เจ้าฝันไปหรือ!’