****ปฐมบท
เวหาอันเยียบเย็นนำพาหยาดน้ำฟ้าและไอหมอกปกคลุมไปทั่ว
เมื่อเกิดพิรุณพิโรธไม่ขาดสาย ละลายเกล็ดน้ำแข็งมากมายให้หายไปสักชั่วยามหนึ่ง บรรเทาความหนาวเย็นลง หยาดน้ำฟ้าก็โหมกระหน่ำจนกระทั่งทุกแห่งหนกลายเป็นสีขาวโพลน
ภพภูมิบาดาลยามนี้มีเพียงเหมันต์ฤดู ย่างเข้าราตรีกาลเมื่อใด ยิ่งทวีหนาวเหน็บถึงกระดูก ความมืดมิดดำเนินไปอย่างเนิ่นนานกว่าที่เคยเป็น
ทั้งเทพและปีศาจคลางแคลงใจว่าเป็นเพราะครั้งหนึ่งเทพอู่เฉินได้ใช้กายาอันโอฬารพันรอบจันทรา ยกมันมาให้ภริยาเชยชมเพื่อเอาอกเอาใจนาง จันทร์รุธิระแห่งนรกภูมิจึงเริ่มหวนกลับมายังเทวโลกด้วยตัวของมันเอง
ดวงจันทร์ทรงกลมสีแดงฉานบดบังดวงตะวันเอาไว้ เคลื่อนคล้อยไปด้วยกันถึงกลางฟ้าแล้วลับหายไป จึงมีแสงสาดส่องลงมาให้พรรณพฤกษา ได้เห็นสีสันอันงดงามของพวกมัน ซึ่งจะถูกปกคลุมด้วยเหมันต์อีกครั้งหนึ่ง
นับยี่สิบปีไม่ปรากฏแสงอาทิตย์อุทัย ถึงแม้ว่าใต้เท้าจีกงคอยใช้อำนาจของพัดวิเศษ โบกพัดไล่เมฆาทึบทะมึน รักษาสมดุลของภพภูมิบาดาลครั้งแล้วครั้งเล่า หาโอกาสมาเยี่ยมเยียนเรือนเทพแห่งเทือกเขาทิศอุดรพร้อมกับบุตรชายทั้งสอง นั่งจิบชาในสวนของเป่าเป้ยอยู่เป็นนิจ เพื่อเยียวยาจิตใจเทพปีศาจผู้เศร้าหมอง
ทุกสรรพสิ่งบนเทวโลกภพภูมินี้กลับตาลปัตร อย่างน่าประหลาด
“ข้าเกรงว่า... หากเป็นเช่นนี้ต่อไป นานวันเข้า ท่านอู่เฉินอาจถูกขับไล่จากเทวโลก...”
บ่าวงูคนพี่มีสีหน้าเป็นกังวล สองขายังคงก้าวเดินไปข้างหน้า เหยียบพื้นเย็นยะเยียบยุบยวบตัวลง เกิดรอยตามรองเท้าหนาทำจากหนังสัตว์ที่จมลงไป
อาภรณ์ของพวกเขาปรับเปลี่ยนไปเป็นหนาชั้นขึ้น ขนสัตว์อสูรแม้แต่ผ้าขนสัตว์จากโลกมนุษย์ เป็นที่ต้องการในการนุ่งห่มของผู้พักอาศัยในภพภูมินี้
ทางฝั่งเทือกเขาทิศอุดรเทพชั้นผู้น้อยยังคงสวมใส่อาภรณ์สีดำ เพื่อให้บุคคลภายนอกรู้ว่าเป็นเทพของเรือนท่านอู่เฉิน เรือนของใต้เท้าจีกงสวมอาภรณ์สีสันสดใส ย้อมด้วยเวทเซียนของเทพแห่งสายน้ำทิศประจิม ส่วนใหญ่ก็จะเป็นสีฟ้าครามและสีเขียวมรกตของท้องทะเล
“ข้ามีความคิดเป็นตรงกันข้ามว่ามันดีเลิศ เหล่าเทพชื่นชมความงดงามของภพภูมิบาดาล มีทั้งจันทร์รุธิระและเกล็ดน้ำแข็ง ไม่เหมือนที่ใดบนเทวโลก ข้าเห็นพวกเขานั่งเล่นหมากเซี่ยงฉีกันบนเจ้าก้อนน้ำแข็งเหล่านี้”
“ดีแน่... ปีก่อนท่านอู่เฉินได้ไปหารือกับเทพเจ้าแห่งปัญญาให้ตอบรับพรหนึ่งข้อ ตาเฒ่าบนโลกมนุษย์จึงได้คิดค้นวิธีการหมักสุราที่มีรสชาติดีเยี่ยมที่สุด ใช่หรือไม่? ท่านพี่”
ทั้งซื่อหยูอี้และเซียวอี้หรูมีความจงรักภักดีต่อเทพปีศาจไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าเวลาจะผ่านพ้นไปเนิ่นนานสักเท่าไร เลยไม่คิดว่าการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดของภพภูมิบาดาลเป็นเพราะสภาพจิตใจของเทพอู่เฉิน แต่เป็นผลกระทบจากสงครามครั้งใหญ่ของเหล่าเทพและนางเฟยอี๋
“ทั้งเทพและปีศาจ มีเวทเซียนอันแกร่งกล้าคุ้มกันกาย จะไม่พบพานความเหน็บหนาว ร่างกายไม่อ่อนแอก็ไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด” เซียวอี้หรูเชิดหน้าขึ้นมองไปยังหนทางข้างหน้า หยาดน้ำฟ้าร่วงลงมาไม่ขายสาย เริ่มที่จะหนักขึ้นจนต้องเร่งฝีเท้า อยู่ดี ๆ ก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้
“สุรา!” พลันหันไปชี้หน้าน้องชายอย่างเอาเรื่องเอาราว “เจ้าชักชวนท่านอู่เฉินดื่มมัน เจ้าต้องรับผิดชอบ”
“ข้าเนี่ยนะ!”
“ใช่ มันเป็นฝีมือของเจ้า ซื่อหยูอี้!”
ทั้งสองไม่มีเวลามากมาย ได้ฤกษ์ยุติการถกเถียงกัน แยกไปคนละทิศละทาง เพื่อตามหาเทพอู่เฉินให้พบเสียก่อนที่ผู้ใดจะมาพบเข้า
แม้ไม่ใช่เรื่องง่ายดายนัก หากไม่มีผู้ใดไปขอความช่วยเหลือจากท่าน ก็จะไม่ปรากฏตัวให้พบเห็น ในสวนของเป่าเป้ยไม่อาจหาท่านพบเสมอไป
ปลายเท้าอันทรงพลังวิทยายุทธ์เหาะเหินขึ้นเวหา ผ่านพรรณไม้ที่ปกคลุมด้วยน้ำค้างแข็งอย่างช่ำชอง ด้วยความเคยชินกับสภาพลื่นไหลของภพภูมิซึ่งเป็นมาเนิ่นนาน ก่อนที่ทั้งสองจะมาบรรจบมาพบกันใกล้แหล่งน้ำสีมรกตทอดยาวสุดตา
“ท่านพี่... ไหใบนั้น!”
ไหดินเผากลางลำน้ำลอยละล่องไปตามสายธารเชี่ยวกราก ถ้วยรองสีดำสนิทและฝาปิดเป็นผ้าสีแดงสลักลายอสรพิษสีดำทำให้รู้ได้ว่าเป็นไหของผู้ใด มันไหลตามท้องนทีสีมรกตไปเรื่อย ๆ กลิ้งไปมา ปะทะเข้ากับโขดหิน เคลื่อนไปข้างหน้าเร็วกว่าเดิม ปลายทางเบื้องหน้าเป็นหน้าผาสูงชัน!
“ไม่ได้การแล้วท่านพี่ เร็วเข้า!”
ซื่อหยูอี้ดึงกระบี่ออกจากฝัก ฟาดลงกลางอากาศ เซียวอี้หรูกระโดดขึ้นเหยียบยืนบนปลายกระบี่คมด้วยปลายเท้า ขยับฝ่ามือสร้างเวทเซียนสีดำสนิทซึ่งกลายเป็นเชือกป่านที่มีความยาวมากพอ สะบัดโยนออกไปคล้องรอบขอบไหสีน้ำตาลเพื่อดึงขึ้นมา ประคองกอดไว้ในอ้อมแขน
“เกือบไป... จะตกหน้าผาอยู่แล้ว”
ทั้งสองถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ไหเหล้าใบนี้สำคัญเป็นอย่างมาก หากช้าไปกว่านี้สักนิด คงร่วงหล่นไปและเป็นการยากที่จะเก็บมันขึ้นมา
หลังจากที่สตรีนางหนึ่งมาเล่นหินสีดำตรงนี้ แหล่งน้ำปรับเปลี่ยนสภาพอยู่ตลอด บางวันเป็นผืนแผ่นดิน บางราตรีก็กลายเป็นสายธาร แยกออกสองฝั่งจนเกิดหน้าผา บางคราเกิดประตูมิติ ปลายทางนั้นไปลงภพภูมิได้หาได้รู้ไม่
กลุ่มหินสีดำเหล่านั้นยังคงอยู่ เทพอู่เฉินมักมายืนมองมันด้วยหน้าตาเคร่งเครียด
“พวกเจ้าก็มา... ข้าก็อยู่ในไห...”
เสียงอู้อี้เรียกทั้งสองบ่าวงู เซียวอี้หรูกระโดดลงจากกระบี่คมของน้องชาย โดยที่ยังคงกอดไหเหล้าเอาไว้ ต่างชะโงกหน้าก้มลงมองในช่องมืดดำ นัยน์ตาสีแดงฉานเปล่งประกายอยู่ภายในราวกับดวงไฟ เคลื่อนไหวไปมา
“ออ... ท่านลอยละล่องอยู่ในไหเช่นนี้ ผู้ใดจะหาท่านพบ ข้าว่าไม่มี...”
“พวกเจ้าไง...”
“เมื่อไรท่านจะเลิกเป็นเช่นนี้เล่าเทพอู่เฉิน พวกข้าเป็นห่วงแทบแย่”
ซื่อหยูอี้เคยพบอสรพิษอยู่ในไหสุราในสวนของเป่าเป้ยครั้งหนึ่งจึงนึกขึ้นได้ ไม่เช่นนั้นก็คงจะหาไม่พบ เซียวอี้หรูหันไปพูดคุยกับน้องชายเรื่องการตามหาเทพอู่เฉินผู้ร่ำสุราเป็นนิจว่าควรทำอย่างไร ก่อนก้มหน้าลงเอาเรื่องเทพอู่เฉิน
“เจ้าเหลียนเหลียนหายตัวไปตั้งนาน ท่านกลับไม่ไยดีมันสักนิด คอยดูเถอะ วันใดข้าพบภริยาของท่าน ข้าจะฟ้องนางให้หมดทุกสิ่ง...”
มันจะมีวันนั้นจริง ๆ หรือ?
แทนที่ควรมีถ้อยคำโต้แย้งลอยออกมากลับมีเพียงความเงียบงันอยู่ภายใน
เทพอู่เฉินเฝ้ารอนางวันแล้ววันเล่า เที่ยวออกตามหาของวิเศษมากมายบนเทวโลกเอามากองไว้บนพื้นเรือน แม้ใจรู้ดีว่าไม่พบนางจะใช้ของเหล่านั้นได้เยี่ยงไร
การเฝ้าคิดถึงภริยาทุกคืนวันยังไม่สามารถทำได้ พลังอันกล้าแกร่งของเทพปีศาจสามารถสร้างโลกลวงหลอกขึ้นมาอีกใบ ท่านคงไม่ต้องการให้เกิดมีภริยาอีกหนึ่ง ปรากฏกายในนิมิต เพราะนั่นไม่ใช่โลกความจริง
สองบ่าวงูเอ่ยปากบ่นเรื่องเทพผู้ทำตัวเหลวไหลพอสมควร ซื่อหยูอี้อุ้มกอดไหสุราเดินไป ได้คำตอบเรื่องเจ้าเหลียนเหลียนว่าท่านใช้ตรีเนตรแอบเฝ้ามองมันอยู่ กระทั่งมันกระโดดลงบ่อน้ำแห่งหนึ่งในภพภูมิลับแลหายไป
เทพอู่เฉินเก็บความลับเรื่องนี้ไว้เพราะไม่อยากให้พยัคฆ์อัคคีเดือดร้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การหนีเที่ยวของมันครั้งนี้ต้องเป็นเรื่องใหญ่ของเทวโลกแน่ ๆ ขณะว่ายวนอยู่ในไหสุราอย่างรื่นเริง ประหนึ่งอสรพิษในร่างมัจฉา อ้าปากดื่มด่ำรสชาติล้ำเลิศ เพื่อให้คลายหายจากความเศร้าหมองใจ
ทว่าทันใดนั้นเอง
ตูม!
แสงอสุนีบาตฟาดลงมาพร้อมสิ่งแปลกปลอมจากท้องนภากว้าง ไม่มีผู้ใดได้ทันตั้งตัว งูสองพี่น้องกลิ้งล้มลงบนพื้นสีขาวโพลนเมื่อถูกกระแทกเข้าอย่างจัง บริภาษว่าผู้ใดไม่ดูตาม้าตาเรือ ไหสุราในอ้อมแขนกระเด็นกระดอนไป ซื่อหยูอี้ทุลักทุเลเอื้อมมือไปจะคว้าของที่ตนทำหลุดมือ กลับพบรองเท้าถักสานด้วยฟางของใครสักคนอยู่เบื้องหน้า
เซียนอาวุโสเดินลูบเคราหงอกอย่างย่ามใจ ก้มลงมองทั้งสองจมอยู่ในกองเหมันต์ ในอุ้งมือมีไหสุราซึ่งยื้อแย่งไปจากพวกเขาทั้งสองตอนไม่รู้ได้
“ท่าน... เป็นใคร มาที่นี่ได้อย่างไร?”
“ทำไมล่ะ ข้าจะมาที่แห่งนี้ไม่ได้หรือยังไง? เทวโลกเปิดกว้างต้อนรับเหล่าเซียน สวนของเป่าเป้ยผู้ใดจะมาเยี่ยมเยียน ไม่ใช่เขตหวงห้าม”
“เจ้าเหลียนเหลียน!” เรียกเสียงดัง ซื่อหยูอี้หันไปมองเปลวเพลิงอันคุ้นตา
“เจ้าหายไปไหนมา เหล่าเทพบนเทวโลกต่างเป็นห่วงเจ้ารู้หรือไม่!” เซียวอี้หรูหันไปเอาเรื่องเอาราวกับพยัคฆ์อัคคี เพราะว่ามันทำให้เหล่าเทพบนเทวโลกเป็นกังวล ใคร ๆ ต่างรู้จักมันว่าเป็นอสูรน่ารักน่าเอ็นดู แม้ภายนอกนั้นยังคงปกคลุมด้วยเปลวอัคคี ดูน่าเกรงขามสักแค่ไหน มันไม่ต่างจากแมวสักตัว
กลับมาครานี้เปลวเพลิงรอบกายของมันแตกต่างไปจากคราวสูญเสียสตรีนางหนึ่ง กลับมามีสีสันแดงฉานหลังจากที่กลายเป็นเปลวอัคคีสีน้ำเงินเนิ่นนาน
“เจ้าพาใครมาน่ะเหลียนเหลียน ภพภูมิบาดาลเราไม่ใช่ใครจะมาก็มา อย่างเจ้ายังนับเป็นข้อยกเว้นได้”
“ท่านเป็นนักพรตอาวุโสผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ที่จะให้ความช่วยเหลือข้าได้มากกว่าเทพอู่เฉิน ท่านทั้งสองลองมองดูให้ดีว่าเป็นผู้ใด”
ทั้งซื่อหยูอี้ เซียวอี้หรู เงยหน้าขึ้นพิจารณาชายชราแปลกหน้า หัวโล้นไม่มีผมแม้สักเส้น ใต้เสื้อขนสัตว์หนาสีดำ ด้านในเป็นอาภรณ์สีเหลืองส้มและสีดำ บนข้อมือนั้นยังถือลูกประคำหยินหยาง
ไม่มีทางที่เจ้าเหลียนเหลียนจะยอมมอบสมบัติสำคัญ ล้ำค่าเท่าชีวิต ซึ่งของอาเป้ยทิ้งไว้ให้มันให้กับใคร
“งูที่ไหนเล่า จมไหเหล้า เกิดมาข้าก็ไม่จะพบเห็น ประหลาดพิสดารนัก ท่านจะตื่นหรือไม่? จะตื่นรึไม่ตื่น...”
เมื่อนักพรตอาวุโสล้วงคองูดำออกมาจากไห ชูขึ้นสูง หรี่ตามองดวงตากะพริบปรือของเทพขี้เมาที่ว่า แล้วเริ่มเขย่าอสรพิษในตาสีแดงฉานเป็นของเล่นชิ้นหนึ่ง ปากต่อว่าการเมามายสุราเป็นเรื่องไร้ประโยชน์ ตามด้วยคำสั่งสอนนานาสารพัด
ทั้งสองปีศาจงูคงเพิ่งจะนึกออกว่าเซียนอาวุโสเป็นผู้ใด ถึงหาญกล้าเขย่าคองูเห่าอย่างเทพอู่เฉินได้อย่างไร้ความกลัวเกรง ทั้งสองหน้าตาตื่นตระหนกเรียก
“เซียนเฒ่าฮุ่ยหมิง!”