1

2871 Words
Chapter 1 ‘ตี๋’ นาย ‘พิราธนิสร์ ด้วยรัก’ อายุ 21 ปี ลูกชายของพ่อคำมีเเละเเม่จันทร์ดี ที่เสียชีวิตลงเมื่อตอนอายุได้ 12 ปี ด้วยสาเหตุการตายขับรถยนต์เสียหลักพุ่งชนรถพ่วงตายคาที่ ตี๋มีน้องชายชื่อ ‘กราฟฟิค’ ปีนี้อายุ 16 ปี ชีวิตของสองพี่หลังจากที่พ่อเเม่ตายจากโลกไป ก็เข้าขั้นคำว่าปากกัดตีนถีบหนักเบาเอาสู้ ตี๋ไม่มีญาติมิตรที่ไหน พอพ่อกับเเม่ตายตี๋กับน้องชายก็อาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวที่พ่อเเม่ทิ้งไว้ให้ ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีรัฐบาลยื่นมือเข้ามาช่วย ค่อยส่งอาหารเเละเงินที่พอกินพอใช้เป็นรายเดือน ตี๋ดิ้นรนหาเงินส่งตัวเองจนจบม.6 เพื่อลดค่าใช้จ่ายในบ้านตี๋ยอมทิ้งความฝันที่อยากใช้ชีวิตในมหา’ ลัยทิ้งไป เเม้จะรู้สึกเสียดายเเต่มันก็จำเป็น เขาดิ้นรนหางานทำหลังเรียนจบไม่เกี่ยงว่าจะเป็นงานเบาหรือหนัก เพื่อส่งน้องชายเพียงคนเดียวเรียนพี่ตี๋ทำได้ กราฟฟิคก็เข้าใจสถานการณ์ในบ้านจึงตั้งใจเรียนนำเกรดสี่มันเป็นขวัญกำลังให้ตี๋อยู่เรื่อย อาตี๋นักสู้ชีวิตก็มีกำลังใจเต็มเปี่ยมทำงานได้เต็มที่ กระทั่งวันหนึ่งเพื่อนร่วมงานขี้ขโมย ได้จิกเงินหัวหน้าไปโดยโยนความผิดให้อาตี๋ อาตี๋ไม่มีหลักฐานจึงยอมจำนน เเละไล่ออกพร้อมเงินจำนวนหนึ่งในที่สุด เขาจะไม่เสียใจหากเหตุผลของคุณหัวหน้าฟังขึ้น เเต่ที่เขาเสียใจมากคือเหตุผลที่โกหก… นี่เเหละชีวิตของผมเองอาตี๋นักสู้ชีวิต ถือว่าลำบากมาก ๆ เเต่ตอนนี้กำลังจะดีขึ้นเเล้ว เพราะมีงานทำเเล้ว “กรุงเทพ เมืองหลวงอะนะ” ไอ้กราฟฟิคน้องชายผมเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง ขณะที่มือดึงถุงเท้าขึ้นจนถึงน่อง “เออ กูว่าจะไปทำงานที่นั้นอะ เงินดีด้วยนะ” ผมกอดอกพิงขอบประตู “เขาหลอกหรือเปล่า คนสมัยนี้น่ากลัวจะตาย” กราฟฟิคลุกขึ้นยืน หลังใส่ถุงเท้าถุงเสร็จเรียบทั้งสองขา เเล้วหันหน้ามาคุยกับผมเป็นจริงเป็นจัง “หลอกพ่อมึงดิ เเอปหางานไม่เคยหลอกกูนะเว้ย” “เฮ้อ พี่จะไปอะผมไม่ว่า เเต่พี่ช่วยเช็คให้มันดี ๆ ก่อนได้ป่ะ ผมเป็นห่วง เมืองหลวงนะพี่ไม่ใช่กะลามะพร้าว ใหญ่จะตายห่า คนไม่น่าไว้ใจก็เยอะ” “กูไปอะไม่เป็นไรหรอก เเต่มึงเหอะกูไม่อยู่มึงจะอยู่ได้เหรอ” ห่วงที่สุดในชีวิตก็คือไอ้น้องชายตัวดีนี่เเหละ จะไปอะง่ายเงินมีอยู่เเต่ก็ยังมีห่วง “ดูพูดเข้า ไอ้กราฟอายุสิบหกเเล้วนะครับพี่ตี๋ เรื่องดูเเลตัวเองเเค่นี้อะ ไม่เกินมือไอ้กราฟหรอก ขนาดทุกวันนี้พี่ตี๋ยังกินข้าวฝีมือไอ้กราฟเลยนะ” ก็จริงนะ เเต่เค็มไปหน่อยควรปรับไอ้น้องรัก “เออ กูไม่เถียง เเต่กูก็เป็นห่วงอยู่ดีอะ น้องชายทั้งคนนะ ถ้ากูไม่มีมึงกูจะอยู่ยังไง” ผมว่าพร้อมทำหน้าเศร้า ๆ ไม่เเกล้งนะเเต่ความจริงอะ ถ้าไม่มีไอ้กราฟชีวิตอาตี๋จะอยู่ยังไง “คำนั้นอะผมควรพูดนะ ผมอยู่บ้านคนละเเวกนี้ก็รู้จักกันทั้งนั้น พี่ดิอยู่ในเมืองหลวงรู้จักใครบ้างอ่ะ” ไอ้กราฟสวนกลับสีหน้าจริงจังกว่าเดิม “พี่ตี๋ผมดูเเลตัวเองได้ เเต่พี่เถอะไปไกลขนาดนั้นอะพี่จะอยู่ยังไง? เเล้วงานที่พี่ไปทำอะเป็นงานจริง ๆ ใช่ไหม? ไม่ได้หลอกพี่ไปขายตับขายไตนะ?” “พูดซะกูจนลุกเลย” “เห็นป่ะ ว่าผมไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง น่าห่วงสุด ๆ คงจะเป็นพี่อะพี่ตี๋ เราห่างกันมากนะพี่ ผมเป็นห่วงจะไปก็ดูเเลตัวเองด้วย เพราะผมไม่ได้อยู่ด้วยเหมือนทุกครั้ง” “เออ ๆ ไปโรงเรียนได้ละ พากูเศร้าจนนํ้าตาจะเเตก ไป ๆ” ผมโบกมือไล่ไอ้กราฟ ให้อยู่อีกนิดซีนนี้คงต้องมีคนร้องไห้ฟูมฟายเหมือนคนบ้าอะ หาเรื่องไร้สาระคุยกันได้สักพักไอ้กราฟก็เเบกกระเป๋านักเรียนคว้าเงินซื้อข้าวเที่ยง ปั่นจักรยานคันเก่งออกจากบ้านไป บ้านก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง ผมพึ่งตกงานมาหมาด ๆ ก็ไม่รู้จะทำอะไรเลยทำความสะอาดบ้านคลายเหงา ทำเสร็จทุกซอกทุกมุมของบ้านก็มานั่งพักเหนื่อยที่โซฟา ที่ใช้งานมาหลายปี เเต่เพราะทำความสะอาดอยู่บ่อย ๆ มันเลยดูใหม่เสมอ เเม้บางจุดจะขาดวิ่นไปบ้างก็เถอะ ผมเปลี่ยนจากท่านั่งธรรมดาเป็นนอนราบพลางจับมือถือที่รุ่นเก่าที่ใช้งานมาตั้งเเต่อายุ 18 จนตอนนี้อายุ 21 เเล้วยังไม่มีโอกาสได้เปลี่ยนใหม่เหมือนคนอื่น ๆ ถึงจะเก่าไปเเต่ระบบเครื่องต่าง ๆ ยังคงทำงานได้ไม่เเพ้เครื่องใหม่สมัยนี้ ในเมื่อของเก่ามันดีอยู่ของใหม่ก็คงไม่ต้อง ผมเลื่อนอ่านเฟสบุ๊คไปเรื่อย ๆ ส่องเฟสเก่าของเพื่อนรักบ้าง พอส่องนาน ๆ ก็นึกอิจฉาขึ้นมาเสียดื้อ ๆ ชีวิตของเพื่อนผมเเต่ละคนนับว่าดีมาก ดีจัดจนผมไม่กล้าเเม้จะกดไลค์รูป ทั้ง ๆ ที่เป็นเพื่อนกันผ่านทุกข์ผ่านสุขมาด้วยกันเเท้ ๆ เเปลกดีที่ผมไม่กล้า “เฮ้อ…” ผมถอนหายใจออกเเล้วปิดมือถือ วางมือถือลงหลังเสพโซเชียลสมใจ ผมยกเเขนขึ้นวางบนหน้าผากมองเพดานที่คุ้นเคย เสียงพัดลมเปิดไว้ที่ปลายเท้ายังคงทำงานหมุนความเย็นให้ผมได้ดี ความเงียบงันเข้าโอบรอบตัวผม ทำให้ผมได้ยินเเม้กระทั่งเสียงหายใจของตัวเอง เปลือกตาค่อย ๆ ปิดลง ปล่อยให้เลื่อนไหลไปกับห้วงนิทรา เพราะความเหนื่อยที่พบเจอในทุกวัน จึงทำให้วันนี้เป็นที่พักได้เต็มอิ่มนอนหลับได้เต็มตา ‘ป้อลางานกับเจ้านายมาสี่ห้าวัน เฮาไปเเอ่วทะเลกั๋นบ่อเเม่’ (พ่อลางานกับเจ้านายมาสี่ห้าวัน เราไปเที่ยวทะเลกันมั้ยเเม่) ‘กะดีโด๊ะ จะได้ปาลูกไปเปิดหูเปิดตาผ่อง’ (ก็ดีนะ จะได้พาลูกไปเปิดหูเปิดตาด้วย) ‘อีป้อจะปาน้องกับกราฟไปเเอ่วทะเลกะครับ’ (พ่อจะพาผมกับน้องไปเที่ยวทะเลเหรอครับ) ‘ครับ ป้อจะปาหมู่เฮาไปเเอ่วทะเล’ (ครับ พ่อจะพาพวกเราทุกคนไปเที่ยวทะเล) ‘เย้! กราฟจะไปเล่นนํ้าทะเล’ (เย้! กราฟจะไปเล่นนํ้าทะเล) ‘อีป้อ ๆ น้องหันเปื่อนน้องบอกว่านํ้าทะเลมันเก๊มเเต้กะครับ’ (พ่อ ๆ น้องเห็นเพื่อนบอกมาว่านํ้าทะเลมันเค็ม จริงหรือเปล่าครับ) ‘บ่อหู้หนา เเต่เตาตี้ป้อฮู้มาหนา ว่าตี้นํ้าทะเลมันเก๊มน่ะ มันเป็นเพราะว่าคนเฮาเอาเกลือไปใส่ในนํ้าทะเล ฮ่า ๆ’ (ไม่รู้นะ เเต่เท่าที่พ่อรู้มา ว่าที่นํ้าทะเลมันเค็มน่ะ มันเป็นเพราะว่าคนเราเอาเกลือไปใส่ในนํ้าทะเล ฮ่า ๆ) ‘อั้นรสชาตินํ้าทะเลกะบ่ต่างกันกับเกลือป่นบ้านเฮา’ (งั้นรสชาตินํ้าทะเลก็ไม่ต่างกับเกลือป่นบ้านเราน่ะซิ) ‘ฮ่า ๆ / ฮ่า ๆ’ บางครั้งการฝันดีมักอยู่ได้ไม่นานนัก เพราะมักมีบางสิ่งที่คอยก่อกวนให้ตื้นขึ้น ผมลืมตาขึ้นช้า ๆ สัมผัสกับสีเพดานที่คุ้นเคยพลันลุกขึ้นนั่ง เจ็บกว่าการไม่มีงานทำคือการที่ตื่นขึ้นมาเเล้วพบกับความจริงว่าเป็นเพียงฝัน ฝัน..ที่ไม่อยากตื่นเลย ผมคว้ามือถือขึ้นมาเช็คเวลาของตอนนี้ ‘AM : 11.00’ หลับไปสามชั่วโมงเลยเหรอนี่.. ผมขยี้ตาตัวเองเบา ๆ ลุกขึ้นยืนเต็มจำนวนความสูง เดินเข้าครัวหาเมนูง่าย ๆ สำหรับมื้อเที่ยง นั่งทานคนเดียวเเค่มาม่าใส่ไข่กับผักก็คงพอเเล้ว ต้มมาม่าเสร็จเพียงไม่กี่วิผมก็ยกถ้วยร้อนมาวางหน้าทีวี คิดว่าจะนั่งดูรายการตลกไปทานไป ขณะที่ผมกำลังจะวางก้นลงโซฟา เสียงกดกริ่งหน้าบ้านก็ดังขึ้น ผมยืดคอมองออกไปด้านนอกผ่านหน้าต่างพบเห็นลาง ๆ ว่ามีคนยืนอยู่หน้าประตูหนึ่งคนได้ ความคิดจะนั่งดูทีวีกับสวาปามมาม่าก็ดับหาย ความสนใจถูกเปลี่ยนเป็นหน้าประตู ผมเดินมาอยู่หน้าบ้านมองออกไปยังประตูไม้มีขาวหน้าบ้าน กลอกตาขึ้นพิจารณาว่าคนหลังประตูไม้เป็นใคร ผมมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าผมไม่เคยกู้เงิน เเละพ่อผมก็ไม่เคย ไม่คิดที่จะกู้ด้วย หากเป็นเจ้าหนี้คงไม่ใช่เเล้วเป็นใครอะ… “โอ้ยไอ้สัสตี๋ เปิดประตูให้พวกกูสามคนหน่อย ยืนเเอ็คอยู่ได้หล่อตายละไอ้เวร” เอ๊ะ! เสียงห้าว ๆ เเบบนี้ “ไนท์เหรอ” “เออ กูเองอีตี๋ เร็ว ๆ กูร้อนม๊ากกกก” “เออ ๆ โทษ ๆ กูนึกว่าใคร” ผมรีบสวมร้องเท้าแตะคู่ใจวิ่งมาเปิดประตู ผมส่งยิ้มเจื่อนให้เพื่อนสาวผู้มาเยือนหลังจากที่ไม่ได้เจอหน้ากันมาหลายปี หากเเต่ว่าฝ่ายนั้นกลับทำหน้าบึ้งตึงเหมือนไม่พอใจอะไรสักอย่าง “งะ-ไง” ผมยกมือทักทายเเบบตระวันตกเสียงกระตุกหน่อย ๆ เพราะไม่ได้เจอหน้ากันนาน เลยทำตัวไม่ถูก ‘ไนท์’ ถอนหายใจกลอกตามองบน “ไอ้ตี๋ กูถามหน่อยเถอะ กูไปทำอะไรให้มึงวะ ทำไมกูติดต่อมึงไม่ได้เลยอ่ะ มึงรู้ป่ะว่ากูโคตรคิดถึงมึงเลย” “คือ… เรียนมหา’ ลัยเป็นไงบ้างอะ ดีป่ะ” เลี่ยงที่จะไม่ตอบเลยพาเปลี่ยนเรื่องเเบบเนียน ๆ “อย่ามาเนียนดิไอ้สัส รู้ป่ะว่ากูเป็นห่วง ยิ่งตอนที่รู้ว่าไอ้ทึมเเบบมึงอะ จะไปทำงานที่กรุงเทพกูยิ่งโคตรเป็นห่วงเลยเว้ย” กรุงเทพ..? ทำงานกรุงเทพ “ไนท์รู้ได้ไงอะ” “ก็ไอ้กราฟไดเรกแมสเซนเจอร์มาบอกอะ ทำไมวะกูไม่ใช่เพื่อนมึงอ่อ ทำไมมึงไม่บอกกูเลยอะ กูไปทำอะไรให้มึงวะตี๋ นี่ก็สามปีเเล้วนะ เมื่อไหร่มึงจะบอกเหตุผลที่มึงไม่ตอบเเชทเพื่อนเเบบกูวะ” ไนท์ว่าด้วยสีหน้าน้อยใจ นัยน์ตาคู่สวยของเธอคลายกับว่าจะร้องไห้ “ไนท์” ความรู้สึกผิดก่อตัวขึ้นเองโดยไม่ต้องบอก “กูขอโทษ” “อึก.. ขอโทษอ่อ ขอโทษทำไม กูไม่ได้ต้องการคำขอโทษ สิ่งที่กูต้องการคือเหตุผลที่มึงไม่ตอบเเชทเพื่อนคนนี้เว้ย มึงลืมไปเเล้วอ๋อมาม่าหม้อเดียวที่เรานั่งกินด้วยกันอะ มึงลืมไปเเล้วเหรอไอ้ตี๋ ตอนที่มึงไม่มีเงินเเดกข้าวอะ เเล้วรวมเงินกันซื้อข้าวอะ มึงลืมไปเเล้วเหรอ!” เธอว่าทั้งนํ้าตา ผมไม่ได้โต้อะไรไปจึงทำเพียงก้มหน้าเงียบ ๆ ผมไม่ได้โกรธอะไรไนท์ทั้งนั้น ไนท์คือเพื่อนสนิทที่ดีที่สุดของผมเสมอ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเเค่ไหนไนท์ยังคงเป็นเพื่อนผู้หญิงเพียงคนที่อยู่ในคำว่าที่ดีที่สุด…เพื่อนสนิทที่ดีที่สุด เเต่เพียงเพราะผมกลัว กลัวว่าไนท์จะอายที่มีเพื่อนจน ๆ เเบบผมเป็นเพื่อน เรียนจบผมก็ไม่ได้กับไนท์เลยเเม้ว่าฝ่ายนั้นจะไดเรกเเมสเเซนเจอร์มาหาอยู่บ่อยครั้ง ผมเเอบมองชีวิตของไนท์ผ่านเฟสบุ๊ค เธอมักอัพเรื่องราวในรั้วมหา’ ลัยให้ผมเห็นอยู่เสมอ ไนท์มีเพื่อนใหม่เยอะเเยะมากมาย เเละเพื่อนเก่าเเบบผมก็คงไม่จำเป็น ผมคิดเเบบนั้นมาตลอดเลยไม่ได้ทักหรือติดต่อไป “เเกมีชีวิตที่ดีเเล้วนะไนท์ เเกมีเพื่อน มีอะไรหลาย ๆ อย่าง เราเลยคิดว่า…เเกไม่จำเป็นต้องมีเราเป็นเพื่อนก็ได้” ผมเงยหน้ามองเพื่อนสนิท ไนท์ปาดหยดนํ้าตา “พ่อมึงดิ เพื่อนกินหาง่ายไอ้ตี๋ เเต่เพื่อน…ที่จะมานั่งเเดกมาม่าหม้อเดียวกันอะเเม่งโคตรหายาก ถึงกูจะมีเพื่อนในมหา’ ลัยเยอะเป็นหมื่นคน มันก็ทดเเทนเพื่อนที่นั่งเเดกมาม่าหม้อเดียวกันไม่ได้หรอก กูรักมึงนะไอ้ตี๋ มึงคือเพื่อนเพียงคนเดียวของกูเว้ย เพื่อนที่ผ่านทุกอย่างมาด้วยกัน” “ไนท์..” “กูมาที่นี่ กูจะมาพามึงไปอยู่คอนโดฯกับกู” “คอนโดฯเหรอ?” ผมกลอกตามองบนครุ่นคิดภาพของคอนโดฯ ที่ไนท์กล่าวมา “คอนโดฯเเกเนี่ยอะนะ” “เออ มึงจะไปทำงานนิ เเล้วมึงจะพักที่ไหนละ” ผมส่ายหัวเรื่องนี้ยังไม่ได้คิดเลย คิดว่าจะไป ๆ อย่างเดียว เลยไม่ได้คำนึงถึงเรื่องที่พัก คาดการไว้ว่าจะไปตายเอาด้านหน้าขอเเค่ให้ผมได้ยื่นใบสมัคร เรื่องที่พักคงหากันได้ง่าย ๆ ไม่น่าจะยาก “ไม่ได้คิดวะ” ผมเกาเเก้มหัวเราะเบา ๆ “เห็นป่ะ นี่ไงมึงก็ไปพักกับกู เรื่องค่าใช้จ่ายไม่ต้องห่วง กูให้อยู่ฟรีกินฟรีโอเครป่ะ” “เกรงใจอะ” “เกรงใจพ่อมึงดิ ไปอยู่กับกูนี่เเหละ หาห้องพักที่กรุงเทพอะมันลำบาก เเถมราคาก็เเพงด้วย” ไนท์ว่าด้วยนํ้าเสียงเป็นห่วง ผมฉีกยิ้มให้ ไนท์ก็โพล่งเข้ากอดเพื่อนรัก “ขอบคุณนะ เราขอโทษที่ไม่ได้ติดต่อเเกกับไปเลย เราขอโทษจริง ๆ” “เออ กูกับมึงเราเพื่อนกันมีอะไรก็ช่วย ๆ กัน เเต่ตอนนี้อะกูขอกินนํ้าเย็นหน่อยได้ป่ะ กูหิวนํ้า” เคลียร์ใจกันเสร็จสรรพผมก็พาไนท์เข้ามาในบ้าน หานํ้าเย็น ๆ ให้เพื่อนกิน เเละนั่งคุยกันไปเรื่อย ย้อนวัยตอนมัธยมบ้างตามภาษาเพื่อนที่ไม่ได้คุยกันหลายปี ไนท์เล่าเรื่องชีวิตเด็กมหา’ ลัยให้ผมฟัง มันไม่ได้สบายเหมือนที่เราคิดไว้ มันไม่ได้เหมือนในซีรีส์ เพราะชีวิตเด็กมหา’ ลัยจริง ๆ มีเเต่งาน ๆ เเละกิจกรรมต่าง ๆ ที่มากกว่ามัธยม ผมฟังไปก็นึกอิจฉาเพื่อนที่ได้เรียนในคณะที่ตัวเองชอบ สำหรับผมต้องตัดทิ้งเพื่อลดค่าใช้จ่าย พลันเปลี่ยนเรื่องของผมบ้าง ผมเล่าเรื่องของอาตี๋นักสู้ชีวิตในไนท์ฟังหลังเรียนจบเจออะไรบ้างบลา ๆ กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็คุยกันถึงบ่ายสองเเล้วเกือบ ๆ สามโมงเย็น ไนท์เลยขอตัวกลับบ้าน ก่อนจะออกจากบ้านผมไปเราก็ได้คุยกันเล็กน้อยที่ถึงการไปกรุงเทพ “มึงจะไปวันไหน กูจะได้มารับถูก” ไนท์ถามพร้อมสะพายกระเป๋าเเชทเเนลสีดำ “น่าจะวันมะรื่นอะ เดี๋ยววันนี้ขอดูงานที่จะไปทำอีกทีนะ อยากเช็คเพื่อความเเน่ใจอะ” “เออดีเเล้ว งั้นมึงก็ช่วยส่งร้านที่มึงจะไปทำงานมาให้กูดูด้วยนะ เผื่อกูรู้จัก” “เออ ๆ กลับบ้านดี ๆ นะ” “จ้ะ วันพรุ่งนี้จะมาใหม่บัยจ้ะเพื่อน” ไนท์จุ๊บส่งให้ผมเเล้วมุดตัวขึ้นรถหรู รถยนต์สีดำสนิททะยานออกจากบ้านผมไป ผมยืนมองดูจนมันหายไปจากการมองเห็น หมุนตัวกลับเข้ามาในบ้าน ทว่ายังไม่ทันถึงบ้านเสียงมือถือก็ดังขึ้น เป็นข้อความจากไนท์ที่ส่งมาหา ผมกดเข้าไปดูมีเเชทเก่า ๆ ทักมาเยอะมาก เเละเเชทใหม่ที่พึ่งส่งมาหมาด ๆ Night tt Hi! อย่าลืมส่งรูปร้านมาให้ดูด้วยนะ เผื่อกูรู้จัก เออๆ เดี๋ยวส่งให้นะ อืม ขับรถเเปปจ้ะถึงบ้านเดี๋ยวทักหา ขับรถดีๆ นะ โอเคๆ ส่งสติ๊กเกอร์หมาโอเคร ผมปิดมือถือเเล้วเดินเข้าบ้านด้วยสีหน้าสบายอกสบายใจ เหมือนได้ยกภูเขาลูกใหญ่ออกจากอกอย่างไงอย่างงั้น ผมคิดมาโดยตลอดว่าไนท์ไม่ได้อยากมีผมเป็นเพื่อนอีกต่อไป เเต่วันนี้มันกลับผิดคาดไม่เหมือนที่คิดไว้เลย ไนท์เพื่อนสนิทที่ดีที่สุด ตลอดไปเลย “ไอ้กราฟวันนี้ซ้อมบอลป่ะ” [ไม่นะพี่ สอบเสร็จก็น่าจะกลับเลย มีไรอะ] “กินหมูกะทะกัน” TBC. ถ้าอยากมีคำผิดตกค้างอยู่บอกได้นะคะมองตัวหนังสือนานๆมึนหัวมุมุ ฮื่ออ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD