Chapter 1
‘ตี๋’ นาย ‘พิราธนิสร์ ด้วยรัก’ อายุ 21 ปี ลูกชายของพ่อคำมีเเละเเม่จันทร์ดี ที่เสียชีวิตลงเมื่อตอนอายุได้ 12 ปี ด้วยสาเหตุการตายขับรถยนต์เสียหลักพุ่งชนรถพ่วงตายคาที่ ตี๋มีน้องชายชื่อ ‘กราฟฟิค’ ปีนี้อายุ 16 ปี ชีวิตของสองพี่หลังจากที่พ่อเเม่ตายจากโลกไป ก็เข้าขั้นคำว่าปากกัดตีนถีบหนักเบาเอาสู้ ตี๋ไม่มีญาติมิตรที่ไหน พอพ่อกับเเม่ตายตี๋กับน้องชายก็อาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวที่พ่อเเม่ทิ้งไว้ให้
ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีรัฐบาลยื่นมือเข้ามาช่วย ค่อยส่งอาหารเเละเงินที่พอกินพอใช้เป็นรายเดือน ตี๋ดิ้นรนหาเงินส่งตัวเองจนจบม.6 เพื่อลดค่าใช้จ่ายในบ้านตี๋ยอมทิ้งความฝันที่อยากใช้ชีวิตในมหา’ ลัยทิ้งไป เเม้จะรู้สึกเสียดายเเต่มันก็จำเป็น เขาดิ้นรนหางานทำหลังเรียนจบไม่เกี่ยงว่าจะเป็นงานเบาหรือหนัก เพื่อส่งน้องชายเพียงคนเดียวเรียนพี่ตี๋ทำได้ กราฟฟิคก็เข้าใจสถานการณ์ในบ้านจึงตั้งใจเรียนนำเกรดสี่มันเป็นขวัญกำลังให้ตี๋อยู่เรื่อย
อาตี๋นักสู้ชีวิตก็มีกำลังใจเต็มเปี่ยมทำงานได้เต็มที่ กระทั่งวันหนึ่งเพื่อนร่วมงานขี้ขโมย ได้จิกเงินหัวหน้าไปโดยโยนความผิดให้อาตี๋ อาตี๋ไม่มีหลักฐานจึงยอมจำนน เเละไล่ออกพร้อมเงินจำนวนหนึ่งในที่สุด เขาจะไม่เสียใจหากเหตุผลของคุณหัวหน้าฟังขึ้น เเต่ที่เขาเสียใจมากคือเหตุผลที่โกหก… นี่เเหละชีวิตของผมเองอาตี๋นักสู้ชีวิต ถือว่าลำบากมาก ๆ เเต่ตอนนี้กำลังจะดีขึ้นเเล้ว เพราะมีงานทำเเล้ว
“กรุงเทพ เมืองหลวงอะนะ” ไอ้กราฟฟิคน้องชายผมเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง ขณะที่มือดึงถุงเท้าขึ้นจนถึงน่อง
“เออ กูว่าจะไปทำงานที่นั้นอะ เงินดีด้วยนะ” ผมกอดอกพิงขอบประตู
“เขาหลอกหรือเปล่า คนสมัยนี้น่ากลัวจะตาย” กราฟฟิคลุกขึ้นยืน หลังใส่ถุงเท้าถุงเสร็จเรียบทั้งสองขา เเล้วหันหน้ามาคุยกับผมเป็นจริงเป็นจัง
“หลอกพ่อมึงดิ เเอปหางานไม่เคยหลอกกูนะเว้ย”
“เฮ้อ พี่จะไปอะผมไม่ว่า เเต่พี่ช่วยเช็คให้มันดี ๆ ก่อนได้ป่ะ ผมเป็นห่วง เมืองหลวงนะพี่ไม่ใช่กะลามะพร้าว ใหญ่จะตายห่า คนไม่น่าไว้ใจก็เยอะ”
“กูไปอะไม่เป็นไรหรอก เเต่มึงเหอะกูไม่อยู่มึงจะอยู่ได้เหรอ” ห่วงที่สุดในชีวิตก็คือไอ้น้องชายตัวดีนี่เเหละ จะไปอะง่ายเงินมีอยู่เเต่ก็ยังมีห่วง
“ดูพูดเข้า ไอ้กราฟอายุสิบหกเเล้วนะครับพี่ตี๋ เรื่องดูเเลตัวเองเเค่นี้อะ ไม่เกินมือไอ้กราฟหรอก ขนาดทุกวันนี้พี่ตี๋ยังกินข้าวฝีมือไอ้กราฟเลยนะ”
ก็จริงนะ เเต่เค็มไปหน่อยควรปรับไอ้น้องรัก
“เออ กูไม่เถียง เเต่กูก็เป็นห่วงอยู่ดีอะ น้องชายทั้งคนนะ ถ้ากูไม่มีมึงกูจะอยู่ยังไง” ผมว่าพร้อมทำหน้าเศร้า ๆ ไม่เเกล้งนะเเต่ความจริงอะ ถ้าไม่มีไอ้กราฟชีวิตอาตี๋จะอยู่ยังไง
“คำนั้นอะผมควรพูดนะ ผมอยู่บ้านคนละเเวกนี้ก็รู้จักกันทั้งนั้น พี่ดิอยู่ในเมืองหลวงรู้จักใครบ้างอ่ะ” ไอ้กราฟสวนกลับสีหน้าจริงจังกว่าเดิม “พี่ตี๋ผมดูเเลตัวเองได้ เเต่พี่เถอะไปไกลขนาดนั้นอะพี่จะอยู่ยังไง? เเล้วงานที่พี่ไปทำอะเป็นงานจริง ๆ ใช่ไหม? ไม่ได้หลอกพี่ไปขายตับขายไตนะ?”
“พูดซะกูจนลุกเลย”
“เห็นป่ะ ว่าผมไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง น่าห่วงสุด ๆ คงจะเป็นพี่อะพี่ตี๋ เราห่างกันมากนะพี่ ผมเป็นห่วงจะไปก็ดูเเลตัวเองด้วย เพราะผมไม่ได้อยู่ด้วยเหมือนทุกครั้ง”
“เออ ๆ ไปโรงเรียนได้ละ พากูเศร้าจนนํ้าตาจะเเตก ไป ๆ” ผมโบกมือไล่ไอ้กราฟ ให้อยู่อีกนิดซีนนี้คงต้องมีคนร้องไห้ฟูมฟายเหมือนคนบ้าอะ
หาเรื่องไร้สาระคุยกันได้สักพักไอ้กราฟก็เเบกกระเป๋านักเรียนคว้าเงินซื้อข้าวเที่ยง ปั่นจักรยานคันเก่งออกจากบ้านไป บ้านก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง ผมพึ่งตกงานมาหมาด ๆ ก็ไม่รู้จะทำอะไรเลยทำความสะอาดบ้านคลายเหงา ทำเสร็จทุกซอกทุกมุมของบ้านก็มานั่งพักเหนื่อยที่โซฟา ที่ใช้งานมาหลายปี เเต่เพราะทำความสะอาดอยู่บ่อย ๆ มันเลยดูใหม่เสมอ เเม้บางจุดจะขาดวิ่นไปบ้างก็เถอะ
ผมเปลี่ยนจากท่านั่งธรรมดาเป็นนอนราบพลางจับมือถือที่รุ่นเก่าที่ใช้งานมาตั้งเเต่อายุ 18 จนตอนนี้อายุ 21 เเล้วยังไม่มีโอกาสได้เปลี่ยนใหม่เหมือนคนอื่น ๆ ถึงจะเก่าไปเเต่ระบบเครื่องต่าง ๆ ยังคงทำงานได้ไม่เเพ้เครื่องใหม่สมัยนี้ ในเมื่อของเก่ามันดีอยู่ของใหม่ก็คงไม่ต้อง ผมเลื่อนอ่านเฟสบุ๊คไปเรื่อย ๆ ส่องเฟสเก่าของเพื่อนรักบ้าง พอส่องนาน ๆ ก็นึกอิจฉาขึ้นมาเสียดื้อ ๆ ชีวิตของเพื่อนผมเเต่ละคนนับว่าดีมาก ดีจัดจนผมไม่กล้าเเม้จะกดไลค์รูป ทั้ง ๆ ที่เป็นเพื่อนกันผ่านทุกข์ผ่านสุขมาด้วยกันเเท้ ๆ เเปลกดีที่ผมไม่กล้า
“เฮ้อ…” ผมถอนหายใจออกเเล้วปิดมือถือ
วางมือถือลงหลังเสพโซเชียลสมใจ ผมยกเเขนขึ้นวางบนหน้าผากมองเพดานที่คุ้นเคย เสียงพัดลมเปิดไว้ที่ปลายเท้ายังคงทำงานหมุนความเย็นให้ผมได้ดี ความเงียบงันเข้าโอบรอบตัวผม ทำให้ผมได้ยินเเม้กระทั่งเสียงหายใจของตัวเอง เปลือกตาค่อย ๆ ปิดลง ปล่อยให้เลื่อนไหลไปกับห้วงนิทรา เพราะความเหนื่อยที่พบเจอในทุกวัน จึงทำให้วันนี้เป็นที่พักได้เต็มอิ่มนอนหลับได้เต็มตา
‘ป้อลางานกับเจ้านายมาสี่ห้าวัน เฮาไปเเอ่วทะเลกั๋นบ่อเเม่’
(พ่อลางานกับเจ้านายมาสี่ห้าวัน เราไปเที่ยวทะเลกันมั้ยเเม่)
‘กะดีโด๊ะ จะได้ปาลูกไปเปิดหูเปิดตาผ่อง’
(ก็ดีนะ จะได้พาลูกไปเปิดหูเปิดตาด้วย)
‘อีป้อจะปาน้องกับกราฟไปเเอ่วทะเลกะครับ’
(พ่อจะพาผมกับน้องไปเที่ยวทะเลเหรอครับ)
‘ครับ ป้อจะปาหมู่เฮาไปเเอ่วทะเล’
(ครับ พ่อจะพาพวกเราทุกคนไปเที่ยวทะเล)
‘เย้! กราฟจะไปเล่นนํ้าทะเล’
(เย้! กราฟจะไปเล่นนํ้าทะเล)
‘อีป้อ ๆ น้องหันเปื่อนน้องบอกว่านํ้าทะเลมันเก๊มเเต้กะครับ’
(พ่อ ๆ น้องเห็นเพื่อนบอกมาว่านํ้าทะเลมันเค็ม จริงหรือเปล่าครับ)
‘บ่อหู้หนา เเต่เตาตี้ป้อฮู้มาหนา ว่าตี้นํ้าทะเลมันเก๊มน่ะ มันเป็นเพราะว่าคนเฮาเอาเกลือไปใส่ในนํ้าทะเล ฮ่า ๆ’
(ไม่รู้นะ เเต่เท่าที่พ่อรู้มา ว่าที่นํ้าทะเลมันเค็มน่ะ มันเป็นเพราะว่าคนเราเอาเกลือไปใส่ในนํ้าทะเล ฮ่า ๆ)
‘อั้นรสชาตินํ้าทะเลกะบ่ต่างกันกับเกลือป่นบ้านเฮา’
(งั้นรสชาตินํ้าทะเลก็ไม่ต่างกับเกลือป่นบ้านเราน่ะซิ)
‘ฮ่า ๆ / ฮ่า ๆ’
บางครั้งการฝันดีมักอยู่ได้ไม่นานนัก เพราะมักมีบางสิ่งที่คอยก่อกวนให้ตื้นขึ้น ผมลืมตาขึ้นช้า ๆ สัมผัสกับสีเพดานที่คุ้นเคยพลันลุกขึ้นนั่ง เจ็บกว่าการไม่มีงานทำคือการที่ตื่นขึ้นมาเเล้วพบกับความจริงว่าเป็นเพียงฝัน
ฝัน..ที่ไม่อยากตื่นเลย
ผมคว้ามือถือขึ้นมาเช็คเวลาของตอนนี้
‘AM : 11.00’
หลับไปสามชั่วโมงเลยเหรอนี่..
ผมขยี้ตาตัวเองเบา ๆ ลุกขึ้นยืนเต็มจำนวนความสูง เดินเข้าครัวหาเมนูง่าย ๆ สำหรับมื้อเที่ยง นั่งทานคนเดียวเเค่มาม่าใส่ไข่กับผักก็คงพอเเล้ว ต้มมาม่าเสร็จเพียงไม่กี่วิผมก็ยกถ้วยร้อนมาวางหน้าทีวี คิดว่าจะนั่งดูรายการตลกไปทานไป ขณะที่ผมกำลังจะวางก้นลงโซฟา เสียงกดกริ่งหน้าบ้านก็ดังขึ้น ผมยืดคอมองออกไปด้านนอกผ่านหน้าต่างพบเห็นลาง ๆ ว่ามีคนยืนอยู่หน้าประตูหนึ่งคนได้ ความคิดจะนั่งดูทีวีกับสวาปามมาม่าก็ดับหาย
ความสนใจถูกเปลี่ยนเป็นหน้าประตู ผมเดินมาอยู่หน้าบ้านมองออกไปยังประตูไม้มีขาวหน้าบ้าน กลอกตาขึ้นพิจารณาว่าคนหลังประตูไม้เป็นใคร ผมมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าผมไม่เคยกู้เงิน เเละพ่อผมก็ไม่เคย ไม่คิดที่จะกู้ด้วย หากเป็นเจ้าหนี้คงไม่ใช่เเล้วเป็นใครอะ…
“โอ้ยไอ้สัสตี๋ เปิดประตูให้พวกกูสามคนหน่อย ยืนเเอ็คอยู่ได้หล่อตายละไอ้เวร”
เอ๊ะ! เสียงห้าว ๆ เเบบนี้
“ไนท์เหรอ”
“เออ กูเองอีตี๋ เร็ว ๆ กูร้อนม๊ากกกก”
“เออ ๆ โทษ ๆ กูนึกว่าใคร” ผมรีบสวมร้องเท้าแตะคู่ใจวิ่งมาเปิดประตู ผมส่งยิ้มเจื่อนให้เพื่อนสาวผู้มาเยือนหลังจากที่ไม่ได้เจอหน้ากันมาหลายปี หากเเต่ว่าฝ่ายนั้นกลับทำหน้าบึ้งตึงเหมือนไม่พอใจอะไรสักอย่าง
“งะ-ไง” ผมยกมือทักทายเเบบตระวันตกเสียงกระตุกหน่อย ๆ เพราะไม่ได้เจอหน้ากันนาน เลยทำตัวไม่ถูก
‘ไนท์’ ถอนหายใจกลอกตามองบน “ไอ้ตี๋ กูถามหน่อยเถอะ กูไปทำอะไรให้มึงวะ ทำไมกูติดต่อมึงไม่ได้เลยอ่ะ มึงรู้ป่ะว่ากูโคตรคิดถึงมึงเลย”
“คือ… เรียนมหา’ ลัยเป็นไงบ้างอะ ดีป่ะ” เลี่ยงที่จะไม่ตอบเลยพาเปลี่ยนเรื่องเเบบเนียน ๆ
“อย่ามาเนียนดิไอ้สัส รู้ป่ะว่ากูเป็นห่วง ยิ่งตอนที่รู้ว่าไอ้ทึมเเบบมึงอะ จะไปทำงานที่กรุงเทพกูยิ่งโคตรเป็นห่วงเลยเว้ย”
กรุงเทพ..? ทำงานกรุงเทพ
“ไนท์รู้ได้ไงอะ”
“ก็ไอ้กราฟไดเรกแมสเซนเจอร์มาบอกอะ ทำไมวะกูไม่ใช่เพื่อนมึงอ่อ ทำไมมึงไม่บอกกูเลยอะ กูไปทำอะไรให้มึงวะตี๋ นี่ก็สามปีเเล้วนะ เมื่อไหร่มึงจะบอกเหตุผลที่มึงไม่ตอบเเชทเพื่อนเเบบกูวะ” ไนท์ว่าด้วยสีหน้าน้อยใจ นัยน์ตาคู่สวยของเธอคลายกับว่าจะร้องไห้
“ไนท์” ความรู้สึกผิดก่อตัวขึ้นเองโดยไม่ต้องบอก “กูขอโทษ”
“อึก.. ขอโทษอ่อ ขอโทษทำไม กูไม่ได้ต้องการคำขอโทษ สิ่งที่กูต้องการคือเหตุผลที่มึงไม่ตอบเเชทเพื่อนคนนี้เว้ย มึงลืมไปเเล้วอ๋อมาม่าหม้อเดียวที่เรานั่งกินด้วยกันอะ มึงลืมไปเเล้วเหรอไอ้ตี๋ ตอนที่มึงไม่มีเงินเเดกข้าวอะ เเล้วรวมเงินกันซื้อข้าวอะ มึงลืมไปเเล้วเหรอ!” เธอว่าทั้งนํ้าตา ผมไม่ได้โต้อะไรไปจึงทำเพียงก้มหน้าเงียบ ๆ
ผมไม่ได้โกรธอะไรไนท์ทั้งนั้น ไนท์คือเพื่อนสนิทที่ดีที่สุดของผมเสมอ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเเค่ไหนไนท์ยังคงเป็นเพื่อนผู้หญิงเพียงคนที่อยู่ในคำว่าที่ดีที่สุด…เพื่อนสนิทที่ดีที่สุด เเต่เพียงเพราะผมกลัว กลัวว่าไนท์จะอายที่มีเพื่อนจน ๆ เเบบผมเป็นเพื่อน
เรียนจบผมก็ไม่ได้กับไนท์เลยเเม้ว่าฝ่ายนั้นจะไดเรกเเมสเเซนเจอร์มาหาอยู่บ่อยครั้ง ผมเเอบมองชีวิตของไนท์ผ่านเฟสบุ๊ค เธอมักอัพเรื่องราวในรั้วมหา’ ลัยให้ผมเห็นอยู่เสมอ ไนท์มีเพื่อนใหม่เยอะเเยะมากมาย เเละเพื่อนเก่าเเบบผมก็คงไม่จำเป็น ผมคิดเเบบนั้นมาตลอดเลยไม่ได้ทักหรือติดต่อไป
“เเกมีชีวิตที่ดีเเล้วนะไนท์ เเกมีเพื่อน มีอะไรหลาย ๆ อย่าง เราเลยคิดว่า…เเกไม่จำเป็นต้องมีเราเป็นเพื่อนก็ได้” ผมเงยหน้ามองเพื่อนสนิท
ไนท์ปาดหยดนํ้าตา “พ่อมึงดิ เพื่อนกินหาง่ายไอ้ตี๋ เเต่เพื่อน…ที่จะมานั่งเเดกมาม่าหม้อเดียวกันอะเเม่งโคตรหายาก ถึงกูจะมีเพื่อนในมหา’ ลัยเยอะเป็นหมื่นคน มันก็ทดเเทนเพื่อนที่นั่งเเดกมาม่าหม้อเดียวกันไม่ได้หรอก กูรักมึงนะไอ้ตี๋ มึงคือเพื่อนเพียงคนเดียวของกูเว้ย เพื่อนที่ผ่านทุกอย่างมาด้วยกัน”
“ไนท์..”
“กูมาที่นี่ กูจะมาพามึงไปอยู่คอนโดฯกับกู”
“คอนโดฯเหรอ?” ผมกลอกตามองบนครุ่นคิดภาพของคอนโดฯ ที่ไนท์กล่าวมา “คอนโดฯเเกเนี่ยอะนะ”
“เออ มึงจะไปทำงานนิ เเล้วมึงจะพักที่ไหนละ”
ผมส่ายหัวเรื่องนี้ยังไม่ได้คิดเลย คิดว่าจะไป ๆ อย่างเดียว เลยไม่ได้คำนึงถึงเรื่องที่พัก คาดการไว้ว่าจะไปตายเอาด้านหน้าขอเเค่ให้ผมได้ยื่นใบสมัคร เรื่องที่พักคงหากันได้ง่าย ๆ ไม่น่าจะยาก
“ไม่ได้คิดวะ” ผมเกาเเก้มหัวเราะเบา ๆ
“เห็นป่ะ นี่ไงมึงก็ไปพักกับกู เรื่องค่าใช้จ่ายไม่ต้องห่วง กูให้อยู่ฟรีกินฟรีโอเครป่ะ”
“เกรงใจอะ”
“เกรงใจพ่อมึงดิ ไปอยู่กับกูนี่เเหละ หาห้องพักที่กรุงเทพอะมันลำบาก เเถมราคาก็เเพงด้วย” ไนท์ว่าด้วยนํ้าเสียงเป็นห่วง ผมฉีกยิ้มให้ ไนท์ก็โพล่งเข้ากอดเพื่อนรัก
“ขอบคุณนะ เราขอโทษที่ไม่ได้ติดต่อเเกกับไปเลย เราขอโทษจริง ๆ”
“เออ กูกับมึงเราเพื่อนกันมีอะไรก็ช่วย ๆ กัน เเต่ตอนนี้อะกูขอกินนํ้าเย็นหน่อยได้ป่ะ กูหิวนํ้า”
เคลียร์ใจกันเสร็จสรรพผมก็พาไนท์เข้ามาในบ้าน หานํ้าเย็น ๆ ให้เพื่อนกิน เเละนั่งคุยกันไปเรื่อย ย้อนวัยตอนมัธยมบ้างตามภาษาเพื่อนที่ไม่ได้คุยกันหลายปี ไนท์เล่าเรื่องชีวิตเด็กมหา’ ลัยให้ผมฟัง มันไม่ได้สบายเหมือนที่เราคิดไว้ มันไม่ได้เหมือนในซีรีส์ เพราะชีวิตเด็กมหา’ ลัยจริง ๆ มีเเต่งาน ๆ เเละกิจกรรมต่าง ๆ ที่มากกว่ามัธยม ผมฟังไปก็นึกอิจฉาเพื่อนที่ได้เรียนในคณะที่ตัวเองชอบ สำหรับผมต้องตัดทิ้งเพื่อลดค่าใช้จ่าย พลันเปลี่ยนเรื่องของผมบ้าง ผมเล่าเรื่องของอาตี๋นักสู้ชีวิตในไนท์ฟังหลังเรียนจบเจออะไรบ้างบลา ๆ
กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็คุยกันถึงบ่ายสองเเล้วเกือบ ๆ สามโมงเย็น ไนท์เลยขอตัวกลับบ้าน ก่อนจะออกจากบ้านผมไปเราก็ได้คุยกันเล็กน้อยที่ถึงการไปกรุงเทพ
“มึงจะไปวันไหน กูจะได้มารับถูก” ไนท์ถามพร้อมสะพายกระเป๋าเเชทเเนลสีดำ
“น่าจะวันมะรื่นอะ เดี๋ยววันนี้ขอดูงานที่จะไปทำอีกทีนะ อยากเช็คเพื่อความเเน่ใจอะ”
“เออดีเเล้ว งั้นมึงก็ช่วยส่งร้านที่มึงจะไปทำงานมาให้กูดูด้วยนะ เผื่อกูรู้จัก”
“เออ ๆ กลับบ้านดี ๆ นะ”
“จ้ะ วันพรุ่งนี้จะมาใหม่บัยจ้ะเพื่อน” ไนท์จุ๊บส่งให้ผมเเล้วมุดตัวขึ้นรถหรู รถยนต์สีดำสนิททะยานออกจากบ้านผมไป ผมยืนมองดูจนมันหายไปจากการมองเห็น
หมุนตัวกลับเข้ามาในบ้าน ทว่ายังไม่ทันถึงบ้านเสียงมือถือก็ดังขึ้น เป็นข้อความจากไนท์ที่ส่งมาหา ผมกดเข้าไปดูมีเเชทเก่า ๆ ทักมาเยอะมาก เเละเเชทใหม่ที่พึ่งส่งมาหมาด ๆ
Night tt
Hi!
อย่าลืมส่งรูปร้านมาให้ดูด้วยนะ
เผื่อกูรู้จัก
เออๆ
เดี๋ยวส่งให้นะ
อืม ขับรถเเปปจ้ะถึงบ้านเดี๋ยวทักหา
ขับรถดีๆ นะ
โอเคๆ
ส่งสติ๊กเกอร์หมาโอเคร
ผมปิดมือถือเเล้วเดินเข้าบ้านด้วยสีหน้าสบายอกสบายใจ เหมือนได้ยกภูเขาลูกใหญ่ออกจากอกอย่างไงอย่างงั้น ผมคิดมาโดยตลอดว่าไนท์ไม่ได้อยากมีผมเป็นเพื่อนอีกต่อไป เเต่วันนี้มันกลับผิดคาดไม่เหมือนที่คิดไว้เลย
ไนท์เพื่อนสนิทที่ดีที่สุด ตลอดไปเลย
“ไอ้กราฟวันนี้ซ้อมบอลป่ะ”
[ไม่นะพี่ สอบเสร็จก็น่าจะกลับเลย มีไรอะ]
“กินหมูกะทะกัน”
TBC.
ถ้าอยากมีคำผิดตกค้างอยู่บอกได้นะคะมองตัวหนังสือนานๆมึนหัวมุมุ ฮื่ออ