ตอนที่ 3.2

2560 Words
เมื่อเห็นจระเข้ห่างออกไป นิรันดรจึงสบโอกาสเดินฝ่าน้ำขุ่นสลับกับเหลียวมองหลังอย่างระแวดระวัง เขามุ่งหน้าไปยังพื้นแห้งอีกฟากหนึ่งเพื่อหลบพัก สำรวจบาดแผลซึ่งเกิดจากการถูกโยนลงบ่ออย่างไม่ไยดี ก็พบว่าข้อมือซ้น ข้อศอกและหัวเข่าถลอกจนเลือดซิบ เล็บมือทั้งสิบเป็นแผลเปิดอันเกิดจากการตะกุยปีนพื้นตะไคร่น้ำ ว่าบาดแผลภายนอกเยอะแล้ว หากยังไม่เท่าบาดแผลภายในที่ทำเอาเขาถึงกับน้ำตาซึม แต่กระนั้นก็ไม่ยอมให้มันไหลออกมาให้ใครคนนั้นได้เห็นอีก รีบยกแขนเปรอะเปื้อนปาดหน้าลวก ๆ แล้วกอดเข่าคลายความหนาวเอาไว้แน่น        ก่อนปรายตามองคนใจร้ายอย่างเจ็บปวด “จะทรมานกันไปถึงไหน?” “ก็จนกว่ามึงจะตายยังไงล่ะถามได้” “จับผมส่งให้ตำรวจ แล้วปล่อยให้กฎหมายเป็นตัวตัดสินสิ” “ทำแบบนั้นมันไม่สะใจ อยากให้ตายด้วยน้ำมือกูมากกว่า แต่หลังจากที่เห็นอิทธิฤทธิ์ในตัว ก็พอรู้ว่าดวงแข็งใช่เล่น นับถือ ๆ” กาลเวลาเลิกกอดอก แล้วปรบมือให้ “จะฆ่าก็ฆ่าเถอะ เอามีดพร้ามาเถือหนังผมเลยก็ได้ แต่ระวังไว้นะ ตายไปผมจะยอมไม่ไปไหน ยอมเป็นผีเฝ้าที่นี่ รอดูกฎแห่งกรรมส่งผลถึงคุณเอง” กาลเวลาระเบิดหัวเราะ เมื่อไอ้เด็กหนุ่มร่างบางต่อล้อต่อเถียงเขาด้วยคำขู่ แต่มันไม่ได้ทำให้เขาสะทกสะท้านเลยสักนิด ซ้ำยังเห็นว่ามันเหมือนลูกหมาตกน้ำตัวเล็ก ๆ ที่กำลังตัดพ้อเจ้าของมากกว่า “กูไม่อยากให้มือเปื้อนเลือดชั่ว แล้วตอนนี้ก็เปลี่ยนใจแล้วด้วย ฆ่าให้ตายมันเร็วไป ทรมานอย่างช้า ๆ คงเจ็บปวดกว่า” ในเมื่อมันดวงแข็งนัก อย่างนั้นเขาก็จะทนรอดูว่ามันจะตายด้วยวิธีไหนกันแน่ “หมายความว่าคุณจะไม่ปล่อยให้ผมไปไหน จะให้อยู่ที่นี่อย่างนั้นเหรอ?” “คนอย่างมึง ที่นี่เข้าแล้วไม่มีวันกลับออกไปได้ ทางเดียวที่กลับออกไปได้ ก็คือตายเท่านั้น” นิรันดรสบมองคนพูดอย่างประหวั่น ไม่อยากโต้เถียงกับคนใจดำด้าน   อีกแล้ว สิ่งที่หันมาทำคือการกอดเข่าตัวเองแน่น ซุกปลายคางสั่นเทาลงช่องว่างตรงหน้าตัก คุดคู้หลบมุมเมื่อห่าฝนเทลงมาพร้อมกับเสียงคำรามของท้องฟ้า กาลเวลามองร่างบางนิ่ง นึกสะใจไม่น้อยที่ได้เห็นมันเจ็บปวดทรมาน “ค่ำนี้อามันต์คงอิ่มแล้ว แต่พรุ่งนี้เวลาอาหารเช้า มันคงกลับมาหิวโซ ถึงเวลานั้นถ้าไม่อยากทรมาน ก็กลั้นใจปล่อยให้มันทึ้งเล่นเสียก็ได้นะ หรือไม่ก็เอาหน้ามุดน้ำแล้วไม่ต้องขึ้นมาอีกเลยก็ได้” ชายหนุ่มร่างสูงเอ่ยเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเดินจากไป ทิ้งให้ร่างจำเลยบริสุทธิ์อยู่ในบ่อร่วมกับจระเข้ตัวยักษ์ตลอดทั้งคืน ทุกวินาทีที่ผันผ่าน นิรันดร      ไม่สามารถข่มตาหลับพักผ่อนได้เลย ต้องคอยระแวดระวัง ด้วยกลัวว่าสัตว์เลื้อยคลานฝั่งตรงข้ามนั้นจะเข้ามาขย้ำอย่างที่เจ้าของมันพูด ทว่าร่างกายเจ็บปวดทรมานเท่าไร ก็ยังไม่เท่าหัวใจดวงเล็กที่รวดร้าวระคนอ้างว้าง หากเป็นคนอื่นหายตัวออกจากบ้านมาค่อนคืนเช่นนี้ คนในครอบครัวคงตามหากันให้วุ่น ผิดกับไอ้นิ...ที่ยามมันเดือดร้อนใกล้ตาย สมองก็ยังไม่สามารถนึกถึงที่พึ่งไหนได้เลย เพราะเป็นเด็กที่เกิดจากความใคร่ พ่อจึงทิ้งแม่ไปตั้งแต่ยังตั้งครรภ์ เป็นสิ่งมีชีวิตที่คนอื่นเอาไว้ตราหน้าแม่ว่าท้องไม่มีพ่อ เป็นวัยรุ่นใจแตกที่หลงระเริงไปกับความสัมพันธ์ชั่วครั้งชั่วคราว ทุกครั้งที่พบหน้า เขาเลยไม่เคยได้รับความรักที่ดีจากแม่ กระทั่งเธอได้พบกับความรักครั้งใหม่ เขาคนนั้นก็เข้ามาเป็นพ่อเลี้ยง เป็นหัวหน้าครอบครัว ตอนแรก ๆ ก็ช่วยกันทำมาหากินดี แต่หลัง ๆ ก็เอาแต่กินเหล้า ทำงานอะไรก็ทำแบบจับจด นั่นยิ่งพานทำให้เธอหงุดหงิด ทะเลาะกับพ่อเลี้ยงแทบทุกวัน มีเพียงสิ่งเดียวที่ยังผสานพวกเขาเข้าไว้ด้วยกัน นั่นก็คือเป็นหนึ่ง น้องชายต่างพ่อของเขา เป็นหนึ่งเป็นเด็กดีและหัวดีมาตั้งแต่เด็ก จึงทำให้แม่พอมีความภาคภูมิใจอยู่บ้าง ยิ่งตอนนี้น้องได้ทุนเรียนหมอ แม่ก็ยิ่งรักและเอาใจลูกคนเล็ก แตกต่างกับเขา ที่แม้แต่ชื่อก็ยังไม่มีให้ จนหมอทำคลอดต้องเป็นคนตั้งให้เอง “จริง ๆ หมอตั้งชื่อเราว่านิรันดร์ ต้องมีการันต์ด้วย แต่ตอนแจ้งเกิด แม่เราคงลืมล่ะมั้ง” “แม่คงไม่ใส่ใจชื่อผมเท่าไหร่” “แต่หมอใส่ใจนะ นิรันดร์หรือนิรันดร ความหมายก็คือ คงอยู่, อยู่รอดปลอดภัย ชั่วนิจนิรันดร์” ครั้งหนึ่งคุณหมอเคยเล่าที่มาของชื่อในตอนที่เขาไปเยี่ยมหาที่โรงพยาบาลให้ฟัง มันจึงทำให้เขาได้รู้ความหมาย และตั้งแต่นั้นก็รักและภูมิใจกับชื่อนี้มาตลอด อย่างน้อยก็มีคนให้ความสำคัญเขาบ้างล่ะนะ “ขอบคุณนะครับคุณหมอ” นิรันดรนึกถึงผู้มีพระคุณ พลันน้ำตาไหลอาบแก้ม  ภาวนาขอให้ใครสักคน ใครสักคนที่มีใจนึกถึงเขาบ้าง     “หนึ่ง เดี๋ยวหนึ่ง!” “อะไรพี่เกี๊ยว หนึ่งรีบ ต้องไปอ่านหนังสือ!” ชายหนุ่มร่างสูงที่เพิ่งกลับมาจากการออกทริปศึกษาโบราณวัตถุและโบราณสถานร่วมกับอาจารย์มหาวิทยาลัยที่เคยเป็นอาจารย์สอนตนเองในคณะโบราณคดี จนตอนนี้กลายมาเป็นเพื่อนร่วมงานวิจัย ร้องเรียกเด็กหนุ่มคนคุ้นเคยที่กำลังตั้งท่าจะหนีเขาด้วยอาการลนลานอย่างเห็นได้ชัด แต่เมื่อถูกเขารั้งแขนเอาไว้ อีกฝ่ายเลยจำต้องหยุด พลางหันมาทำตาเขียวใส่ “นิล่ะ พี่ไปหานิที่ร้านสะดวกซื้อก็ไม่เจอ ไหนว่าวันนี้จะมาเจอกันไง” “หนึ่ง...หนึ่งไม่รู้ ไปล่ะนะ หนึ่งรีบอะ” เป็นหนึ่งหลบเลี่ยงสายตาเมื่อถูกถามถึงพี่ชายต่างพ่อ เขาปดออกไป ทั้งที่รู้ดีว่าเมื่อบ่ายเกิดอะไรขึ้น และนิรันดร   รุ่นน้องที่พี่เกี๊ยวถามถึงถูกพาไปทำอะไรในตอนนี้ “เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมตาแดง ๆ” ชายหนุ่มโน้มหน้าเข้ามาใกล้ หลังสังเกตเห็นรอยช้ำแดงใต้ตา เหมือนเพิ่งผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก เมื่อถูกทัก เป็นหนึ่งก็น้ำตารื้นขึ้นอีกครั้ง ความกลัวประเดประดังเข้ามา ย่ำกราย แต่กระนั้นก็ยังไม่เท่ากับความเสียใจที่ตนเองเห็นแก่ตัว ส่งพี่ชายให้ไปเผชิญหน้ากับความตาย นิรันดรจะไม่กลับมาอีกแล้ว... เขาอยากบอกออกไปแบบนั้น แต่หากพูดไป คนผิดก็จะกลายเป็นเขา เรื่องทุกอย่างก็จะแดงขึ้นมา เขาคงถูกถอดจากทุนเรียนหมอ แล้วพ่อกับแม่ก็จะเสียใจเป็นอย่างมาก อนาคตของเขาคงดับวูบ ไม่เห็นทางสว่างอีกเลย “พี่เกี๊ยวเลิกคาดคั้นหนึ่งสักทีเถอะ ผมไม่ได้เจอพี่นิมาตั้งหลายวันแล้ว พี่อยากเจอเขา ก็ไปหาเอาเองเถอะ!” “หนึ่ง! เดี๋ยวสิ เป็นหนึ่ง!” เป็นหนึ่งสะบัดแขนแล้ววิ่งจากไปทันที ปล่อยให้เกี๊ยว ขมวดคิ้วด้วยความงุนงง ที่จริงหลังจากทริปงานวิจัยแหล่งโบราณสถานในอยุธยาหนึ่งเดือนในวันนี้ เขาและนิรันดรมีนัดพบปะกันเนื่องด้วยวันสำคัญของเจ้าตัว วันนี้วันเกิดนิรันดร... ทั้งที่นัดกันไว้ดิบดี ทว่าพอกลับจากอยุธยามาถึงกรุงเทพ เขากลับไม่ได้พบคนที่นัดกันเอาไว้ ไปหาที่ทำงานที่ร้านสะดวกซื้อ เพื่อนร่วมงานก็บอกว่ายังไม่มา พอมาหาที่บ้านก็ไม่มี เช่นนั้นแล้ว ไอ้หนูนิของเขามันไปไหนเสียได้? “เสียงดังโวยวายอะไรกันวะ! กูจะนอนโว้ย!” เสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับประตูสังกะสีที่กระชากเปิดออก เป็นพ่อเลี้ยงของนิรันดรที่ตีหน้าแดงก่ำถมึงทึงใส่ เกี๊ยวทอดถอนหายใจ ไม่คิดจะเสวนาด้วย เพราะรู้ดีและเจอคนที่ถือเป็นตัวถ่วงของบ้านอยู่บ่อย ๆ “นิไปไหนล่ะลุง” “กูจะไปรู้มันเรอะ! ให้ตังค์กูห้าร้อยอาทิตย์ก่อน ป่านนี้ยังไม่เห็นหัวเลย  ไอ้ลูกเนรคุณ!” “ให้ทีไรก็เอาไปลงกับขวดเหล้า แบบนี้มันน่าให้ไหมล่ะ นิมันทำงานงก ๆ ตัวเป็นเกลียวเลี้ยงคนทั้งบ้าน ยังไม่พอใจอีกเหรอ” ชายวัยกลางคนร่างผอมกะหร่องฟังไม่ได้ศัพท์เท่าที่ควรเพราะฤทธิ์เหล้าขาว ได้แต่ยืนโงนเงนเกาะขอบประตูบ้าน “หรือมันไปขายตัววะ มันถึงหายต๋อมไปเลย ช่วงนี้กูได้ยินในตรอกพูดบ่อย ๆ ว่ามีเสี่ยบ้าตัณหาชอบมาหาเด็กผู้ชายเอาไปนอนด้วย เงินดีไม่น้อยนา ถ้าเป็นงั้นจริง ป่านนี้ไปไหนต่อไหนแล้วก็ไม่รู้ ฮ่า ๆ ๆ” “ไอ้ชาติหมา! มึงนี่มีแต่ความคิดสกปรกนะ ไม่อายชาวบ้านหรือไงที่เอาลูกมาขายให้คนอื่นฟัง” แล้วเสียงผู้หญิงคนหนึ่งก็ดังมาจากในบ้าน พร้อมกับตะหลิวทอดปลาที่ขว้างมาใส่หลังเปลือยเปล่าของสามีคนที่สองนามว่าชาติได้อย่างพอดิบพอดี “มีอะไรไอ้เกี๊ยว” หญิงวัยกลางคนรูปร่างผอมบางเดินเข้ามาหา ด้วยสีหน้าหงุดหงิด “ฉันมาหานิจ้ะ ไปหาที่ทำงานก็ไม่เจอ พอดีนัดกันไว้” “กูล่ะกลุ้มใจกับมันจริง ๆ มันไม่เอาอ่าว เอาทางไหนก็ไม่ดีสักอย่าง เรียนก็จะจบแหล่ไม่จบแหล่ ทำงานก็ได้เงินแค่ไม่กี่พัน ความรู้ห่าอะไรก็ไม่มี ชาตินี้จะได้พึ่งใบบุญมันไหมล่ะ ดีที่ยังมีเป็นหนึ่ง ถ้ามันจบหมอมา คราวนี้ล่ะสุขสบายกันทั้งบ้าน” “นิมันเป็นเด็กดี ขยันหาเงินสุดความสามารถของมันแล้ว ถ้าป้ายังไม่เห็นความดี ฉันก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้วล่ะจ้ะ” เกี๊ยวอดเหน็บแนมคนลำเอียงไม่ได้ ตั้งแต่รู้จักครอบครัวนี้มา ไม่เคยเลยสักครั้งที่นิรันดรจะได้รับคำชื่นชม ทั้งที่เป็นคนหาเงินมาจุนเจือ ขนาดเป็นหนึ่งที่เป็นน้อง นิรันดรยังต้องหาค่าหอ ค่าใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายมาให้เลย “งั้นมึงก็เอาไปทำเมียไป เอาค่าสินสอดมาให้กู คิดไม่แพง สามแสนก็พอ” พ่อเลี้ยงชาติยื่นหน้าเข้ามาเสนอ ชูนิ้วเท่าจำนวนตามที่พูด ที่พูดแบบนี้เพราะเห็นว่าไอ้เกี๊ยว เฝ้าดูแลไอ้ลูกเลี้ยงของเขามาตั้งแต่อ้อนแต่ออด ดูก็รู้ว่ามีใจให้แค่ไหน     ถึงทั้งสองจะเป็นผู้ชายเหมือนกันทั้งคู่ แต่เพื่อเงินแล้ว เขารับได้ทั้งนั้น เกี๊ยวถอนหายใจเฮือกใหญ่ หากแต่ก็คิดในใจว่าถ้ามันจะไถ่ตัวนิรันดรให้หลุดจากครอบครัวนี้ได้ สามแสนก็ถือว่าเป็นราคาที่เขายอมและพร้อมจ่ายให้ได้ทันที “ถ้าเจอมันก็บอกให้มันกลับบ้านบ้าง ไม่ใช่ว่าใกล้เรียนจบแล้วจะเหลิงเกเรไปนอนค้างอ้างแรมบ้านเพื่อนคนอื่นจนลืมบ้านตัวเองแบบนี้ กูนี่รอมันมาช่วยกูเข็นรถไปขายข้าวราดแกงอยู่นะ เหนื่อยสายตัวแทบขาด ลูกก็ไม่อยู่ ผัวก็ไม่ได้ดั่งใจ ฉิบหายเอ๊ย!” เธอโวยวายลอย ๆ ก่อนจะกลับเข้าไปในบ้านหลังเล็กเท่ารูหนู ส่วนพ่อเลี้ยงยังคงคลึงนิ้วให้เกี๊ยวเป็นเชิงขอเงินหลักแสนที่ว่า ไอ้เกี๊ยวหน่ายจะคุยกับคนเมา เลยเดินหนีออกมาโดยที่ไม่ได้ข่าวของนิรันดรจากคนพวกนี้อีก หายไปไหนของเขา แล้วจะให้เขาไปหาที่ไหน ในเมื่อไปหามาหมดทุกที่แล้ว เขาว้าวุ่น แต่ก็จำต้องล่าถอยกลับบ้าน ด้วยฝนฟ้าคะนองหนักยากต่อการตามหา กำไลโบราณเส้นเล็กที่ได้มาเป็นของขวัญวันเกิดจากอยุธยา ถูกเก็บคืนไว้ในกระเป๋ากางเกงดังเดิม     “คุณกาล ศพอยู่ที่ไหนครับ?” ปราชญ์ถามขึ้น หลังเห็นเจ้านายหนุ่มเดินตัวเปียกโชกเข้ามาในบ้าน เพราะมันเป็นหน้าที่เขาที่จะต้องตามเช็ดร่องรอยที่กาลเวลาทำเอาไว้ นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่จะทำอะไรผิดศีลธรรมเช่นนี้ “มันตายยาก แม้แต่อามันต์ก็ยังไม่แตะต้องมัน ตอนนี้อยู่ในบ่อกับอามันต์ พรุ่งนี้เช้านายค่อยไปเก็บศพ ป่านนั้นมันคงเหลือแต่เศษกระดูก” ชายหนุ่มสั่งพลางถอดเสื้อนอกให้คนรับใช้ เผยให้เห็นเสื้อเชิ้ตสีขาวที่แนบเนื้อจนเห็นส่วนกำยำต่าง ๆ ของร่างกาย ปราชญ์ก้มศีรษะเหมือนรับคำเล็กน้อย แต่ก็อดไม่ได้ที่จะพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา ก่อนที่กาลเวลาจะเข้าไปดูอาการน้องสาวในห้องนอนของเธอ ทั้งที่น้อยครั้งนักที่เขาจะขัดคำสั่งของเจ้านาย “ผมว่าเราควรพาเขาออกมาพัก ในเมื่อทั้งยิง ทั้งให้เขาเป็นอาหารของ   อามันต์ แต่เขาก็ยังรอดมาได้ แบบนี้มันเหมือนเป็นดวงชะตาของคนยังไม่ถึงฆาต ยิ่งเราทรมานเขามากเท่าไหร่ ผมเกรงว่าบาปกรรมมันอาจจะส่งผลถึง...หลานที่กำลังจะเกิด” ประโยคทิ้งท้ายทำให้กาลเวลาชะงักฝีเท้า ก่อนหันกลับมาหาอีกฝ่าย “เพิ่งรู้ว่านายเชื่อเรื่องพวกนี้ด้วย” ปราชญ์นิ่ง ปล่อยให้กาลเวลาคิดเอาเอง ปกติแล้วเขาเป็นคนไม่เชื่อเรื่องลึกลับที่หลักการทางวิทยาศาสตร์หาเหตุผลไม่ได้ แต่ไม่รู้อะไรบางอย่างในตัว     เด็กหนุ่มคนนั้นที่ทำให้เขาหวั่นเกรงต่อเรื่องทำนองนี้ขึ้นมา กาลเวลาสูดลมหายใจใช้ความคิด ก่อนพรูออกมาอย่างจนใจ ลึก ๆ       ไม่อาจปฏิเสธ ว่าเขาเองก็รู้สึกหวั่นเกรงเช่นเดียวกันกับเพื่อนสนิท ปืนพกราคาแพงไม่เคยติดขัด มาวันนี้กลับลั่นไกไม่ออก อามันต์ที่กินโครงไก่ได้นับสิบ วันนี้กลับ    ไม่ยอมเขมือบสิ่งมีชีวิตขาวผ่องเข้าท้อง ซ้ำยังเดินหนีราวกับเจอคนที่มันเกรงกลัว “ทำไมทุกคนดูเหมือนกลัวมันกันหมด” กาลเวลาส่ายหน้าจำยอมในที่สุด “ถ้าอย่างนั้นฉันให้เวลามันถึงพรุ่งนี้เช้า ถ้ามันรอดจากอามันต์ได้ ก็ให้คนไปพามันมาพักที่เรือนคนรับใช้ ให้มันทำงานแลกข้าว และมีหน้าที่ต้องไปทำความสะอาดบ่อจระเข้ทุกเช้า แต่ต้องเป็นเวลาเดียวกับที่จะให้อาหารมันด้วย ดูซิว่าจะดวงดีดวงแข็งไปอีกนานสักแค่ไหน” “แปลว่าจะไม่ฆ่า?” “แค่ยังไม่ใช่ตอนนี้”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD