หมู่บ้านชาวประมง
“นี่...มัน...เกิดอะไรขึ้น!” เฮรูเอ่ยออกมาด้วยความตกใจระคนสงสัย เมื่อเดินทางมาถึงบ้านของชอร์ตี้ในเวลาย่ำรุ่ง
แสงแห่งสุริยะเทพสาดแสงจนเห็นทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างชัดเจน หากแต่เบื้องหน้าที่ปรากฏกลับมิใช่บ้านที่เคยพบเห็น กลุ่มควันขาวยังคงล่องลอยออกมาเป็นระยะๆ
ท่ามกลางซากที่เป็นเถ้าถ่านอันมีผลมาจากการถูกเพลิงเผาผลาญทำลาย ตัวบ้านที่ทำจากอิฐตากแห้งยังคงเหลือร่องรอยทิ้งไว้ ทว่าภายในตัวบ้านกลับถูกเผาทำลายจนสิ้นซาก จนหลังคาที่ทำจากอิฐตากแห้งเช่นกันพังถล่มทับตัวบ้านลงมาจนหมด เพราะความร้อนของเปลวเพลิง
เฮรูกระโดดลงจากเรือที่ใช้เป็นพาหนะเดินทางด้วยความเร่งรีบ ก่อนจะวิ่งห้อตะบึงตรงไปที่บ้านซึ่งเหลือแต่ซากจากการถูกไฟไหม้ โดยมีทหารองครักษ์ที่ติดตามมาด้วยห้านาย เพื่อถวายอารักขาว่าที่องค์ราชินี ไปยังพระราชวังอียิปต์ องครักษ์ทั้งหกนายวิ่งมาถึงจุดหมายด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะหยุดยืนมองซากบ้านตรงหน้าที่แทบไม่เหลือเค้าโครงเดิมแม้แต่น้อย
“พี่ชายนี่คือบ้านของลุงชอร์ตี้หรือไม่” เฮรู เอ่ยถามชาวบ้านที่ยืนมุงดูบ้านที่เหลือแต่ซาก
“นี่แหละบ้านของชอร์ตี้ แต่ตอนนี้มิเหลือสิ้นแล้วคาดว่าบ้านจะไหม้ช่วงกลางดึก ละแวกนี้บ้านแต่ละหลังอยู่ห่างออกไปไกลพอสมควรจึงไม่มีใครเห็นเหตุการณ์สักคน เพิ่งจะรู้ก็ตอนที่แล่นเรือผ่านหน้าบ้านนี่แหละ”ชาวบ้านในกลุ่มตอบกลับมา
“แล้วลุงชอร์ตี้กับเนพธีสเล่าพี่ชายอยู่ที่ใด” เฮรูเอ่ยถามอย่างร้อนรน
“ตายกันหมดในกองเพลิง ไม่มีใครรอดสักคน” ชายคนดังกล่าวตอบกลับมา และนั้นคือคำตอบที่สร้างความตกใจให้แก่เฮรูอย่างยิ่งยวด
“ตาย! ตายทั้งหมดเลยหรือนี่” ราชองครักษ์หนุ่มส่งเสียงรำพึง ไม่อยากเชื่อว่าสิ่งที่ได้ยินคือความจริงก่อนจะรีบสอบถามเหตุการณ์ด้วยความใคร่รู้อย่างรวดเร็ว
“ซากศพ! ซากศพของทั้งสองเห็นหรือไม่พี่ชาย” เฮรูเอ่ยถามพร้อมภาวนาอย่าได้ยินในสิ่งที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นเลย
“เห็น! อยู่ทางโน้นไง” ชาวบ้านคนดังกล่าวชี้มือตรงไปที่ซากศพที่ถูกห่อด้วยผ้าลินินสองร่าง วางอยู่บนพื้นใกล้กอปาปิรัส มีชาวบ้านชายหญิงกลุ่มหนึ่งกำลังห่อผ้าให้กับซากศพเพื่อมิให้อุจาดตา
เฮรูแทบจะเข่าอ่อนลงไปทันที เมื่อเห็นซากศพสองร่างที่ถูกผ้าลินินห่อหุ้มไว้ ขาทั้งสองรีบก้าวเดินตรงไปยังซากศพตรงหน้าด้วยความรวดเร็ว
“มีศพของหญิงสาวหรือไม่” ราชองครักษ์หนุ่มเอ่ยถามพร้อมสังเกตซากศพตรงหน้าด้วยความรู้สึกเวทนา
“ศพผู้หญิงที่เป็นหลานสาวคือเนพอยู่ทางขวามือ ส่วนซ้ายมือคือชอร์ตี้ ไม่เหลือเค้าให้เห็นแล้วเพราะถูกไหม้จนเกรียมไปหมดแยกแยะแทบไม่ออก” ชาวบ้านในกลุ่มดังกล่าวตอบกลับมาพร้อมแกะห่อผ้าลินินออกอย่างรวดเร็วและนั้นทำให้เฮรูถึงกับนิ่งงันไปเลยทีเดียวเมื่อเห็นสภาพของซากศพตรงหน้า ก่อนจะเอ่ยถามถึงสาเหตุเพลิงไหม้
“เหตุใดจึงเกิดเพลิงไหม้ได้เล่า” เฮรูเอ่ยสอบถามข้อเท็จจริง
“แถวนี้เกิดเพลิงไหม้บ่อยเพราะแต่ละบ้านจะทำภาชนะเครื่องเรือนใช้เอง โดยเฉพาะบ้านของชอร์ตี้จะทำไหบรรจุเหล้าองุ่นจากโคลนของแม่น้ำไนล์เป็นจำนวนมากสงสัยคงจะเผาไหเหล้าแล้วลืมดับไฟเพราะชอร์ตี้ทำไฟไหม้บ้านมาแล้วหลายครั้ง
เพียงแต่ครั้งนี้ไม่โชคดีเหมือนครั้งที่ผ่านๆ มา คงจะสำลักควันไฟจนสลบทำให้โดนไฟคลอกตายคาบ้านด้วยกันทั้งคู่ ข้าแล่นเรือผ่านหน้าบ้านเมื่อคืนกลางดึกยังเห็นปกติดีทุกอย่าง แต่พอรุ่งเช้าก็มีสภาพดั่งที่เจ้าเห็น”
คำตอบของเพื่อนบ้านในละแวกที่พักอาศัยด้วยกัน ทำให้เฮรูสิ้นความสงสัยอย่างสิ้นเชิง สายตาทอดมองซากศพเนพธีส ที่ห่อด้วยผ้าลินินในสภาพหงิกงอซ้ำร้ายยังไหม้เกรียมจนจำไม่ได้เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เฮรูมิรู้ว่าจะกลับไปกราบทูลให้กษัตริย์ของตนเช่นไรดี
“โธ่! ฝ่าบาท” ราชองครักษ์หนุ่มได้แต่รำพึงเพียงเท่านั้น ความฉลาดและหลักแหลมที่เคยมีบัดนี้ตีบตันจนไม่สามารถนึกอะไรได้อีกเลย”
พระราชวังอียิปต์ใต้
สายน้ำสีน้ำเงินไหลเอื่อยตามไปเส้นทางของลำน้ำอย่างช้าๆ แม่น้ำไนล์ในขณะนี้มีระดับน้ำท่วมสูงจนมิเห็นริมฝั่งน้ำไหลทะลักจนท่วมไปถึงพระราชวังอียิปต์ หากมองจากเบื้องบนของพระราชวังที่อยู่สูงลิบยังสามารถรถมองเห็นคลื่นน้ำไหลกระเพื่อมจนกระทบฐานของพระราชวังได้อย่างชัดเจน
ฟาโรห์เซติประทับยืนตรงระเบียงภายในพระตำหนักส่วนพระองค์ พระโอษฐ์แย้มสรวลเมื่อทอดพระเนตรระดับน้ำในแม่น้ำไนล์ท่วมสูงมากกว่าทุกๆ ปีที่ผ่านมา
“เหล่าทวยเทพทรงยินดีในการอภิเษกสมรสครั้งนี้ของข้าเป็นแน่แท้ เทพเจ้าและเทพีแห่งไนล์จึงบันดาลให้น้ำท่วมมากกว่าทุกปี ประชาชนของข้าก็จะสามารถลงพืชผลภายหลังจากน้ำลดท่าทางปีนี้จะเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ดีเป็นแน่แท้” องค์กษัตริย์ตรัสด้วยพระอารมณ์ที่เบิกบาน
ยิ่งใกล้ถึงวันที่พระองค์จะได้พบเนพธีสเข้ามาทุกขณะ ยิ่งทรงพระเกษมสำราญมากยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม ก่อนจะได้ยินเสียงของราชองครักษ์ที่คอยอารักขาอยู่ด้านนอกเข้ามาถวายรายงาน
“กราบทูลฝ่าบาท มีม้าเร็วจากท่านเฮรูมาพ่ะย่ะค่ะ”
“เฮรูส่งมาเร็วมาทำไมกัน” องค์กษัตริย์รับสั่งด้วยความแปลกพระทัย
พร้อมหันพระวรกายกลับมาทอดพระเนตรเมื่อองครักษ์หนึ่งในห้าที่ติดตามเฮรูไปด้วย ควบม้าฝีเท้าจัดเพื่อมาส่งข่าวที่พระราชวังอียิปต์ใต้โดยมิแวะพักที่ใดแม้แต่น้อย
“เหตุใดเฮรูจึงส่งมาเร็วกลับมาถวายรายงานแก่ข้า แทนที่จะกลับมาด้วยตัวเอง” พระองค์รับสั่งถามทันทีที่ร่างองครักษ์ทรุดกายนั่งลงกับพื้น
“กราบทูลฝ่าบาท ท่านเฮรูกราบทูลขออัญเชิญฝ่าบาทเสด็จไปยังหมู่บ้านชาวประมงโดยด่วนพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้บ้านของชอร์ตี้มีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น ซึ่งฝ่าบาทจำเป็นที่จะต้องได้ทอดพระเนตรเป็นยิ่งนัก”
สิ้นคำกราบทูลขององครักษ์ตรงหน้า ฟาโรห์เซติถึงกับนิ่งงันไปทันทีเมื่อทรงได้ยินเช่นนั้น ภายในพระทัยห่วงยอดดวงใจของพระองค์ขึ้นมาโดยพลัน
“เตรียมม้าเร็ว! ข้าจะเดินทางไปหมู่บ้านชาวประมง”องค์กษัตริย์รับสั่งด้วยพระสุระเสียงกึกก้อง
ในยามนี้ทรงหวงความปลอดภัยของเนพธีสเป็นอย่างยิ่ง หากแม้นทรงล่องหนหายตัวได้จะรีบเสด็จไปหานวลนางเพื่อปลอบขวัญโฉมตรูให้หายหวาดกลัวกับทุกสิ่งที่เข้ามาแผ้วพาน
หมู่บ้านชาวประมง
กระโจมขนาดใหญ่ถูกสร้างขึ้นไม่ห่างจากตัวบ้านของชอร์ตี้ ซึ่งบัดนี้เหลือเพียงแต่ซากที่เกิดจากเพลิงเผาผลาญ ภายในกระโจมปรากฏแท่นวางศพ และบนแท่นนั้นได้มีซากศพของหญิงสาวที่ถูกไฟไหม้จนเกรียมมิอาจจำอัตลักษณ์ได้แต่อย่างใด ซากดังกล่าวถูกห่อหุ้มด้วยผ้าลินินอย่างดีทดแทนผ้าผืนเก่าที่มีเนื้อผ้าหยาบ เป็นการให้เกียรติกับคนตายในฐานะที่นางคือว่าที่ราชินีอียิปต์แต่จบชีวิตก่อนจะถูกสถาปนา
ด้านนอกกระโจมปรากฏองครักษ์ห้านายคอยดูแลรักษาซากศพดังกล่าว เพื่อรอคอยองค์กษัตริย์เสด็จมา เหตุเพราะเฮรูมิอาจจะหาคำตอบอื่นใดไปอธิบายให้พระองค์เข้าพระทัยได้โดยง่าย
จึงเลือกที่จะอัญเชิญฟาโรห์หนุ่มให้เสด็จมาทอดพระเนตรโฉมงามด้วยพระองค์เองดีที่สุด แม้จะต้องพบกับความสูญเสียอันยิ่งใหญ่ แต่นั้นเป็นสิ่งที่จะต้องยอมรับ และแล้วเรือพระที่นั่งของฟาโรห์แห่งอียิปต์ก็แล่นมาอย่างช้าๆ ก่อนจะเข้าจอดเทียบตรงริมฝั่งไม่ห่างจากซากบ้านเท่าใดนัก
ฟาโรห์เซติเสด็จออกจากเรือพระที่นั่งประทับหยุดยืนอยู่ตรงหน้าบ้านที่บัดนี้เหลือแต่ซากมิหลือเค้าโครงของบ้านที่เต็มไปด้วยความร่มรื่นหลงเหลืออีกเลย ต้นองุ่นหลายต้นที่ปลูกอยู่ใกล้ตัวบ้าน บัดนี้ลำต้นหงิกงอจากผลพวงที่พระเพลิงเผาผลาญจนวอดวาย
“เกิดอะไรขึ้น!” องค์กษัตริย์รับสั่งด้วยความตกพระทัยทันที
ที่ทรงได้ทอดพระเนตรสภาพแวดล้อมตรงเบื้องพักตร์พระบาทเริ่มทำงานฉับพลัน เสด็จวิ่งตรงไปยังจุดที่เฮรูกำลังยืนอยู่หน้ากระโจมด้วยความรวดเร็ว
“ฝ่าบาท!” ราชองครักษ์หนุ่มทรุดกายลงนั่งกับพื้น ทันทีที่พระองค์เสด็จมาถึง
“เกิดอะไรขึ้นเฮรู! เนพธีสของข้าอยู่ไหน!” รับสั่งหาโฉมงามด้วยความวิตก
หากแต่เฮรูได้แต่นั่งนิ่งเงียบด้วยมิรู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี ก่อนจะตัดสินใจเปิดผ้ากระโจมด้านหนึ่งออก
“เสด็จเข้าไปทอดพระเนตรด้วยพระองค์เองเถิดพ่ะย่ะค่ะ เนพธีสรอฝ่าบาทอยู่นั้น” ราชองครักษ์หนุ่มกราบทูลด้วยน้ำเสียงที่แฝงเร้นไปด้วยความเศร้า ความรู้สึกในตอนนี้ช่างหดหู่เป็นยิ่งนัก
ฟาโรห์แห่งอียิปต์รีบเสด็จเข้าไปภายในกระโจมด้วยความรวดเร็ว ภายในพระทัยเต็มไปด้วยความกังวลและทรงหวงโฉมงามของพระองค์ยิ่งนัก ทว่าทันทีที่เสด็จเข้าไปข้างใน ปรากฏร่างที่ถูกห่อหุ้มด้วยผ้าลินินสีขาวนอนสงบนิ่งอยู่บนแท่นวางศพ
“นี่มันอะไรกันเฮรู! เจ้าให้ข้าเข้ามาดูอะไร! เนพธีสของข้าอยู่ที่ใดกันเล่า!” ฟาโรห์เซติรับสั่งด้วยพระสุระเสียงกึกก้อง เมื่อทอดพระเนตรร่างสงบนิ่งตรงเบื้องพระพักตร์ แทนที่จะเป็นเนพธีสของพระองค์
“ฝ่าบาท” เฮรูเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ก่อนจะก้าวเดินตรงไปหยุดยืนข้างๆร่างไร้วิญญาณตรงหน้า
“ร่างนี้คือเนพธีสพ่ะย่ะค่ะ นางตายแล้ว” ราชองครักษ์เฮรูตัดสินใจกราบทูลให้ฟาโรห์แห่งอียิปต์ทรงทราบ ท่ามกลางความตกตะลึงของพระองค์เมื่อทรงได้ยินคำกราบทูลจากราชองครักษ์คนสนิทตรงเบื้องพระพักตร์
“เจ้าเอาอะไรมาพูด!” พระองค์รับสั่งตวาดจนสุดพระสุระเสียง พร้อมยกนิ้วพระหัตถ์ชี้ไปทางร่างอันไร้วิญญาณ
“ร่างนี้ไม่ใช่เนพธีสของข้า! มันไม่ใช่เรื่องจริง! นางยังไม่ตาย! นางยังไม่ตาย!” สุระเสียงตวาดดังก้องด้วยมิอาจทำพระทัยยอมรับในสิ่งที่ทรงทราบได้แม้แต่น้อย
“กระหม่อมมิได้กล่าวคำเท็จแม้แต่น้อย เนพธีสถูกไฟคลอกตายพร้อมกับชอร์ตี้เมื่อสามวันก่อน เหตุที่ไฟไหม้บ้านเพราะชอร์ตี้อาจจะลืมดับไฟที่กำลังทำไหบรรจุเหล้าองุ่น
อีกทั้งเกิดไฟไหมบ้านมาแล้วหลายครั้งเพราะสาเหตุดังกล่าวชาวบ้านในละแวกนี้ต่างพากันเข้าไปเก็บศพของทั้งสองออกมาจากตัวบ้าน ก่อนที่จะพังถล่มลงมา และต่างยืนยันว่าศพที่ช่วยกันขนออกมานั้นเป็นของเนพธีสและชอร์ตี้มิผิดแน่นอนพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
ฟาโรห์แห่งอียิปต์ทรุดพระวรกายลงไปกับพื้นทันที เมื่อทรงทราบเช่นนั้น น้ำพระเนตรเริ่มเอ่อล้นคลอเบ้า ด้วยเพราะทรงแน่ชัดแล้วว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเคยปรากฏขึ้นจริงและบ่อยครั้งมาก เมื่อครั้งที่พระองค์พักอาศัยอยู่ด้วย แต่รอดมาได้ทุกครั้งเพราะองค์กษัตริย์สามารถดับต้นเพลิงได้ทันเวลา เพียงแต่ว่าครั้งนี้มันไม่เป็นเช่นนั้นอีกแล้ว
“ไม่จริง! เนพธีสของข้ายังไม่ตาย! นางยังไม่ตาย! ยังไม่ตาย!” ฟาโรห์เซติแผดพระสุระเสียงด้วยความโศกเศร้าพระทัยอย่างยิ่งยวด
พระหัตถ์ข้างขวายกขึ้นปิดพระพักตร์พร้อมกรรแสงสะอึกสะอื้นจนพระวรกายสั่นสะท้าน น้ำพระเนตรหลั่งรินด้วยความเสียพระทัยจนมิอาจพรรณนาถ้อยคำใดๆ ออกมาได้อีก
เวลาผ่านไปมิรู้เนิ่นนานเพียงใด องค์กษัตริย์นั่งกรรแสงด้วยความเสียพระทัยอยู่เป็นเวลานาน ก่อนจะทรงทำพระทัยหันกลับไปทอดพระเนตรร่างอันไร้วิญญาณที่นอนสงบนิ่งอยู่บนแท่นวางศพ วงองค์สั่นสะท้านด้วยทรงกำสรด เสด็จลุกขึ้นทรงยืนพร้อมค่อยๆ ก้าวพระบาทตรงไปหาร่างอันไร้วิญญาณที่ถูกห่มหุ้มด้วยผ้าลินินเป็นอย่างดี
พระหัตถ์หนาสั่นเทาเอื้อมไปแกะผ้าห่อศพดังกล่าวออก เผยให้เห็นร่างที่ไหม้เกรียมจนดำเป็นตอตะโก น้ำพระเนตรที่เริ่มเหือดหาย กลับหลั่งรินออกมาไม่ขาดสายอีกคราเมื่อทรงทอดพระเนตรร่างไร้วิญญาณตรงเบื้องพระพักตร์มีสภาพเป็นเช่นนั้น
พระกรตรงเข้าช้อนร่างที่ไหม้เกรียมเข้าสู่อ้อมแขนก่อนยกขึ้นสวมกอดอย่างไม่รังเกียจ ตรงกันข้ามพระองค์ต้องการที่จะกอดร่างอันไร้วิญญาณนี้ให้อยู่ในอ้อมกอดของพระองค์ไปตลอดกาล
“ข้ามาหาเจ้าแล้วเนพธีส! ข้าเคยสัญญาว่าจะคอยปกป้องดูแลเจ้า และจะนำเจ้ากลับไปอยู่ด้วยกัน กลับไปบ้านของเราเนพธีส บ้านที่ข้าและเจ้าจะอยู่ด้วยกันตลอดไป” พระองค์รับสั่งพร้อมประทับจุมพิตลงบนใบหน้าที่ไหม้จนดำเป็นตอตะโก
พระหัตถ์ค่อยๆ ลูบไล้ใบหน้าร่างอันไร้วิญญาณไปมาเบาๆ ท่ามกลางสายตาของบรรดาองครักษ์ ต่างพากันสลดใจกับการสูญเสียอันยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ของพระองค์