ปราบครั้งที่ 2

3375 Words
[ซ่า] ผมโบกรถมอเตอร์ไซค์ไปส่งที่หอ รถมอเตอร์ไซค์คันเก่าที่พอจะขี่ได้เหลือน้ำมันแค่ก้นถัง วันนี้ผมเลยไม่ได้เอาออกไปขี่เพราะไม่มีเงินเติมน้ำมัน แต่เมื่อเย็นพี่จี้ให้เงินมาตั้งหนึ่งพัน ไอ้แก่ของผมเลยกลับมาโลดแล่นบนถนนอีกครั้ง ผมเติมน้ำมันจนเต็มถังแล้วก็รีบบึ่งรถไปที่บ้านของพลอยซึ่งห่างออกไปจากหอผมพอสมควร ผมชอบขี่รถเร็วฉวัดเฉวียนไปมา มันท้าทายและตื่นเต้น มากไปกว่านั้นคือผมรู้สึกว่าได้ปลดปล่อย ยามที่แรงลมตีกระทบหน้าผมรู้สึกว่าตัวเองได้รับอิสระ บ้านของพลอยอยู่ในหมู่บ้านจัดสรรขนาดสองชั้น ผมเหยียบขาตั้งลงแล้วดับเครื่องยนต์ กดโทรศัพท์ต่อสายหาพลอย แต่ต้องโทรถึงสองครั้งกว่าพลอยจะรับ “อะไรเล่า จะนอนแล้ว” พลอยว่าเสียงแข็ง “อยู่ข้างล่าง ลงมาหาหน่อย” ผมบอก “ซ่า พูดไม่รู้เรื่องหรือไง บอกว่าจะนอนแล้ว” พลอยยังคงพูดกับผมด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ผมเองก็เริ่มโมโหแล้วเหมือนกันเพราะไม่ใช่คนใจเย็น อะไรขัดใจนิดหน่อยก็รู้สึกหงุดหงิดได้ง่าย “แล้วมึงพูดไม่รู้เรื่องเหรอวะ กูบอกว่าให้ลงมาเจอหน่อยมันจะตายหรือไง หรือให้กูกดกริ่งฮะ” ผมเริ่มโมโห ระยะนี้ผมทะเลาะกับพลอยบ่อยมาก เหมือนจะรู้เหตุผลเพียงแต่ผมไม่ยอมรับ เหมือนที่พวกเพื่อนๆ มันด่าผมไงว่าผมโง่ “อย่ามาขึ้นมึงกูนะซ่า” พลอยตวาด ผมสะกดอารมณ์ตัวเองไม่ได้ลุกขึ้นยืนแล้วออกแรงถีบประตูรั้วแรงๆ แก้เครียด “ก็ลงมาสิ ห้านาทีก็ได้” “...” “พลอยลงมาหาหน่อย” ผมพูดเสียงอ่อน ยอมสุดๆ ละ “อืม รอแป๊บ” ได้ยินเสียงถอนหายใจ และในที่สุดพลอยก็ยอม ผมกดวางสายยัดโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกง รอไม่นานพลอยก็ลงมาในชุดนอนเสื้อสายเดี่ยวตัวบางแล้วก็กางเกงขาสั้น อยากกอดว่ะ พลอยเป็นผู้หญิงผิวสีน้ำผึ้ง ไม่สูงมากประมาณร้อยหกสิบ ไม่ผอมไม่อ้วนดูมีน้ำมีนวลจับนุ่มมือดี กับผมสีดำยาวสวยจรดแผ่นหลัง พลอยอาจไม่ใช่ผู้หญิงหน้าตาดี เพราะผมไม่เคยคบใครที่หน้าตา แต่ไม่รู้ทำไมพอรักแล้วแม่งก็รักอยู่อย่างนั้น “เมาหรือเปล่า” พลอยถาม ขยับเข้ามาใกล้เพื่อดมกลิ่น ผมเลยคว้าตัวพลอยมากอด “ไม่ได้เมา กินไปนิดเดียวเอง” ผมหอมแก้มพลอยทั้งสองข้างด้วยความคิดถึง พลอยไม่ได้ห้าม ยกมือขึ้นกอดตอบผม “ดึกแล้วก็ไม่ไปหลับไปนอน ไม่รู้จะมาทำไม พรุ่งนี้ค่อยเจอกันก็ได้” พลอยบ่นอยู่กับอกผม “คืนนี้ไปนอนด้วยกันหน่อยดิ” ผมพูด “ไม่ อย่ามาตลก กลับไปได้แล้วครบห้านาทีแล้ว” พลอยดันตัวออกจากอดของผม ผมขมวดคิ้วขัดใจในทันที “ทำไมไปนอนไม่ได้” “ซ่า อย่ามาเอาแต่ใจได้ไหม ไม่ได้ขอพ่อกับแม่แล้วท่านก็นอนแล้ว ดูเวลาด้วย ไว้วันหลังแล้วกัน กลับไปได้แล้ว” พลอยไล่ ผมก็เลยพยักหน้าส่งๆ ลูบหัวที่เริ่มยาวรุงรังเพราะไม่ได้ตัดมาสองสามเดือน “ทำไมต้องไล่” ผมไม่เข้าใจ ทำไมมีแต่ผมคนเดียววะที่อยากเจออยากเห็นหน้าอยากกอด “ถ้าจะชวนทะเลาะก็กลับไปเถอะ” “ทำไม เพราะว่ากูมันไม่มีเหมือนคนอื่นที่มึงคุยด้วยงั้นเหรอ” ผมพูดออกมา เรื่องนี้ผมรู้มาจากเพื่อนไม่ได้เห็นด้วยตนเอง ผมก็ไม่ได้ปักใจเชื่อที่เพื่อนบอกร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ พักหลังมานี้ผมแตะมือถือพลอยไม่ได้เลย ทั้งๆ ที่ปกติเอามาเล่นเกมก็ไม่เคยว่าหรือห้าม แต่เดี๋ยวนี้แค่แตะพลอยยังขึ้นเสียงใส่หาว่าผมไปยุ่งกับของส่วนตัว “นี่ อย่ามาหาเรื่องกันนะ จะหาว่าพลอยมีชู้หรือไง” “แล้วไม่จริงเหรอไง” “ใครกันแน่วะ ซ่าต่างหากที่มีผู้หญิงคนอื่น เพื่อนที่คบก็ดีๆ ทั้งนั้นเวลาอยู่ในวงเหล้า ทำตัวไม่มีอนาคต รู้ไหมว่ามันน่าเบื่อ” ผมหมดความอดทนกระชากไหล่พลอยทั้งสองข้าง มือที่กุมไหล่บีบแน่นจนพลอยร้องเจ็บ แต่ผมไม่ปล่อย ผมโมโหที่พลอยว่าเพื่อนผมและหาว่าผมมีคนอื่นทั้งๆ ที่ผมไม่เคยมีใคร ไม่เคยคุยกับใครด้วยแม้ว่าจะมีผู้หญิงสักกี่คนเข้าหาผมก็ตาม สิ่งที่พลอยพูดมันคือการกล่าวหาที่ผมโคตรจะเกลียด ว่าผมเรื่องไม่มีอนาคตผมไม่ว่า แต่อย่าเอาความผิดที่ผมไม่ได้ก่อมาว่าร้ายเผื่อกลบเกลื่อนความผิดของตัวเอง “ใครกันแน่ที่หาเรื่องทะเลาะ บอกไว้ก่อนเลยว่ากูไม่มีทางเลิกกับมึงหรอก มึงต้องเป็นของกูคนเดียวพลอย” ผมกัดฟันพูด ผลักตัวพลอยไปกระแทกกับประตูเหล็กอย่างแรงเพราะความโมโหอย่างขีดสุด “ไอ้เหี้ยซ่า เจ็บนะเว้ย” พลอยกรีดร้อง “เออ กูก็เจ็บเหมือนกัน” ผมพูดไว้แค่นั้นแล้วก็ยกขาขึ้นคร่อมรถขับกลับหอ ยิ่งดึกถนนยิ่งโล่งให้ผมได้ออกแรงบิดคันเร่งอย่างมันมือ พายุที่ก่อตัวอยู่ข้างในคอยแต่จะระเบิด ริมฝีปากผมเม้มแน่น เอาความรู้สึกทุกอย่างไปลงไว้ที่มือ สุดท้ายผมก็กลับมาถึงหออย่างไม่รู้ตัว รถไม่ชนตายก็บุญแค่ไหนแล้ว ผมเดินขึ้นหออย่างเหม่อลอย ถึงผมจะโกรธพลอยยังไง สุดท้ายผมก็ไปจากผู้หญิงคนนี้ไม่รอด ผมจะยอมอยู่เงียบๆ ตราบเท่าที่ยังจับไม่ได้คาหนังคาเขา แต่หากผมจับได้ว่าพลอยมีคนอื่นผมก็ไม่ไว้หน้าเหมือนกัน และผมจะไม่มีวันยอมให้พลอยทิ้งผมไปรักกับคนอื่น พลอยจะต้องอยู่กับผมคนเดียวจนกว่าจะตายจากกันไปข้าง ผมยืนอยู่หน้าห้อง หยิบกุญแจห้องไขเปิดประตูออก แต่สิ่งที่เห็นภายในห้องทำให้ผมก้าวเข้าไปไม่ได้ ไอ้กฤษรูมเมตของผมกำลังเอากับแฟนของมันอย่างถึงพริกถึงขิง ผมทำได้แค่ปิดประตูลงอย่างเงียบเชียบเพื่อไม่ให้รบกวนคนข้างใน หันหลังยืนพิงกำแพงแล้วไถลตัวทรุดลงนั่งกับพื้น เสียงครางและเสียงเตียงดังเล็ดรอดออกมาข้างนอก เวลาเที่ยงคืนกว่าแบบนี้คนส่วนมากนอนหลับกันแล้ว เสียงของคนในห้องสองคนจึงดังเป็นพิเศษ ไอ้กฤษเพื่อนร่วมสถาบันช่างเป็นรูมเมตของผม ความจริงคือผมมาขออยู่กับมันเพราะจะได้ประหยัดค่าหอ แทนที่จะเสียค่าเช่าคนเดียวเดือนละสามพันก็เสียแค่พันห้า ร่วมค่าน้ำค่าไฟก็สองพันนิดๆ ดีกว่าเสียคนเดียวสี่พันห้าพัน แต่มันก็ไม่ได้พาแฟนมันมานอนบ่อยเพราะแฟนมันอยู่บ้าน เหมือนที่ผมก็พาพลอยมานอนที่นี่เหมือนกันในวันที่มันไม่อยู่ ส่วนคำถามที่ว่าทำไมผมไม่ไปอยู่กับเพื่อนกลุ่มเดียวกัน ก็เพราะไอ้พวกนั้นมันอยู่บ้านกันหมด มีผมคนเดียวที่ออกมาอยู่หอพักเพราะไม่อยากอยู่บ้าน ผมอยากมีอิสระ ผมคิดแค่นั้น “อ๊าๆๆ อืม กะ กฤ...” ผมถอนหายใจ ยกขาขึ้นชันเข่าใช้แขนทั้งสองข้างโอบกอดตัวเอง ผมควรจะได้มีความสุขกับแฟนแต่พักหลังกลับทะเลาะกันไม่เว้นวัน ผมเคยคิดว่าพลอยจะเป็นคนมอบสิ่งที่ผมต้องการได้เหมือนที่เธอเคยบอก แต่ว่าวันนี้ผมเริ่มไม่แน่ใจว่าความรักของเรายังเหมือนเดิมไหม และก็เหมือนเดิมทุกครั้งที่ผมไม่มีใครอยู่เคียงข้าง มีเพียงตัวเอง น้ำตาหนึ่งหยดไหลออกจากตา ผมรีบปาดมันทิ้ง ไม่อย่างนั้นหยดที่สองที่สามและสี่ก็จะตามมา “เหนื่อยจังวะ” ผมบ่น ซบหน้าลงกับเข่า ไม่สนใจเสียงครวญครางของคนในห้อง ปล่อยตัวเองให้จมดิ่งอยู่กับความคิดที่วกวน ยิ่งคิดยิ่งหลงทาง ยิ่งหาหนทางยิ่งไม่เจอทางออก จากสิบนาทีเป็นครึ่งชั่วโมง จากครึ่งชั่วโมงเป็นสองชั่วโมงที่ผมต้องนั่งรออยู่หน้าห้อง เพราะไม่รู้จะไปที่ไหนเลยได้แต่นั่งรอให้คนทั้งสองคนเสร็จกิจกามเสียที แต่ดูท่าพวกมันจะคิดถึงกันและกันมากเกินไปจนร่างกายผมทนรอไม่ไหวเผลอหลับไปทั้งอย่างนั้น “ไอ้พัช! มานอนอะไรตรงนี้วะ ไอ้พัช ตื่น” ผมรู้สึกตัวเพราะเสียงเรียกและแรงเขย่าที่ต้นแขน ทำเอาตัวผมสั่นจนเกือบจะเอนล้มลงไปทั้งร่าง แต่ไอ้คนมาเรียกมันดึงแขนผมเอาไว้ก่อน “เสร็จแล้วเหรอวะ” ผมงัวเงียถาม เบิกตาโตๆ ของตัวเองมองรอบข้างก่อนจะมองรูมเมต ไอ้กฤษกับแฟนมันยืนมองผมด้วยแววตาเต็มไปด้วยความสงสัย แต่แฟนมันหลบตาติดเขินอายเล็กน้อย อยากจะบอกว่าไม่ทันแล้วแม่คุ๊ณ ทั้งภาพทั้งเสียงผมสัมผัสมาหมดละจากเมื่อคืนนี้ “เออ ขอโทษทีว่ะ เมื่อคืนเพลินไปหน่อย” ไอ้กฤษพูด “ไม่เป็นไร งั้นกูขอเข้าไปอาบน้ำในห้องนะ” ผมลุกขึ้นยืน เซเล็กน้อยเพราะเหน็บกินไปทั้งขา ผมอาบน้ำแล้วก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงต่อ ล้มเลิกการไปเรียนในวันนี้ พูดง่ายๆ ก็คือผมโดดเรียน ส่วนไอ้กฤษกับแฟนของมันออกไปตั้งแต่ที่ผมอาบน้ำแล้ว ผมหลับตั้งแต่เช้ายันบ่ายโมง ตื่นเพราะเสียงโทรศัพท์ที่ดังติดต่อกันไม่หยุดหย่อน ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าใครโทรมาถ้าไม่ใช่ไอ้พวกเพื่อนของผม ป่านนี้มันคงด่าผมไปถึงชาติหน้าแล้วที่โดดเรียนไม่โทรบอกพวกมัน “อะไรพวกมึง” ผมรับสาย “ไอ้เหี้ยพัช มึงหายหัวไปไหนวะไอ้สัด” มาก่อนคนแรกเลยคือไอ้นุ๊ก และก็เสียงก่นด่าของคนอื่นๆ ก็ดังตามมา มันคงเปิดเสียงให้ได้ยินกันทั่วหน้าแน่ๆ “กูอยู่หอ” ผมตอบ “แล้วทำไมมึงไม่มาเรียนฮะ” ไอ้หวายตะโกนใส่โทรศัพท์ เห็นมันอย่างนี้แต่มันเป็นคนที่ตั้งใจเรียนที่สุดในกลุ่ม “กูขี้เกียจ” พอผมตอบไปแบบนั้นก็ถูกพวกมันด่าอีกระลอกใหญ่ “กูจะไปกระทืบมึงถึงห้องเลย จะไม่มาก็ไม่บอก ปล่อยให้พวกกูเป็นห่วง คิดว่ามึงโดนอริสอยไปแล้วไอ้เหี้ย มึงทำกูเครียด” ไอ้ตูนร่ายยาว “เออๆ กูขอโทษที่ไม่ได้โทรบอก แต่กูสบายดี” ผมผิดเองที่ไม่ได้โทรบอกพวกมัน เด็กช่างอย่างเราจะทำอะไรก็ต้องระวังเพราะมีคนต่างสถาบันคอยจ้องจะเล่นงานอีกเพียบ ต่อให้เราไม่วิ่งเข้าไปหาปัญหา พวกมันก็พร้อมที่จะวิ่งเข้ามาหาเราเอง คนภายนอกไม่มีทางเข้าใจหรอก เพราะสุดท้ายเราก็เป็นได้แค่เด็กกุ๊ยเด็กอันธพาลต่อยตีกันให้ชาวบ้านเดือดร้อนไปวันๆ ไร้อนาคต ไม่มีอะไรดี “มึงห้ามทำแบบนี้อีกนะ พวกกูเป็นห่วง” ไอ้กานพูดเสียงจริงจัง “อืม รู้แล้ว ขอบใจพวกมึงมาก” ผมรู้ว่าพวกมันเป็นห่วงผมมาก “ให้พวกกูเข้าไปหาที่หอไหม” ไอกานถามอีก “ไม่ต้อง เดี๋ยวกูจะออกไปทำงาน” “เออๆ พรุ่งนี้เจอกันที่วิทยาลัย มึงห้ามโดดอีกเข้าใจนะ” ไอ้หวายกำชับ ผมอือออไปตามเรื่องแล้วกดวางสาย และในทันทีทันใด มือของผมก็กดโทรออกหาผู้หญิงที่ผมเพิ่งจะทะเลาะด้วยเมื่อคืน...พลอย สุดท้ายผมก็ยังรักเธออยู่ดี แต่สายแรกที่โทรไปพลอยไม่ยอมรับ กระทั่งสายที่สอง สายที่สามก็ยังไม่รับ ผมเริ่มหงุดหงิดจนต้องออกไปสูบบุหรี่ที่นอกระเบียงพลางกดโทรไปเรื่อยๆ สุดท้ายพลอยก็ปิดเครื่องหนี ถ้าไม่ติดว่าผมจะต้องออกไปทำงานผมคงบุกไปหาที่โรงเรียนไม่ก็ที่บ้านให้มันรู้แล้วรู้รอด พลอยอาจจะกำลังโกรธผมอยู่ที่ผมทำรุนแรงกับเธอเมื่อคืน ไม่เป็นไร วันนี้ผมจะปล่อยไปก่อน แต่พรุ่งนี้ถ้าพลอยยังไม่รับสายอีกมีเคลียร์ ผมออกไปทำงานด้วยอารมณ์ที่ไม่ดีนัก ไปถึงร้านสะดวกซื้อชื่อดังที่มีโลโก้เป็นเลขเจ็ดก็ถูกหัวหน้างานบ่นที่หน้าผมบึ้งยิ่งกว่ามีใครเอาตีนมานาบหน้า และให้ผมรีบปรับสีหน้าก่อนที่จะไปยืนคิดเงินตรงตำแหน่งแคชเชียร์ “เอาดีๆ พัช อย่าให้มีปัญหานะ” พี่นกเอ่ยเตือน ผมพยักหน้า เดินเข้าห้องน้ำเอาน้ำลูบหน้า ทิ้งความกลัดกลุ้มใจออกไปจากความคิดชั่วขณะ ยังไงผมก็ยังต้องทำงานหาเงินใช้ อย่าทำให้เกิดปัญหาเป็นดี เพราะผมขี้เกียจหางานใหม่แล้ว คืนนี้ผมทำงานแบบตั้งใจบ้างไม่ตั้งใจบ้าง จนกระทั่งถึงสามทุ่ม ผมเงยหน้าดูนาฬิกา อีกหนึ่งชั่วโมงก็จะเลิกงาน ผมอยากหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาแฟน แต่ทว่ายังทำงานอยู่ผมก็ไม่อยากจะเกเรมากนัก ตื้อดึง~ “เซเว่นอีเลฟเว่นสวัสดีครับ” ผมเอ่ยทักทายลูกค้าเมื่อได้ยินเสียงประตูเปิด ทีแรกนั้นไม่ได้มอง แต่พอเงยหน้าเท่านั้น ผมก็แทบอยากจะเอาคำทักทายเมื่อตะกี้กลับคืนมา ไอ้คนที่เดินชนผมในร้านเหล้าเมื่อคืน มันจ้องผมนิ่งก่อนจะกระตุกยิ้มมุมปาก เห็นชัดว่ามันจำผมได้เหมือนที่ผมจำมันได้ “ทำงานที่นี่เหรอ” มันเดินมาทักผม ผมไม่ตอบ เลี่ยงไปรับของจากลูกค้าท่านหนึ่งมาคิดเงินแทน แต่ของมีแค่ชิ้นเดียวก็เลยเสร็จไว “หยิ่งเหรอไง ถามไม่ตอบ” “...” “อ่อ เป็นใบ้” “กูไม่ได้เป็นใบ้” ผมอดทนไม่ไหวเลยเอ่ยแก้ต่างให้ตัวเอง แม่งบ้าหรือไงมาหาว่าคนอื่นเป็นใบ้ “ชู่วว เบาๆ ดิ มีที่ไหนพนักงานพูดมึงกูกับลูกค้า” มันพูดด้วยท่าทางและสีหน้ากวนตีน ถ้าไม่ติดว่าทำงานอยู่ผมกระโดดข้ามเคาน์เตอร์ไปซัดมันละ “กูไม่รู้จักมึง อย่ามายุ่งกับกู” ผมกัดฟันพูดเสียงต่ำ “หึหึ เดี๋ยวก็รู้ว่าจะได้รู้จักหรือไม่ได้รู้จัก” มันพูด “...” ผมเลือกที่จะเงียบไม่อยากคุยกับมัน “เอาบุหรี่ยี่ห้อ N ซองหนึ่ง” มันสั่ง ผมหันไปหยิบของแล้วมาคิดเงิน แม่งรวยแน่ๆ สูบของแพงด้วย ผมคิดเงินเสร็จก็รับยื่นมือไปรับตังค์ แต่ไม่รู้ว่าผมคว้าเงินผิดหรือเพราะอะไร มือผมกับมือมันถึงได้สัมผัสกันมากกว่าครึ่ง ผมรีบชักมือกลับ เอาจริงๆ ก็ไม่ทันสังเกตหรอกว่าผมไปโดนมือมันหรือมันมาโดนมือผมกันแน่ แต่ที่รู้ๆ ผมยัดตังค์ทอนใส่ในถุงบุหรี่แล้ววางตรงหน้ามัน ซึ่งมันก็ไม่ได้ว่าอะไร รับไปแล้วเดินออกจากร้าน ผมทำงานต่อจนกระทั่งหมดเวลางาน เคลียร์นู่นนี่นั่นในร้านจนเรียบร้อยก็ปาเข้าไปเกือบห้าทุ่ม ผมเดินออกจากร้านพลางบิดขี้เกียจไล่ความเมื่อยขบ และสิ่งที่ทำในเวลาต่อมาก็คือต่อสายหาพลอยอีกครั้ง สายแรกไม่รับ ผมกดต่อสายสอง รอจนสัญญาณเกือบจะตัด “พลอย” ผมเรียกเสียงเรียบ พยายามที่จะไม่หงุดหงิด แม้ว่าอารมณ์กรุ่นๆ ช่วงเย็นจะยังหลงเหลืออยู่ “มีอะไรหรือเปล่า พลอยทำการบ้านอยู่” พลอยตอบเสียงปกติ เหมือนว่าเราสองคนไม่ได้ทะเลาะกันมาก่อน “ซ่าขอโทษนะเรื่องเมื่อวาน” “อืม ไม่เป็นไร” “เอ่อ วันนี้ไปหาได้ไหม” ผมยกมือเกาคอแก้เขิน ยืนแอบอยู่หน้าเซเว่นเพราะจิตใจจมจ่ออยู่กับการคุยโทรศัพท์ “ไม่ได้ วันนี้การบ้านเยอะ ไว้พรุ่งนี้แล้วกัน ว่าจะชวนไปดูหนัง” “ได้ดิ พรุ่งนี้ตอนเย็นนะ เดี๋ยวไปรับที่โรงเรียน” “อืม แค่นี้นะ” “บาย ฝันดีนะ” ผมยิ้มกว้างอารมณ์ดีที่สุดในรอบวัน เฮ้อ ค่อยสบายใจหน่อย ไม่อย่างนั้นผมก็ไม่เป็นอันทำอะไรทั้งวัน ใครจะว่ายังไงก็ช่างสำหรับเรื่องพลอย ตอนนี้ผมยังโอเคที่จะคบกับพลอยไม่ว่าพลอยจะเป็นยังไง ไว้ผมทนไม่ได้ขึ้นมาค่อยว่ากันอีกที ผมหันซ้ายหันขวา ก็ไม่รู้จะหันทำไมในเมื่อมอเตอร์ไซค์ของผมก็จอดอยู่หน้าร้าน ผมเดินไปที่รถตั้งใจว่าจะขับไปหาข้าวกินมื้อดึกอีกรอบแล้วค่อยกลับหอ หวังว่าไอ้กฤษจะไม่พาแฟนของมันมากกกันอีก ไม่อย่างนั้นผมคงได้นอนหน้าห้องอีกวันและมันจะทำให้ผมปวดเมื่อยตัวไปทั้งวัน ผมขึ้นคร่อมรถ เสียบกุญแจและถอยรถออกจากที่จอด แต่ก่อนจะสตาร์ตเครื่องยนต์ก็มีคนมายืนขวางหน้ารถมอเตอร์ไซค์ ผมเงยหน้ามองแล้วก็เจอกับใบหน้าที่ผมโคตรจะหมั่นไส้ “มึงยังไม่กลับไปอีกเหรอ” ผมถาม “ไปกินข้าวกับกูไหม กูเลี้ยง” มันไม่ตอบคำถามผมแต่ถามคำถามกลับแทน “ทำไมกูต้องไปกับมึงด้วย มึงโรคจิตหรือไง” ผมพูดอย่างหงุดหงิด ผมไม่รู้จักมัน เจอกันครั้งแรกเมื่อวานที่เดินชนกัน แล้วก็ตอนที่มันมาซื้อบุหรี่ในเซเว่นจนกระทั่งตอนนี้ “กูเหมือนคนโรคจิตตรงไหน ความจริงมึงต้องเรียกกูว่าพี่ด้วยซ้ำนะซ่า กูแก่กว่ามึง” “มึงรู้จักชื่อเล่นกูได้ไง” ผมยอมรับว่าตกใจ เพราะนอกจากคนในครอบครัวญาติพี่น้องและพลอย ผมก็ไม่เคยบอกชื่อเล่นกับใคร แม้แต่อยู่ต่อหน้าเพื่อนผมพลอยก็ยังเรียกผมว่าพัช เพราะบอกว่าจะเก็บชื่อซ่าไว้เรียกคนเดียวจะได้ดูพิเศษกว่าคนอื่น “ก็กูได้ยินมึงแทนตัวเองตอนคุยโทรศัพท์ หรือชื่อนี้ไม่ใช่ชื่อมึง” มันเลิกคิ้วถาม “เรียกกูว่าพัช” ผมกดเสียงเข้ม “ไม่ กูจะเรียกมึงว่าซ่า” “ไม่ได้ มึงห้ามเรียกชื่อนั้นของกู” “ทำไม” “กูให้คนสำคัญเท่านั้นเรียก” “อ่าฮะ” มันยักไหล่ได้กวนส้นตีนมากๆ “ดึกละ ไปกินข้าวกัน” “มึงเพ้อเจ้ออะไร ถอยไปอย่ามาขวางทาง” “ซ่า...” มันเรียกชื่อเล่นจริงๆ ของผมอีกครั้ง และยังคงไม่ยอมหลีกทางให้ ผมชักจะเริ่มหมดความอดทน ถ้ามันยังกวนตีนผมอีกนิดผมจะขับรถชนมันเสียเลย “มึงจะถอยไหม” “จะไม่ไปกินข้าวกับกูใช่ไหม” “ไม่ไป กูกับมึงไม่รู้จักกัน ถอยไป” ผมโบกมือไล่เหมือนมันเป็นแมลงหวี่แมลงวันที่น่ารำคาญ “อ่อ ต้องรู้จักกันก่อนว่างั้น” “...” “กูชื่อปราบ ครั้งหน้าเจอกันอย่าลืมเรียกกูว่าพี่นะครับน้องซ่า” ไอ้คนโรคจิตแสยะยิ้มชั่วร้ายแล้วก็เดินกลับไปที่รถของมันซึ่งจอดอยู่ใกล้ๆ ผมมองมันจนกระทั่งทั้งคนและรถหายลับไปกับตา “หึ ฝันหรือไงที่จะให้กูเรียกมึงว่าพี่ กูไม่คิดอยากจะเจอมึงอีกด้วยซ้ำ ไอ้คนประสาท” ผมส่ายหน้าเซ็ง สตาร์ตรถได้ก็ขี่ไปซื้อโจ๊กเจ้าเด็ดที่ตลาดโต้รุ่งเอากลับไปกินที่ห้อง คืนนี้ไอ้กฤษไม่อยู่ห้อง ผมก็เลยสบายตัวสบายใจ กินอิ่มนอนหลับ ลืมเรื่องของไอ้คนชื่อปราบไปเสียสิ้น
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD