ตอนที่ 4.2

3164 Words
“หยุดนะ!” เขาร้องเรียก พยายามวิ่งไปห้าม แต่เรี่ยวแรงไม่อาจยับยั้ง   ร่างสูงกำยำถึงสามคนได้ พวกมันหัวเราะแล้วคุยกันเป็นภาษาพม่า สีหน้าและ  การกระทำบ่งบอกได้ดีว่ากำลังจะทำอุจาดกับเด็กสาวไม่มีทางสู้ แต่นักรบไม่ยอมแน่ เขาคิดสู้ให้ถึงที่สุด พลันสายตาเหลือบไปเห็นดาบที่พวกมันสะพายติดหลัง จึงเข้าไปชักมากำไว้ พวกมันสบถอย่างหัวเสีย มองเขาเหมือนมองเหลือบไรตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งทำท่าจะพุ่งเข้ามาแย่ง มิใช่มิเคยเรียน      การต่อสู้ พอรู้การหลบหลีกและการปะทะมาบ้าง วินาทีนั้นจึงตัดสินใจแทงออกไป คมดาบกะซวกเข้ากลางท้อง ทำให้มันล้มลงโอดครวญอย่างเจ็บปวด “มีกระไรกัน!” เพราะเสียงกรีดร้องของเด็กสาวและเสียงโวยวายของลูกน้อง สร้างความรำคาญให้แก่แม่ทัพใหญ่ที่กำลังจะหลับจนต้องออกมาดู เมื่อก้าวเข้ามาถึงยังจุดเกิดเหตุซึ่งอยู่ห่างจากกระโจมไม่ไกล ก็พบกับนายทหารของตนที่ถูกแทงเสียเลือด หน้าซีดเผือด ลมหายใจรวยริน เขาตวัดสายตาดุเป็นเชิงถามคนที่เหลือ ทว่าไม่ต้องมีใครบอกเขาก็พอรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อภาพตรงหน้าชัดเจนเสียขนาดนี้ เด็กสาวเชลยหน้าตาสะสวยกำลังร้องไห้หนัก เสื้อผ้าหลุดลุ่ยเห็นผิวเนินอกเนียนหมิ่นเหม่ มองเขาอย่างหวาดกลัว ลูกน้องเขาอีกสองคนก้มหน้าเพียงเล็กน้อย ส่วนชายาเชลยตัวปลอมนั่งตัวสั่น แหงนหน้ามองเขา ในมือกำดาบไว้แน่น “เจ้าทำคนของข้ากำลังจะตาย” แม่ทัพหนุ่มเอ่ยเสียงเย็น เดินเข้ามาใกล้ร่างทหารที่บัดนี้ไม่มีลมหายใจ  อีกต่อไปแล้ว เขาใช้เท้าเขี่ยร่างที่นอนคุดคู้อย่างเจ็บปวดเมื่อครู่ให้หงายขึ้น เพื่อให้คนกระทำการอาจหาญเห็นว่าเขาได้สูญเสียกำลังพลไปหนึ่งคนก็เพราะมัน “เพราะคนของท่านกำลังจักทำมิดีมิร้ายน้องสาวของข้า” “โดนจับมาเป็นเชลย พวกข้าย่อมจักทำกระไรก็ได้ ไม่ฆ่ามันตายตั้งแต่ถูกจับก็บุญแค่ไหนแล้ว” นัยน์ตาดุดันเหลือบมองเด็กสาว บุหงาตัวสั่นเทิ้ม รีบหลบสายตาเขาทันที “คนเหมือนกัน ไยทำเหมือนไม่ใช่คนเหมือนกัน เธอเป็นแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่มิมีทางสู้ เหตุใดจึงต้องเจอเรื่องเยี่ยงนี้” นักรบเถียงไม่ถอย นึกถึงคนร่วมชาติที่ถูกจับเป็นเชลย ต้องถูกทารุณ    ถูกใช้งานเยี่ยงทาสให้ศัตรูแล้ว หัวใจมันรู้สึกร้าวรานเหลือทน “เพราะมันเป็นเชลย ต่อให้ต้องอยู่ใต้ฝ่าเท้าอังวะก็ต้องยอม” “รุกรานผืนแผ่นดินชาติสยาม ปล้นข้าวของเงินทองไป ยังไม่เจ็บใจเท่าปล้นความเป็นคน” ฝีปากท่าทางสู้ยิบตาทั้งที่แววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวนั้น ทำให้   แม่ทัพใหญ่แค่นหัวเราะ จับตามองมันไม่วาง เหมือนได้มองลูกแมวตัวเล็ก ๆ ที่ขู่ฟ่อแต่ไร้หนทางสู้ เขาครุ่นคิดครู่หนึ่งก็เผยยิ้มร้ายออกมา “ฝีปากช่างดีนัก อาจกล้าฆ่าคนของข้า ถ้าเจ้าใคร่ช่วยนางเด็กเชลยนี่นัก ก็จงเป็นอย่างที่มันเป็นแทน ดีหรือไม่” คำถามที่ส่งมา มิใช่คำถามที่ต้องการคำตอบ นักรบสงสัย แต่ก็ไม่ทันจะได้คิด เขาก็เห็นแม่ทัพหนุ่มพยักพเยิดหน้าเป็นเชิงอนุญาตให้ทหารสองคนที่เหลือ กระทำการสานต่ออย่างที่ตั้งใจไว้แต่แรก หากแต่เปลี่ยนจากบุหงา มาเป็นตัวเขาแทน ทหารพม่าสองคนเลิ่กลั่กในที แต่สุดท้ายก็ต้องจำยอมเพราะท่านแม่ทัพใหญ่สั่ง รวมทั้งมีอารมณ์กำหนัดตามประสาชายฉกรรจ์พ่วงอยู่ด้วย หลังได้รับอนุญาต จึงปรี่เข้าไปช้อนอุ้มร่างบางของนักรบขึ้นแบกหลัง เดินมุ่งหน้าไปทางป่ารกชัฏทันที “ไม่! ปล่อยข้า! ท่านแม่ทัพ! อย่าทำเยี่ยงนี้!” พอถูกแตะเนื้อต้องตัว นักรบก็เริ่มลนลาน พยายามดีดดิ้นยื้อกายให้หลุดออกจากการจับกุม ส่วนบุหงาร้องไห้ครวญครางราวกับเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด เธอไร้เรี่ยวแรงจะลุกแต่ก็ยังพยายามตะกุยดินไปเกาะขาแม่ทัพหนุ่ม “ได้โปรดท่านแม่ทัพ อย่าทำกระไรพี่นักรบเลย พี่นักรบเป็นคนดี มิเคยคิดร้ายกับใคร” เธอร่ำร้องแทบไม่ได้ศัพท์ เสียงนั้นสร้างความระคายหูให้คนฟังเป็นอย่างมาก โบโชตูระพรูลมหายใจ แล้วเหยียดยันเท้าถีบอกเด็กสาวให้ออกห่างอย่างไร้ซึ่งความปรานี “ผู้ใดสนกันเล่า ความดีหากินได้ไม่ อีกอย่างความดีของมันมิได้อยู่ในความสนใจของข้าสักหน่อย เอาไว้มันทำให้ข้ารักได้เมื่อไร เมื่อนั้นข้าถึงจะเทิดทูนมัน” พูดเพียงเท่านั้นก็หมุนกายกลับหลังเดินเข้ากระโจมทันที ทิ้งความโกลาหลไว้อย่างนั้น “ท่านแม่ทัพ ได้โปรด!” นักรบตะโกนรั้ง ขณะถูกอุ้มไกลห่างออกไปเรื่อย ๆ แต่แล้วเขาก็รู้ดีว่า    คำร้องขอของเขา มิอาจส่งไปถึงหัวใจของอีกฝ่ายได้ ในเมื่อคน ๆ นั้น มิใช่พี่ยอด    ผู้ที่เคยอาศัยอยู่ในเรือนเขาในช่วงเวลาหนึ่ง แต่เป็นแม่ทัพอังวะ ศัตรูคู่แค้นของแผ่นดินสยาม เช่นนั้นแล้วจึงเงียบคำ ปล่อยให้น้ำตาร้อนไหลรินอาบแก้ม ค่ำคืนนั้นจำความเจ็บปวดร้าวรานได้ไม่ลืมเลือน ถูกกระทำการล่วงละเมิดยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน ไม่มีปรานี ไม่มีทะนุถนอม ทุกการสัมผัสเต็มไปด้วยความหยาบโลนน่าขยะแขยง ผลัดกันทำ ผลัดกันมอง ร่วมหัวเราะกันอย่างพึงพอใจ ก่อนพวกมันจะหยุดรุกล้ำเอาตอนฟ้าสางเพราะหมดแรง เมื่อหนำใจแล้วก็แต่งกายเดินจากไป ทิ้งให้ร่างเปลือยเปล่านอนคุดคู้อยู่อย่างเดียวดาย เพลานั้นน้ำตาที่เคยไหลรินเหือดแห้งเหลือแต่คราบเกรอะกรังติดหางตา กลับมาหลั่งรินอีกรอบ หัวไหล่บางสั่นเทิ้มอย่างบ้าคลั่ง หมดสิ้นแล้วซึ่งความรู้สึกดีที่เคยมอบให้ หัวใจแตกสลายไม่เหลือซาก กว่าจะตั้งสติได้ก็รุ่งเช้า แสงแดดรำไรเล็ดลอดผ่านแมกไม้กระทบตา   เป็นสัญญาณวันใหม่ให้เขากลับมาสร้างกำลังใจให้ตัวเองขึ้นอีกครั้ง แม้ภายในจะร้าวระบม หากแต่ลมหายใจก็ยังนำพาให้ลุกเดิน เมื่อมองไปรอบกายไม่มีผู้ใด      จึงตัดสินใจหนีกลับบ้าน กว่าแม่ทัพหนุ่มจะรู้ว่าชายาเชลยตัวปลอมได้หายตัวไปก็ช่วงสาย หลังตื่นมาแล้วไม่มีอ่างล้างหน้ากับผ้ามาให้เช็ดเหมือนเช่นทุกวัน พอรู้อย่างนั้นอารมณ์ก็หงุดหงิดขึ้นมา พาลใส่ทุกคนจนไม่มีใครเข้าหน้าติด ทั้งที่วันนี้ได้ฤกษ์ออกศึกตีประตูทางเข้าหลักของกรุงอโยธยา แต่คนเป็นหัวหน้ากลับสั่งให้เลื่อนออกไปก่อน เพียงเพื่อให้ทุกคนออกตามหา จับเป็นชายาเชลยวิปลาสคนนั้น ส่วนเขามุ่งหน้าไปยังจุดหมายหลัก นั่นก็คือเรือนเจ้าพระยาจักรีฯ ซึ่งอยู่ห่างจากฐานทัพพม่าประมาณสิบกิโลเมตร ตอนแรกตั้งใจว่าหากวันนี้ตีประตูหน้าด่านโยเดียได้สำเร็จ เขาก็จะนำชัยชนะไปพาตัวแม่หญิงดวงเดือนมาเป็นคู่ครองอยู่แล้ว ส่วนไอ้นักรบคนนั้นก็จะปล่อยมันไปตามมีตามเกิดเสีย ไม่คิดว่าเวลานี้จะต้องมาตามตัวปัญหาให้วุ่น  “เจอหน้าเมื่อใด จักฆ่าให้สิ้น” แม่ทัพหนุ่มขบฟันขณะขี่อาชามุ่งหน้าไปยังเรือนเจ้าพระยาจักรีฯ โดยมีนายทหารชเวติดตามเพียงเท่านั้น เมื่อมาถึง ความทรงจำที่เคยมีร่วมกับแม่หญิงยอดดวงใจก็พรั่งพรูกลับคืน เขาเวลานั้นคือยอด ทหารจากเมืองละโว้ที่มาร่วมเสริมกองทัพกับอโยธยา ทั้งที่จริงแล้วคือแม่ทัพตูระแห่งอังวะ ผู้ซึ่งมาสอดแนมหาข่าวจากฝ่ายศัตรู เพื่อนำไปวางแผนเข้าจู่โจมตีเมืองกรุงซึ่งก็คือวันนี้ แรกเจอกันนั้นเป็นเรื่องบังเอิญ เขาที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ใกล้เรือนเจ้าพระยาจักรีฯ พลาดท่าเสียทีให้กับกลุ่มโจรปล้นสะดม ไพร่ฟ้าแสนดีของผืนแผ่นดินนี้เอง พวกมันคงถูกรุกราน บ้านเมืองถูกแบ่งแยกเป็นฝักฝ่าย ระส่ำระสายจนไม่มีที่ยึดเหนี่ยว จนกลายเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนที่ประชาชนปล้นกันเสียเอง พวกมันใช้ดาบฟันเขา เพราะคิดว่าเขากำลังจะมาปล้นพวกมันเช่นกัน ด้วยจำนวนที่มีมากกว่า จึงทำให้แม่ทัพตูระพ่ายแพ้ ถูกฟันแทบสิ้นชีวิต ลื่นไถลหมดสติตรง   ริมตลิ่งตอนใกล้ค่ำ โชคดีที่มีคนช่วยเอาไว้ “แม่หญิง ให้บ่าวทำเถิดเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวคราบเลือดสิ่งสกปรกจักติดตัวแม่หญิงนะเจ้าคะ” “จักเสร็จแล้ว ปิ่นไปช่วยนักรบดูยาที่ต้มไว้เถิด เขาฟื้นมาจะได้ทันกิน” “...ไม่กลัวหรือเจ้าคะ มันเป็นผู้ใดมิอาจรู้ได้ น่าจักปล่อยให้ลอยไปตามน้ำเสีย มิควรเอามาเป็นธุระกงการอันตรายอันใดในบ้านเรือนเจ้าพระยาเลย” “ทุกชีวิตมีค่าเท่ากันหมด เรามิควรตัดสินผู้ใดไปก่อนจักเห็นเนื้อแท้ แต่หากเขาทำกระไรมิดีจริงจนถูกฟันปางตายมาเยี่ยงนี้ ลางทีการช่วยชีวิตเขาในวันนี้ อาจทำให้เขาสำนึก กลับตัวกลับใจเป็นคนดีขึ้นมาก็ได้ ฉันว่านักรบทำถูกต้องแล้ว” “แม่หญิงนะแม่หญิง อย่างนั้นบ่าวขอตัวไปดูหม้อยาก่อนนะเจ้าคะ” เสียงพูดคุยกันดังแว่วอยู่ใกล้ ๆ เรียกสติที่จมลึกให้ฟื้นคืนกลับมา เปลือกตาอันหนักอึ้งปรือลืมขึ้นช้า ๆ ก่อนจะได้ยินเสียงจอกแจกของน้ำ ตามมาด้วยความเย็นจากผ้าเปียกที่สัมผัสถูไล่ไปตามแผงอก แต่แล้วคงเพราะเห็นว่าเขารู้สึกตัวแล้ว อีกฝ่ายจึงชะงักรีบชักมือกลับทันที “ฟื้นแล้วรึ” ผู้พูดวางผ้าสีขาวลงขอบชาม เสียงนุ่มหวานนั้นดึงสายตาคนเพิ่งฟื้น   ชายหนุ่มนิรนามทำท่าจะลุก หากบาดแผลถูกฟันบริเวณหัวไหล่ฉกรรจ์เกินกว่าจะฝืน ความเจ็บปวดแล่นลามจนต้องล้มนอนในท่าเดิม ใบหน้าซีดเซียวก้มสำรวจทั่วร่างตน พบว่ากายท่อนบนเปลือยเปล่า       ไร้อาภรณ์ปกปิด บริเวณหัวไหล่ที่ถูกคมดาบยังคงเผยบาดแผลเหวอะหวะน่ากลัว  เลือดสดไหลซึมออกมาเรื่อย ๆ “ขอผ้าอีก” หญิงสาวหันไปสั่งบ่าว ก่อนหันมามองเขาด้วยความสังเวชระคนสะเทือนขวัญ “อย่าเพิ่งขยับ” เธอสั่งเขาด้วยน้ำเสียงนุ่มน่าฟัง แต่ก็เด็ดขาดจนทำให้คนเจ็บยอมนอนนิ่งให้เธอได้รักษา มือบางบีบไล่น้ำออกจากผ้าผืนใหม่ ก่อนนำมันมาซับเช็ดเลือดรอบบาดแผลให้อย่างคล่องแคล่ว ทั้งที่ระวังน้ำหนักมือแล้ว แต่กระนั้นก็ยังทำให้      ชายหนุ่มสะดุ้งเกร็งเป็นบางครั้ง ทว่าความเจ็บแปลบที่ก่อเกิดเมื่อครู่ ยามนี้คล้ายกับเจือจางลง เหตุมิใช่เพราะการรักษาเบื้องต้น หากแต่เป็นใบหน้าหวานหยดย้อยของผู้ช่วยชีวิตตรงหน้า หญิงสาวผู้นี้ตรึงสายตาแม่ทัพตูระไปชั่วขณะ เพราะดวงหน้ารูปไข่เป็นทรงสวย คิ้วโก่งถูกกันดั่งคันศร เนินโหนกระหว่างคิ้วรับกันไปตลอดสันจมูก ปลายงุ้มมนรับกับกระจับปากบนอีกทอดหนึ่ง ส่วนเปลือกตามีสองชั้นชัดเจน ยิ่งขับให้แววตาลุ่มลึกน่าค้นหา รูปร่างภายใต้อาภรณ์มีส่วนเว้าส่วนโค้งน่าจับต้อง ผิวพรรณผุดผ่องไม่เหมือนกับชาวอโยธยาทั่วไป แม่ทัพตูระผู้ซึ่งอุทิศตนให้แผ่นดินอังวะ ครานี้กำลังถูกสะกดด้วยมนต์หญิงสาวฝ่ายศัตรูเข้าเสียแล้ว “ฉันชื่อดวงเดือน เป็นบุตรีของเจ้าพระยาจักรีศรีองครักษ์” เธอเห็นเขามองไม่วางตา จึงคิดว่าอีกฝ่ายคงตั้งข้อสงสัย “แล้วเจ้าล่ะ เป็นใคร มาจากที่ใดกันเล่า” สิ้นคำถาม แววตาของแม่ทัพแห่งพม่าก็สะเทือนไหว ใบหน้าคมคาย   หล่อเหลาเบือนหนี นิ่วหน้ากัดฟันเล็กน้อยตอนถูกเนื้อผ้าสะกิดบริเวณบาดแผล    เพียงชั่วครู่ก็เอ่ยออกมาด้วยเสียงแหบพร่า “ข้าชื่อยอด” “เป็นคนแถวนี้รึ มิเคยเห็นมาก่อน” “...ข้าเป็นทหารกองหนุนจากเมืองละโว้มาเสริมทัพอโยธยา” “แล้วเหตุใดถึงถูกฟันปางตายเยี่ยงนี้เล่า กองทัพจากเมืองละโว้แถวนี้ก็หามีไม่” โบโชตูระถูกซักไซ้ แต่กระนั้นก็ไม่ได้ตื่นเกร็ง คงเป็นเพราะท่าทีและน้ำเสียงที่เอ่ยถามที่ทำให้เขามั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้คลางแคลงใจต่อการปรากฏกายของเขา สีหน้าของแม่หญิงผู้งดงามยังคงนิ่งเฉย ปรนนิบัติเขาราวกับเป็นคนร่วมแผ่นดิน มิใช่ศัตรูจากแดนไกลที่มาสอดแนมเพื่อตีสยามประเทศให้แตกสิ้น เหตุนั้นเขาจึงปั้นน้ำเป็นตัว เล่าประวัติอุปโลกน์ให้อีกฝ่ายฟัง เมื่อฟังจบ เธอไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา พอบ่าวนำยามาให้ มือบางก็ประคองร่างกำยำให้ลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะเป่ายาร้อนให้ครู่หนึ่ง แล้วยื่นให้เขาดื่ม “บาดแผลของเจ้าหนักหนานัก อยู่พักที่นี่ก่อนเถิด ที่นี่คือเรือนองครักษ์ในพระองค์ มิมีผู้ใดกล้าเข้ามาทำร้ายแน่ อยู่จนกว่าบาดแผลจะหายดี ค่อยกลับกองทัพ” “ขอบคุณแม่หญิงเป็นอย่างยิ่ง น้ำใจช่างงดงามนัก ชีวิตนี้ข้าติดบุญคุณแม่หญิงแล้ว หากไม่ได้ท่านช่วยชีวิตไว้ ป่านนี้ข้าคงตายเป็นผีเฝ้าคุ้งน้ำ” แม่หญิงมีแววชะงัก เหมือนจะเอ่ยขัด แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา เธอบอกให้บ่าวดูแลเขาต่อ ส่วนเธอนั้นขอตัวไปเข้าครัว หุงหาอาหารให้ทั้งเขาและเจ้าพระยาฯ ที่กำลังจะกลับจากการทำงานในรั้ววัง ย้อนคิดกลับไปถึงตอนนั้น หัวใจของเขาก็พองฟูขึ้นมา เกิดมาหลายสิบปี ไม่เคยมีใครทำให้เขาประทับใจได้มากขนาดนี้มากก่อน ถึงกับช่วยชีวิตเขา ทั้งที่จะปล่อยทิ้งให้ตายไปอย่างนั้นก็ได้ ช่างเป็นคนที่ประเสริฐยิ่งนัก แบบนี้แล้วจะไม่ให้เขาตกหลุมรักได้อย่างไร “ท่านแม่ทัพ!” ...แล้วเสียงเรียกของคนในความทรงจำก็ดังขึ้น เขาที่เพิ่งก้าวลงจากม้า แหงนเงยมองหน้าแม่หญิงดวงเดือนซึ่งกำลังยืนอยู่บนเรือนด้วยท่าทางตกใจเหมือนเห็นผี ดวงตาสวยเบิกโพลง ไม่มีแววว่ายินดีที่ได้พบกันเลยสักนิด “แม่หญิง...” เขาคลางแคลงในแววตานั้น พานทำให้หัวใจหดเล็กลงอย่างผิดหวัง พอขึ้นบันไดไป หมายจะคว้าตัวมากอดให้หายคิดถึง เธอกลับถอยห่างออกไปเรื่อย ๆ   สีหน้าร้อนรน มองหาคนช่วย “โกสน!” เธอเรียกชื่อองครักษ์ประจำตัว แต่เป็นศัตรูหัวใจของเขา ซึ่งบาดแผลบนใบหน้าแม่ทัพใหญ่ก็เกิดจากมันผู้นั้นนั่นแล ทันทีที่เข้าใกล้จนเกือบจะประชิดตัว ไอ้องครักษ์มันก็โผล่มาจากด้านหลังเธอ ในมือกำดาบไว้มั่น พุ่งเข้ามาหมายจะจ้วงแทงเขา ความเร็วทำให้เขาไม่อาจตั้งสติทัน ได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อเหมือนรอความตายตรงหน้า เพียงเสี้ยววินาทีหลังจากนั้น เขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของแม่หญิง เห็นร่างบางล้มนั่งหงายหลัง ดวงตาสวยตกตะลึงกับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น เปรี้ยง!!   สิ้นภาพเหตุการณ์เพียงวูบเดียว เสียงฟ้าผ่าในคืนคลั่งก็ฉุดคนตกอยู่ในความฝันให้ผวาลุกขึ้นมาจากเตียง ใบหน้าคมคายเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ แผ่นอกกระเพื่อมหอบอย่างรุนแรง นัยน์ตาสีเทาขยายกว้าง หลุกหลิกมองช่องท้องด้วยความตื่นตระหนก ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในฝัน ช่างเหมือนจริงเหลือเกิน เขากำลังจะถูกแทงโดยโกสน ข้างกายของมันคือแม่หญิงดวงเดือน ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ฝันถึงเรื่องราวนอกเหนือจากการรบราฆ่าฟันในสนามรบ คล้ายกับว่าอดีตชาติต้องการให้เขารับรู้ถึงเรื่องจริงอะไรบางอย่าง และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นหน้าค่าตาของคนทั้งสอง ได้เห็นแม่หญิงดวงเดือน หญิงอันเป็นที่รักของเขาในอดีต เขานั้น...ตกใจจนแทบช็อก “มันบังเอิญขนาดนี้เชียวเหรอ...” ชายหนุ่มสับสน แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว จึงได้แต่ยกมือขึ้นมานวดคลึงขมับ ลูบไล้ใบหน้าขจัดความว้าวุ่น ต้องการให้เขารู้อะไรกันแน่... ทำไมถึงต้องฝันเรื่องพวกนี้ด้วย...     “เฮือก!” อีกด้านหนึ่งในบ่อจระเข้ นิรันดรเองก็เพิ่งผวาออกจากฝันที่เขาไม่เคยฝันมาก่อน ร่างบางหอบหายใจถี่ มองไปโดยรอบถึงได้รู้ว่ากลับมาอยู่ในโลกความเป็นจริงแล้ว เขายังคงอยู่ในบ่อจระเข้ ท่ามกลางห่าฝนที่ยังคงตกอย่างต่อเนื่อง “นักรบ...แม่ทัพ...” ร่างบางพึมพำใช้ความคิด ทบทวนเรื่องราวความฝันแปลกประหลาดที่เกิดขึ้น รู้ว่าเป็นเพียงความฝัน แต่ทำไมถึงรู้สึกเหมือนว่ามันเคยเกิดขึ้นจริงขนาดนี้ อีกทั้งนักรบและแม่ทัพพม่า ยังมีหน้าตาเหมือนกันกับตนและชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าคุณกาลไม่มีผิด ความรู้สึกร้าวรานพลันเกิดขึ้น เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่นักรบถูกทหารพม่าสองคนนั้นจับไปข่มขืน น้ำตาแห่งความเจ็บปวดอดสูที่นอนให้พวกมันสัมผัสในฝัน ยามนี้หลั่งรินออกมาด้วยความโศกเศร้าหดหู่ไม่ต่างกัน รู้สึกเหน็บหนาวอ้างว้างจนต้องห่อกาย กอดตัวเองเอาไว้แน่น “สงสาร น่าสงสารเหลือเกิน” นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ความฝันนั้นเคยเกิดขึ้นจริงหรือไม่ แล้วถ้าจริง   ตัวเขาคือนักรบ ส่วนชายใจอำมหิตคนนั้นคือท่านแม่ทัพอย่างนั้นหรือ “ถ้าใช่...คุณก็ช่างโหดร้ายเหลือเกิน” พึมพำได้เท่านี้ สติพลันดับวูบ ด้วยพิษไข้เริ่มสำแดงฤทธิ์ ร่างบางทิ้งตัวนอนสลบ ไม่รู้เรื่องอะไรอีกเลย ตากฝนเป็นเวลานานหลายชั่วโมง ไม่รู้แล้วว่าจะรอดถึงเช้าหรือไม่ นิรันดรสลบไปไม่นาน ก็มีร่างใครคนหนึ่งปรากฏขึ้น เขาไขกุญแจเปิดประตูเหล็ก เดินผ่านอามันต์ สัตว์เลี้ยงแสนรักที่ยังคงนอนสงบอยู่ที่เดิม ไปช้อนอุ้มร่างบางนั้นขึ้นมาแนบอก แล้วพากลับไปยังคุ้มรามางกูร แววตาสีเทามีประกายหม่นหมอง ห้วงอกเต็มไปด้วยความอดสู แม้อดีตชาติเขานั้นจะสะใจ ทว่าปัจจุบันความฝันกึ่งจริงนั้นกลับทำให้เขารู้สึกแย่ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม... [1] หลังจาก 21 นาฬิกา หรือ 3 ทุ่ม ไปถึง 24 นาฬิกา หรือ เที่ยงคืน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD